xs
xsm
sm
md
lg

ทรัมป์บ้า...โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด น่าชัง!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
ปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตชวนไปดูสีสัน บรรยากาศ ของการประชุมกลุ่มประเทศคนรวยหรือเคยรวยกับกลุ่มประเทศที่กำลังจะรวย หรือทำท่าว่าจะรวย หรือที่เรียกกันสั้นๆ ง่ายๆ ย่อๆ ว่า กลุ่มประเทศ “G20” นั่นเอง คือมีทั้งประเภทรวยสุดๆ (จนเหลือแต่มะเขือ) อย่างคุณพ่ออเมริกา ไปจนพันธมิตรพรมเช็ดเท้าที่เคยรวยๆ อยู่ในยุโรปอย่างเยอรมนีฝรั่งเศส อังกฤษ อิตาลี แคนาดา รวมทั้งคุณน้ารัสเซียที่แม้ถูก“แซงก์ชั่น” โดยโลกตะวันตกเพียงใดก็ตามที ที่ได้รวมเอาบรรดาประเทศที่ทำท่าว่าจะรวย หรือกำลังรวยๆ ทั้งหลาย ไม่ว่าออสเตรเลีย บราซิล จีน อินตะระเดีย เม็กซิโก ซาอุดีอาระเบีย แอฟริกาใต้ เกาหลีใต้ ตุรกี อินโดนีเซีย มาร่วมพบปะหารือกันไปเป็นปีๆ โดยในปีนี้...ประเทศที่เคยจนๆ มาโดยตลอด เพราะต้องตกเป็นอาณานิคมของตะวันตกมานานแสนนาน แต่ก็ทำท่าว่าเริ่มจะรวยๆ ขึ้นมากับเขามั่งแล้ว อย่าง “แอฟริกาใต้”เลยกลายเป็นชาติแรกในแอฟริกาที่มีโอกาสเป็นเจ้าภาพ หรือเป็นผู้จัดการประชุมปีนี้ ที่กรุงโจฮันเนสเบิร์ก เมื่อช่วงวันอาทิตย์-วันจันทร์ที่ผ่านมา... 

คือเหตุที่ต้องชวนไปดู ไปชม ไปหยิบอะไรต่อมิอะไรเอามาใคร่ครวญ หวนคิด ก็อาจเป็นเพราะมันออกจะสอดคล้องกับสิ่งที่ได้เขียน ได้เปิดฉาก ไปเมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นเอง หรืออาจถือเป็น “ใบเสร็จ” ที่พอเอาไว้ยืนยัน นั่งยัน ได้ว่า เมื่อมาถึงขณะนี้ วินาทีนี้ โลกทั้งใบของบรรดาเราๆ-ทั่นๆ ทั้งหลาย มันน่าจะกลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว โอกาสที่จะหวนกลับไปสู่ความเป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” หรือโลกที่ต้องตกอยู่ใต้อำนาจอิทธิพลของ “ตะวันตก” มันคงจะถึงจุดจบ จุดสิ้นสุด ยุติ อย่างที่ผู้นำเยอรมนี “นายFriedrich Merz” ได้ออกมายอมรับ ยอมสารภาพ อันแทบไม่ต่างไปจากการประกาศ “ยอมแพ้” ไปแล้วนั่นเอง!!! 

เพราะแม้การประชุมคราวนี้จะถูกต่อต้าน คัดค้านและปฏิเสธ โดยผู้ที่รวยสุดๆ หรือมหาอำนาจสูงสุดทางเศรษฐกิจอย่างคุณพ่ออเมริกา ด้วยเหตุผลข้ออ้างแบบทื่อๆ ดื้อๆ ตามแบบฉบับ “ทรัมป์บ้า” ผู้นำอเมริกาเขานั่นแหละ คือเพราะ “เจ้าภาพ” อย่างแอฟริกาใต้นั้น ยังกระทำการ“ละเมิดสิทธิมนุษยชน” ปล่อยให้พวกผิวดำในแอฟริกาใต้ สังหาร พร่าผลาญ บรรดาเจ้าของฟาร์มชาวผิวขาวภายในประเทศ ชนิดถือเป็นการ “ล้างเผ่าพันธุ์” เอาเลยถึงขั้นนั้นโดยไม่ได้คิดหยิบเอาเรื่อง“พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเองอย่างอิสราเอล ฆ่าแล้ว ฆ่าอีก บรรดาชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซามาพูดถึง เอ่ยถึง เอาเลยแม้แต่น้อย... 

แต่ก็ด้วยเหตุเพราะคุณพ่ออเมริกาไม่คิดจะเข้าร่วมประชุม“G20” คราวนี้นี่เอง ทำให้คอลัมนิสต์สื่อทางการของจีน (Global Times) อย่าง “นายChen Xia” เขาถึงกับอดรนทนไม่ได้ที่จะต้องสรุปว่า “G20 in Johannesburg : Multilateralism advance as the US step aside” หรือเพราะอเมริกาถอยไปยืนอยู่ข้างๆ ไม่ได้คิดจะยื่นบัตรสมาชิก “สมาคมเสือกกิตติมศักดิ์”แบบเดิมๆ อีกต่อไป มันเลยทำให้แนวคิดในเรื่อง “โลกหลายขั้วอำนาจ” จึงเป็นไปในแบบไปแล้ว ไปโลด แบบก้าวหน้า ก้าวไกล เอามากๆ... 

โดยเฉพาะเมื่อดูจาก “แถลงการณ์ร่วม” ของบรรดาชาติต่างๆ ในกลุ่มประเทศ “G20” ที่ต่างเห็นพ้องต้องกันเอามากๆต่อการเกาะกลุ่ม สร้างความร่วมมือภายในกลุ่มประเทศดังกล่าวตามแนวทาง หรือตามคำขวัญอันว่าด้วย “Solidarity, Equality, Sustainability” หรือความเป็นเอกภาพ-ความเสมอภาคเท่าเทียม-และการพัฒนาแบบยั่งยืน หรือแบบพึ่งตนเองอะไรประมาณนั้น ไม่ยอมปล่อยให้ “ทรัพยากร” อันมีค่าของบรรดาประเทศจนๆ แต่ละราย กลายเป็นเพียง “สินค้าส่งออก”ให้บรรดาประเทศรวยๆ หรือประเทศอดีตนักล่าอาณานิคมทั้งหลายอีกต่อไปแล้ว พร้อมแสดงออกถึง “ความร่วมมือ” ไม่ใช่ “การข่มขู่” พร้อมผลักดันให้เกิด “เสถียรภาพ” ไม่ใช่การหันมา“เผชิญหน้า” พร้อมร่วมมือต่อกรณีการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การหันมาใช้พลังงานทดแทน การหาทางยุติปัญหาหนี้สินให้กับประเทศกำลังพัฒนา ไปจนถึงการปฏิรูปการเงินโลก ฯลฯ หรือต่างมุ่งหา “จุดลงตัว” เพื่อ “อยู่ร่วมกันโดยสันติ”ระหว่างประเทศต่างๆ ภายในโลกใบนี้ให้จงได้!!! 

ดังนั้น...แม้ว่าจะไม่มีประเทศ “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างอเมริกา ที่อาจยังคิดว่าตัวเองเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือเป็น“Indispensable Nations” เป็นประเทศที่ประชาชาติจะขาดเสียมิได้ เข้ามาร่วมมือ ร่วมประชุมกับบรรดากลุ่มประเทศ “G20”ทั้งหลาย แต่ก็กลับไม่ได้ก่อให้เกิดอาการติดๆ ขัดๆ ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม...กลับเป็นอะไรที่ลื่นไหล ราบรื่น เอามากๆ ดังเห็นได้จากความร่วมมือ ร่วมใจ ในการออก“แถลงการณ์ร่วม” ที่ไม่มีประเทศใดคิดจะขัดโน่น ขัดนี่ เอาเลยแม้แต่น้อย ต่างยอมรับสภาพ “ความเท่าเทียม” ของแต่ละประเทศ หรือของ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ทั้งหลาย ที่รวมตัวกันเป็นกลุ่มประเทศ “G20” โดยดุษณี... 

ชนิดที่ผู้นำแคนาดาซึ่งเคยถูก “ทรัมป์บ้า” ขู่คราวแล้วคราวเล่า ว่าจะแปรสภาพให้กลายเป็น “รัฐที่ 51” ของอเมริกาให้จงได้ อย่างนายกรัฐมนตรี “Mark Carney” เลยอดที่จะแสดงอาการซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ขึ้นมามิได้ ด้วยคำพูดที่ว่า... “แม้อเมริกาไม่คิดเข้าร่วมประชุม แต่กลุ่มประเทศ G20 ก็ยังเป็นกลุ่มประเทศที่มีจำนวนประชากร 3 ใน 4 ของโลก มีจีดีพี 2 ใน 3 ของโลก มีสัดส่วนการค้า 3 ใน 4 ของการค้าโลก ดังนั้น...อเมริกาไม่ควรประเมินตัวเองสูงเกินไปในเวทีระหว่างประเทศ เพราะบรรดาปัญหาต่างๆ ในโลกนี้ สามารถแก้ไข คลี่คลายและหาข้อยุติ โดยอเมริกาไม่จำเป็นต้องเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องเอาเลยก็ยังได้...” 

นี่...ฟังแล้วอดซี๊ดๆ ซ๊าดๆ ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ และที่ยิ่งน่าซี๊ดยิ่งไปกว่านั้น ก็คือการที่ผู้นำแคนาดารายนี้ได้ฟันธงและฟันเฟิร์มอย่างไม่คิดลังเลใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อยว่า “ศูนย์กลางแรงโน้มถ่วงของเศรษฐกิจโลกทุกวันนี้ ได้เคลื่อนย้ายไปจากจุดเดิมๆ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กิจกรรม ธุรกรรมของโลก จึงสามารถดำเนินต่อไปโดยไม่จำเป็นต้องมีอเมริกาแต่อย่างใด” อันนี้...ต้องเรียกว่า ถือเป็นการปฏิเสธความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก ของคุณพ่ออเมริกาแบบชนิดตรงไป-ตรงมาเอาเลยก็ว่าได้... 

ไม่ต่างไปจากประเทศกำลังจะรวยอย่างบราซิล ที่ผู้นำอย่างประธานาธิบดี “Luiz Inacio Lula da Silva” ไม่เพียงจะชี้ให้เห็นว่าเหตุที่อเมริกาไม่คิดจะเข้าร่วมประชุม G20 คราวนี้ ไม่น่าจะมีอะไรมากกว่าความพยายามแสดงให้เห็นถึงความยิ่งใหญ่ เกรียงไกรหรือความเป็นจ้าวโลกของตัวเอง แต่ยังได้แสดงความตะขิดตะขวงใจต่อการเคลื่อนกำลังทหารอเมริกันเข้าไปในทะเลแคริบเบียน เพื่อเล่นงานประเทศเวเนซุเอลาว่า...สิ่งที่บราซิลต้องการบอกกับผู้นำอเมริกาในเรื่องนี้ ก็คือบรรดาประเทศละตินอเมริกาทั้งหลาย ต่างต้องการให้ภูมิภาคแห่งนี้เป็น “เขตสันติภาพ” ไม่ใช่เป็นแค่ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาอีกต่อไป!!! 

หรือพูดง่ายๆ ว่า...ไม่เพียงแต่รัสเซีย จีน อิหร่าน ที่เวเนซุเอลาได้ขอความช่วยเหลืออย่างเป็นทางการเท่านั้นที่ไม่อาจ“เอามือซุกหีบ” ไว้เฉยๆ ต่อความพยายามแทรกแซง โค่นล้มระบอบการปกครองประเทศเล็กๆ ของอเมริกาโดยอาศัยเรื่อง “ยาเสพติด” เป็นข้ออ้าง แต่ยังมีบราซิลและบรรดาประเทศในละตินอเมริกาอีกเป็นจำนวนไม่น้อย โดยเฉพาะที่เคยเจอบทเรียนอันหนักหนาสาหัสมาตั้งแต่ยุคอดีต ไม่ว่าด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร ลอบฆ่า ลอบสังหาร ผู้นำแต่ละประเทศ โดยห้ามมิให้ใครเข้ามายุ่ง มาเกี่ยว ตามแบบฉบับ “ลัทธิมอนโร” ทำนองนั้น ที่คงมิอาจเอามือซุกหีบอีกต่อไปได้เลย เผลอๆ...กระทั่ง“พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” บางรายในยุโรป ที่ชักรู้สึกว่า“สัมพันธภาพสองฟากฝั่งแอตแลนติก” ระหว่างอเมริกากับบรรดาชาติต่างๆ ในยุโรป เริ่มหมดสภาพ หมดยุค หมดสมัยไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วก็อาจไม่เอาด้วย ไม่เห็นควรด้วยกับการแสดงความยิ่งใหญ่ ความพยายามที่จะทำให้ “America Grate Again” ด้วยการบุกประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลาแบบดื้อๆทื่อๆ!!! 

หนักยิ่งไปกว่านั้น...กระทั่งบรรดาอเมริกันชนด้วยกันเองถ้าว่ากันตามผลสำรวจ “โพลล่าสุด” ของสำนักข่าวรอยเตอร์ หรือ “Ipsos Poll” จากที่เคยเห็นควรด้วยกับการบุกเวเนซุเอลาของ “ทรัมป์บ้า” ที่มีอยู่แค่ 31 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง มาถึงวันนี้...เหลืออยู่แค่ 21 เปอร์เซ็นต์ไม่เกินไปกว่านั้น ยิ่งถ้าว่ากันโพลของ “YouGov” ผู้ที่เห็นด้วยกับการแสดงออกถึงความยิ่งใหญ่ของอเมริกา ตามแบบฉบับของ “ทรัมป์บ้า” ในกรณีดังกล่าว มีอยู่แค่ 18 เปอร์เซ็นต์ ส่วนที่ต่อต้าน คัดค้าน แบบชนิดหัวเด็ดตีนขาดปาเข้าไปกว่า 51 เปอร์เซ็นต์ หรือกว่าครึ่ง เกินครึ่งเอาเลยถึงขั้นนั้น ด้วยเหตุนี้...ไม่ว่าประธานาธิบดีอเมริกัน ผู้นำโลกตะวันตกอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะยังคิดว่าตัวเองเป็นจ้าวโลก เป็นประมุขโลก หรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แต่โดยความจริง โดยข้อเท็จจริง ดังที่ร่ายเรียงให้เห็นเป็นฉากๆ ก็น่าจะพอสรุปได้ว่าแม้จะดูน่ารักอยู่มั่งเล็กๆ น้อยๆ แต่สุดท้าย...ก็แทบไม่ต่างไปจาก “โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด น่าชัง” นั่นแล...


กำลังโหลดความคิดเห็น