หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเมืองไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเหมือนวงจรที่หมุนเร็วอย่างไม่ปรานีใคร และในทุกการเปลี่ยนแปลงนั้น พรรคประชาชน ซึ่งเป็นทายาททางการเมืองของพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกล มักต้องเผชิญจุดหักมุมที่ตัวเองไม่ได้เลือก ไม่ได้เตรียมพร้อม และไม่ได้มีเครื่องมือรองรับในระดับที่พอจะยืนระยะได้อย่างแท้จริง แม้จะมีความหวังจากมวลชนมากมาย แต่โครงสร้างอำนาจที่รองรับกลับไม่เคยเติบโตตาม ความคาดหวังจึงกลายเป็นภาระ และภาระนั้นก็กลายเป็นจุดอ่อนขนาดใหญ่ที่ทำให้พรรคต้องเผชิญสถานการณ์เชิงยุทธศาสตร์ที่ลำบากที่สุดในรอบหลายปี
ต้องยอมรับว่า แม้โพลต่างๆ พรรคประชาชนจะยังคงมีคะแนนนำทุกพรรค แต่ยังมีคนถึงหนึ่งในสามที่ยังไม่ตัดสินใจ นี่จึงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะชี้อนาคตการเมืองไทย และไม่มีใครเชื่อว่าพรรคนี้จะได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล ยังต้องยอมรับว่ากระแสของพรรคส้มวันนี้ก็ไม่เหมือนเดิมแล้วจากการนำของ ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ที่ไม่ได้มีเสน่ห์สาธารณะและความแหลมคมเมื่อเทียบกับ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์
และสิ่งที่เราเห็นในวันนี้ที่พรรคภูมิใจไทยก้าวขึ้นมาเป็นคู่แข่งสำคัญที่สุดของพรรคประชาชน ไม่ใช่เพื่อไทย ไม่ใช่พรรคอนุรักษ์นิยมเก่า ไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน หากเป็นผลพวงจากการสะสมของความผิดพลาดหลายชั้น ตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ ถึงก้าวไกล และมาถึงยุคพรรคประชาชน ความผิดพลาดนั้นไม่ใช่เพียงเรื่องนโยบาย หรือบุคลากร แต่เป็นเรื่องที่ลึกกว่านั้นมาก เป็นเรื่องของ นัยทางโครงสร้างของสถาบันการเมืองไทย และความไม่เข้าใจขนาดใหญ่ของพรรคส้มต่อ “กติกาไม่เป็นลายลักษณ์อักษร” ที่เป็นหัวใจของรัฐไทย
ถ้าเราย้อนกลับไปยังยุคอนาคตใหม่ พรรคเกิดขึ้นด้วยอุดมคติ มีพลัง มีมวลชน มีวาทกรรมที่แหลมคม และมีภาพลักษณ์ที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ แต่จากมุมมองเชิงรัฐศาสตร์ พรรคอนาคตใหม่คือ “พรรคอุดมคติบนพื้นโครงสร้างอำนาจของรัฐไฮบริด” ซึ่งเป็นระบอบที่รัฐสามารถใช้กฎหมาย องค์กรอิสระ ศาล และกลไกราชการเป็นเครื่องมือทางการเมืองได้อย่างต่อเนื่อง และยาวนาน พรรคอนาคตใหม่ไม่ได้สร้างโครงสร้างพรรคที่ใช้รับมือกับสภาพแวดล้อมแบบนี้ ไม่มีระบบทนายความ ไม่มีทีมต่อสู้ทางกฎหมาย ไม่มีโครงข่ายพันธมิตรในสภา ไม่มีเครือข่ายราชการ ไม่มีทีมต่อรองในสภา ไม่มีใครทำงานเชิงสถาบันเพียงพอ ที่สำคัญคือพรรคถูกรวมศูนย์อยู่ในมือของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และ ปิยบุตร แสงกนกกุล จนกลายเป็นพรรคที่มีแกนนำสองคนควบคุมทุกองคาพยพในพรรค ทั้งการวางยุทธศาสตร์ การวางนโยบาย การคัดคนลงสมัคร และแม้กระทั่งการสื่อสารของพรรค
ความรวมศูนย์เช่นนี้ในรัฐศาสตร์เรียกว่า “พรรคที่ยึดศูนย์กลางอยู่ที่ผู้นำ” ซึ่งเป็นพรรคที่อาจสร้างกระแสได้เร็ว แต่เปราะบางในเชิงโครงสร้างอย่างยิ่ง หากผู้นำถูกโจมตี พรรคจะล้มไปทั้งแผง และนั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่ออนาคตใหม่ถูกจัดการด้วยคดีเงินกู้พรรค พรรคไม่มีทางเลือก ไม่มีแนวรอง ไม่มีโครงสร้างซ้อน ไม่มีสถาบันที่รองรับการสูญเสียนำทางการเมือง และผลคือกองกำลังที่เคยแข็งแรงที่สุดของฝ่ายประชาธิปไตยสมัยใหม่ถูกทำลายลงในพริบตาเดียว
เมื่อถึงยุคก้าวไกล พรรคก็ยังแบก DNA เดิมเข้ามาทั้งหมด ยังเป็นพรรคที่มีความคิดสุดขั้วแบบปิยบุตรเป็นแกนกลาง ท้าทายสถาบันกษัตริย์ ท้าทายกองทัพ ท้าทายโครงสร้างรัฐ โดยไม่ได้ปรับน้ำหนักเชิงยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับโครงสร้างและโอกาสทางการเมืองของรัฐไทย ซึ่งเป็นโครงสร้างที่ไม่เปิดพื้นที่ให้การท้าทายเชิงสถาบันโดยตรงแบบก้าวไกลจะไปไกลได้โดยไม่ถูกโต้กลับ นี่ไม่ใช่เรื่องถูกหรือผิด แต่เป็น “ความจริงเชิงอำนาจ” ซึ่งหากไม่เข้าใจ ก็จะพาชะตาพรรคเข้าสู่ความเสี่ยงสูงอย่างที่เราเห็น พรรคได้คะแนนอันดับหนึ่ง แต่ตั้งรัฐบาลไม่ได้ และสุดท้ายถูกตัดสิทธิ์ด้วยคดี 112 แบบที่ทุกผู้รู้ในเชิงรัฐศาสตร์รู้ได้ตั้งแต่วันแรกว่าต้องเกิดขึ้นแน่ เพราะพรรคไม่เคยคิดยุทธศาสตร์ป้องกัน ไม่เคยสร้างแนวร่วม ไม่เคยประเมินความเสี่ยงเชิงโครงสร้าง และยังถูกครอบงำโดยแกนนำเดิมแบบเบ็ดเสร็จ
ต้นทุนทางการเมืองทั้งหมดนี้ตกทอดมาถึงพรรคประชาชนอย่างหนัก พรรคต้องเผชิญการต่อรองหลังเลือกตั้งในสภาพที่ ไม่มี ส.ว. หนุน ไม่มีองค์กรอิสระที่เป็นมิตร ไม่มีเครือข่ายราชการ ไม่มีมือประสานจังหวัด ไม่มีทุนทางอำนาจใด ๆ อยู่ในมือเลยแม้แต่น้อย ผลคือพรรคประชาชนต้องเจรจาบนโต๊ะที่อีกฝ่ายถือไพ่ทั้งหมด และการทำ MOA กับพรรคภูมิใจไทย โดยไม่เข้าร่วมรัฐบาล แต่ยกมือให้อนุทินเป็นนายกรัฐมนตรี คือจุดเปลี่ยนที่หนักที่สุดของพรรคประชาชนในทางรัฐศาสตร์ เพราะมันคือการมอบ “ความชอบธรรม” ให้รัฐบาลใหม่แบบครบถ้วน โดยที่พรรคประชาชนไม่ได้อะไรตอบแทนแม้แต่เศษเสี้ยวหนึ่งของอำนาจ ไม่ว่าจะเป็นนโยบาย รัฐธรรมนูญใหม่ พื้นที่ทางกฎหมาย หรืออิทธิพลที่ต่อรองได้ พรรคประชาชนได้เพียง “ความรู้สึกชนะทางศีลธรรม” ขณะที่ภูมิใจไทยได้ “อำนาจจริงทั้งหมด”
ในเวลาเพียงไม่กี่เดือน พรรคภูมิใจไทยก้าวขึ้นจากพรรคขนาดกลาง มาเป็นพรรคที่ถือโครงสร้างรัฐในมือแบบชัดเจน ทั้งข้าราชการระดับบน ส.ว. องค์กรอิสระ ระบบจังหวัด ทุนสีน้ำเงิน และอำนาจต่อรองกับพรรคอื่น ๆ ที่หลั่งไหลเข้ามาขอร่วมพรรคอย่างต่อเนื่อง นี่คือสิ่งที่ผมเรียกว่า “ปีศาจที่พรรคประชาชนสร้างขึ้นเอง” และนี่คือคำอธิบายที่ถูกต้องอย่างที่สุดในทางรัฐศาสตร์ เพราะพรรคภูมิใจไทยไม่ได้เติบโตเพราะโชค แต่เติบโตเพราะพรรคประชาชนเป็นผู้ให้พร ถือมีดวิเศษให้ปีศาจตนนี้โดยไม่รู้ตัว
สถานการณ์เลวร้ายลงอีกเมื่อพรรคประชาชนต้องเผชิญความเป็นไปได้ของการอภิปรายไม่ไว้วางใจจากพรรคเพื่อไทย ซึ่งจะเป็นสนามที่พรรคประชาชนไม่ได้ผลลัพธ์เลย ไม่ว่าจะลงมติแบบไหนก็ต้องเจ็บ ถ้าลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลอนุทิน ก็เท่ากับยอมรับว่าตัวเองผิดตั้งแต่วันแรก ถ้าลงมติไว้วางใจ ก็ถูกโจมตีว่าเป็นฝ่ายค้านกำมะลอ ถ้างดออกเสียงก็ถูกโจมตีสองด้านและทำให้ฐานเสียงสับสนหนักกว่าทุกสถานการณ์ในอดีต นี่คือสถานการณ์แบบ “No-Win Scenario” ตามทฤษฎีเกม ซึ่งหมายถึงสถานการณ์ที่ไม่ว่าจะเลือกเส้นทางไหนก็ไม่มีทางชนะ มีแต่ “เลือกความเจ็บปวดที่น้อยที่สุด” เท่านั้น
ดังนั้นการที่อนุทินอาจชิงยุบสภาหลังเปิดประชุมในเดือนธันวาคม จึงอาจเป็น “ทางรอด” ของพรรคประชาชนอย่างที่หลายคนในแวดวงการเมืองเชื่อ เพราะมันช่วยให้พรรคไม่ต้องถูกลากเข้าไปสู่ศึกอภิปรายที่จะทำให้สูญเสียความน่าเชื่อถืออย่างรุนแรง แม้มันจะไม่ทำให้พรรคได้อะไรกลับมา แต่มันช่วยให้พรรค “รอดจากการถูกฆ่าต่อหน้า” อย่างน้อยที่สุด แต่เมื่อเข้าสู่สนามเลือกตั้ง พรรคประชาชนจะต้องเผชิญคู่แข่งที่แข็งแรงที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองของตน ไม่ใช่เพื่อไทย แต่คือภูมิใจไทย ปีศาจที่พรรคประชาชนเป็นผู้มอบชีวิตให้
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น คือพรรคประชาชนยังต้องสู้กับปีศาจอีกตนที่ซ่อนอยู่ภายใน นั่นคือการถูกครอบงำโดยธนาธรและปิยบุตร ซึ่งยังคงมีอิทธิพลอย่างล้นเหลือต่อพรรค ทั้งในด้านทิศทาง ความคิด การวางตัวบุคคล และแม้กระทั่งการแสดงออกทางอุดมการณ์ที่ยังคงเป็น “ร่างทรงของยุคอนาคตใหม่” มากกว่าจะเป็นพรรคการเมืองที่เติบโตตามโครงสร้างใหม่ของยุคประชาชน นี่คือปัญหาในมิติสถาบันการเมืองที่หนักที่สุด เพราะหมายความว่า พรรคประชาชนยังไม่กลายเป็น “สถาบัน” แต่ยังเป็น “พรรคของคนสองคน” ซึ่งในทางรัฐศาสตร์ พรรคแบบนี้ไม่มีวันชนะพรรคที่ถือโครงสร้างรัฐทั้งประเทศได้เลย ไม่ว่ากระแสมวลชนจะมากขนาดไหนก็ตาม
ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพ “ปีศาจ” จากนวนิยายของเสนีย์ เสาวพงศ์ เด่นชัดขึ้นมากกว่าเดิมในความหมายทางการเมือง ปีศาจในนิยายถือกำเนิดจากกาลเวลา แต่ปีศาจการเมืองในวันนี้ถือกำเนิดจากความผิดพลาดที่สั่งสมมาตั้งแต่ยุคอนาคตใหม่ การประเมินโครงสร้างรัฐผิด การเล่นการเมืองด้วยอุดมคติมากกว่าความจริง การยื่นความชอบธรรมให้พรรคที่ควรเป็นคู่แข่ง และการไม่เคยปลดปล่อยพรรคจากการครอบงำของผู้นำสองคน ปีศาจตนหนึ่งชื่อภูมิใจไทย ปีศาจภายนอกที่เติบโตจากการตัดสินใจผิดพลาดของพรรคประชาชน และปีศาจอีกตนหนึ่งคือการครอบงำของธนาธร–ปิยบุตร ปีศาจภายในที่ยังตามหลอกหลอนพรรคอย่างไม่รู้จบ
และความจริงที่สุดในเวลานี้คือประโยคเดียวที่อธิบายทุกอย่างได้ครบถ้วนว่า พรรคประชาชนไม่ได้สร้างปีศาจขึ้นมาตัวเดียว แต่สร้างสองปีศาจ ปีศาจภายนอกที่ชื่อภูมิใจไทย และปีศาจภายในที่ชื่อธนาธร–ปิยบุตร และตราบใดที่ยังปราบไม่ได้ทั้งสอง พรรคก็จะไม่มีวันก้าวข้ามชะตากรรมของพรรคส้มที่แพ้เกมการเมืองก่อนลงสนามจริงเสมอ


