“ตัวตลก-ตัวแทน” ของโลกตะวันตกอย่างยูเครน...จะยอมรับ “แผนสันติภาพ 28 ข้อ” ของอเมริกา ภายในวันพฤหัสฯ ที่ 27 พ.ย. หรือก่อนหน้าวัน “Thanksgiving” ดังที่สื่ออเมริกันอย่าง “The Financial Times” ได้รายงานเอาไว้เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมาหรือไม่? เพียงใด? คงต้องคอยจับตาอย่างมิอาจกะพริบกันต่อไปนั่นแหละทั่น!!!
เพราะแม้ว่าแผนการดังกล่าวจะถูกสรุปไว้ล่วงหน้าว่าเป็น “สันติภาพที่เสียเปรียบ” โดยบรรดาผู้นำชาติยุโรปที่ให้การสนับสนุนยูเครนกันเป็นจำนวนไม่น้อย คือต้องยอมยกดินแดนไครเมีย รวมทั้งดินแดน4 เขต4 แคว้นที่เรียกๆ กันว่า “Donbas” ให้กับรัสเซีย รวมทั้งอาจต้องปรับลดกำลังทหารให้เหลือยู่เพียงแค่เอาไว้ปกป้องอธิปไตยส่วนที่เหลือ (600,000 นาย) ฯลฯ อะไรประมาณนั้น แต่ถ้าหากฟังจากคำพูด คำจา ของผู้นำยูเครนอย่าง “นายVladimir Zelensky” ที่กำลังต้องเจอข้อหาพัวพันการทุจริตคอร์รัปชัน เงินช่วยเหลือด้านพลังงานจากยุโรป ชนิดทำท่าว่าจะไปแหล่-มิไปแหล่ การออกมาป่าวประกาศว่า “พร้อมทำงานร่วมกับวอชิงตันอย่าง...ซื่อสัตย์!!! ในแผนยุติสงครามยูเครน” หรือออกอาการเสียงอ่อนเสียงหวานเช่นนี้ เลยทำให้โอกาสที่สงครามความขัดแย้งระหว่างยูเครน-รัสเซียซึ่งดำเนินยืดเยื้อมาแล้วเกือบ 3 ปีเต็มๆ ย่อมมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดการสิ้นสุดยุติในอีกไม่กี่วันนับจากนี้ก็น่าจะพอเป็นไปได้ ไม่มาก-ก็น้อย...
แต่สิ่งที่น่าสนใจและน่าคิดสะกิดใจยิ่งไปกว่า...ที่คงต้องขออนุญาตหยิบเอามาแลกเปลี่ยน ใคร่ครวญ พิจารณา กันในช่วงเปิดฉากสัปดาห์นี้ ก็น่าจะเป็นคำพูด คำจา ของผู้นำเยอรมนี หนึ่งในประเทศ “เสาหลัก” ของฝ่ายตะวันตก อย่างอียูและ NATO เช่น “นายFriedrich Merz”ที่มหาอำนาจสูงสุดของโลกอย่างคุณพ่ออเมริกากำลังคิดจะ “โอนภาระความรับผิดชอบ” ในการปกป้องดินแดนยุโรปทั้งหลาย ให้เอาไปแบกไว้บนบ่าแบบเนื้อๆ-เต็มๆ ซึ่งได้ไปพูด ณ เวทีการประชุมทางเศรษฐกิจที่จัดขึ้นโดยหนังสือพิมพ์ “Suddeutsche Zeitung” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่แล้ว(17 พ.ย.) ถึงขั้นว่า...โลกใบนี้ที่เราๆ-ทั่นๆ กำลังอยู่ กำลังอาศัย กำลังจะเกิด “ความเปลี่ยนแปลง” กันในระดับราก ระดับฐาน(fundamental) เอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจและอื่นๆ อันจะส่งผลให้ประเทศเยอรมนีและบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ต้องเตรียมตัวรับมือไม่ว่าในเชิงตั้งรับ หรือเชิงรุก ก็ตามที...
หรือโดยคำพูดที่ว่า...“เรายังไม่อาจรู้ได้ว่า สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า มันจะมีรูปร่างหน้าตาแบบไหน? อย่างไร? แต่ก็พอรู้ได้อย่างแจ่มแจ้ง ชัดเจนพอสมควรว่า...ระเบียบโลกที่บรรดาชาติตะวันตกเคยคุ้นเคยมาโดยตลอดช่วงกว่า80 ปีที่แล้ว กำลังจะสิ้นสุด ยุติ ในอีกไม่นาน-ไม่ช้านับจากนี้ โดยจะอีกกี่วัน กี่สัปดาห์ กี่เดือน กี่ปี หรือได้เกิดขึ้นมาแล้วในทุกวันนี้...” อันส่งผลให้สัมพันธภาพที่ใกล้ชิดสนิทแน่น เคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอดระหว่างมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างอเมริกากับบรรดา “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ทั้งหลายในยุโรปอย่างที่เรียกๆ กันว่า “Transatlantic relation” ก็กำลังกลายเป็นสิ่งที่ถูกตั้งคำถาม ไม่ว่าในแง่ความถูกต้อง หรือความจำเป็นใดๆ ก็ตามที!!!
นี่...เรียกว่าถึงแม้จะถูกถือเป็นผู้นำที่ “บรรษัทโลก”หรือ “บรรษัทข้ามชาติ” อย่าง “BlackRock” ส่งเข้าประกวด จนสามารถ “คว้ามง”หรือสามารถผงาดขึ้นเป็น “The Germany Chancellor” ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ยังอดไม่ได้ที่จะต้องยอมรับ ยอมสารภาพเอาไว้อย่างตรงไป-ตรงมา ว่าบรรดาสิ่งที่เคยถือเป็น “ความสูงส่ง”ของโลกตะวันตกหรือของพวก “เสรีนิยมใหม่” ทั้งหลาย ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยเสรี ทุนนิยมเสรี หรือค่านิยมทางสังคม อารยธรรมวัฒนธรรมแบบโลกตะวันตก กำลังใกล้จะประสบ “ความสูญสิ้น” กันในระดับโลกเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือดังคำพูดที่เคยระบุไว้ในการแถลงก่อนหน้านั้น เมื่อช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมาถึงขั้นว่า... “สิ่งที่บรรดาเราๆ ชาวยุโรปเคยเรียกว่าเสรีภาพแบบตะวันตก กำลังแสดงให้เห็นถึงความเสื่อมคลายอย่างเป็นที่ประจักษ์” อะไรทำนองนั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...ถือเป็นการ “ยอมรับ” หรือ “ยอมสารภาพ” อย่างค่อนข้างชัดเจนแล้วว่า ผู้นำประเทศเสาหลักของอียูและ NATO รายนี้ ชักจะเกิดอาการ “ดวงตาเห็นธรรม” ขึ้นมามั่งแล้วว่า สิ่งที่เรียกๆ กันว่า “Global Rules”หรือ “Global Order” อันได้แก่กฎเกณฑ์ ระบบโลก ระเบียบโลกแบบเดิมๆ ที่เคยทำให้ “โลกตะวันตก” สามารถครอบงำ ครอบครอง
และกำหนดมาตรฐานให้ใครต่อใครทั่วทั้งโลก ต้องวิ่งไล่กวด ไล่ตาม ชนิดลิ้นหอบลิ้นห้อย มานานนับเป็นศตวรรษๆ มาบัดนี้...น่าจะใกล้สิ้นสุดยุติลงไปอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ หรือต้องยอมรับ ต้องยอมสารภาพ ออกมาแล้วว่า สิ่งที่บรรดาพวก “โลกตะวันออก”หรือจะเรียกว่าโลกใต้ โลกที่สาม โลกที่กำลังอยู่ในช่วงระหว่างการพัฒนา ต่างเพรียกหา หรือต่างพยายามเรียกร้องกันมานานแสนนาน นั่นก็คือความเป็นไปของโลกในแบบที่เรียกว่า “โลกหลายขั้วอำนาจ” ซึ่งไม่ใช่โลกที่จะต้องตกอยู่ภายใต้อำนาจของพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” อีกต่อไป กำลังกลายเป็นสิ่งที่จะอุบัติขึ้นมาแทนที่อย่างมิอาจปฏิเสธใดๆ ได้อีกต่อไปแล้ว!!!
เพียงแต่ว่า...โดยรูปร่างหน้าตาของโลกในลักษณะที่ว่านี้ จะออกมาในแนวไหน? แบบไหน? อย่างไร? ก็ยังมิอาจเป็นที่สรุปแน่ชัด แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...มันคงไม่ใช่ “โลกตะวันตก” อีกต่อไปแล้ว นี่...อันนี้นี่แหละ ที่อาจถือเป็นการยอมรับ ยอมสารภาพ หรือ “คำประกาศการยอมแพ้” ของบรรดาพวกโลกตะวันตกอย่างค่อนข้างเป็นที่ชัดเจน และคงไม่ใช่แค่เพิ่งมา “ดวงตาเห็นธรรม”กันในช่วงวัน-สองวันมานี้ เพราะสำหรับใครก็ตาม...ที่พยายาม “เจาะ-เกาะ-ติด” ฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกมาอย่างต่อเนื่องยาวนานพอสมควร คงเคยได้ยินถึงสิ่งที่บรรดาพวกโลกตะวันตกต่างปรารภรำพึงกันมาตั้งแต่เกือบๆ สิบปีที่แล้ว
ถึงสิ่งที่เรียกว่า “Westlessness” หรือสิ่งที่กำลังก่อให้เกิดความเสื่อมถอย เสื่อมคลาย ไม่ว่าในทางการเมือง เศรษฐกิจแนวคิด ทฤษฎี ค่านิยมทางสังคม วัฒนธรรม ประเพณี ฯลฯ ที่เคยก่อรูป ก่อร่าง ขึ้นมาจาก “พลังอำนาจ”ของผู้ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “จักรวรรดินิยม”หรือ “นักล่าอาณานิคม” ชาวตะวันตกในแต่ละรายนั่นเอง...
เพราะด้วย “พลังอำนาจ” เหล่านี้นี่เอง...ที่ได้กลายมาเป็นตัวกำหนดกฎเกณฑ์บรรดากฎระเบียบและมาตรฐานต่างๆ ให้กับโลกทั้งโลก ไม่ว่าในทางการเมือง-การปกครอง ระบบเศรษฐกิจที่ต้องหันมา “ค้าขายโดยเสรี”กับชาติตะวันตก จนต้องกลายสภาพเป็นประเทศ “อาณานิคม” ไม่ว่าในแบบแผนเก่า หรือแผนใหม่ก็แล้วแต่ ตลอดไปจนถึงระบบการศึกษาที่อภิมหาพระบ้านเรา อย่าง “ท่านพุทธทาสภิกขุ” ท่านเรียกว่าการศึกษาแบบ “หมาหางด้วน” อะไรทำนองนั้น ไปจนแม้แต่การ “ขีดเส้นแบ่ง” ความเป็นชาติ เป็นประเทศ ออกเป็นพรมแดน เขตแดนต่างๆ นานาชนิดที่ทำให้ใครต่อใครยังคงต้อง “ทะเลาะกันไม่เลิก” เหมือนอย่างที่ประเทศไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮายังคงต้องมีปัญหาอยู่กับประเทศเพื่อนบ้านอย่างเคลมโบเดีย หรือสแกมโบเดีย จนตราบเท่าทุกวันนี้...
ด้วยเหตุนี้...การยอมแพ้ ยอมรับสารภาพ ว่าบรรดากฎระเบียบต่างๆ ที่ก่อเกิดขึ้นมาจาก “พลังอำนาจ” ในลักษณะเช่นนี้ กำลังใกล้จะสิ้นสุดยุติในอีกไม่นาน-ไม่ช้า ย่อมต้องถือเป็น “ข่าวดี” สำหรับประเทศเล็กประเทศน้อย หรือบรรดาประเทศ “หญ้าแพรก” ทั้งหลาย เพียงแต่ว่า...การอุบัติขึ้นมาของสิ่งใหม่ๆ หรือ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่จะเข้ามาแทนที่ มันจะมีรูปร่างหน้าตาออกไปในลักษณะไหน? แบบไหน? และอย่างไร? อันนี้นี่แหละ...ที่คงต้องหันมาให้ความสนใจ และให้ความสำคัญเอาไว้ให้จงหนัก โดยเฉพาะสำหรับบรรดาประเทศที่จัดอยู่ในประเภทโลกใต้ โลกที่สาม หรือโลกที่กำลังพัฒนาทั้งหลาย ซึ่งต่างก็เคยถูกกระทำย่ำยีจากพวกโลกเหนือ โลกตะวันตก หรือโลกที่พัฒนาแล้ว มานานนับศตวรรษๆ...
ว่าจะสามารถนำเอาความเจ็บปวดรวดร้าว ความทุกข์ระทมทั้งหลาย มาใช้เป็น “บทเรียน” ในการก่อรูป ก่อร่างสิ่งที่เรียกว่า “ระเบียบโลกแบบใหม่” ขึ้นมาได้อย่างเป็นจริง-เป็นจัง เป็นไปในทางสันติภาพ-สันติธรรม ได้มาก-น้อยขนาดไหน? เพื่อไม่ให้ทุกสิ่งทุกอย่างต้องหวนกลับไปสู่การตกอยู่ภายใต้พลังอำนาจของประเทศหนึ่งประเทศใด ที่พยายามควบคุมและบงการให้โลกทั้งโลกต้องเป็นไปตามความปรารถนาและต้องการของ “ตัวกูเอง” มาโดยตลอด จนหนีไม่พ้นต้องอาศัย “สงคราม”เป็นทางออก-ทางไปซ้ำแล้ว-ซ้ำเล่า นับตั้งแต่ “สงครามโลก”ครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 ไปจนถึงสงครามเย็นและสงครามก่อการร้าย และใกล้ๆ จะเข้าสู่ “สงครามโลกครั้งที่3” ขึ้นมาเมื่อไหร่? ตอนไหน? ก็ยังมิอาจสรุปได้???


