หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ตลอดช่วงหลัง เราเห็นพรรคประชาชนเดินหน้าใช้คำว่า “ปาตานี” แทน “จังหวัดปัตตานี” ตามที่รัฐไทยกำหนดตามกฎหมาย และยิ่งนานไปก็ยิ่งเห็นความพยายามทำให้คำนี้กลายเป็น “ความจริงใหม่” ในทางวาทกรรม ทั้งที่ความจริงแล้ว คำว่า “ปาตานี” ที่ถูกกลุ่มแบ่งแยกดินแดนใช้ ไม่ได้มีสถานะทางกฎหมายใด ๆ ทั้งในประเทศไทยและในระดับสากล การใช้คำนี้จึงไม่ใช่เรื่องไร้พิษสง แต่คือการดึงเอาวาทกรรมที่ถูกผลิตขึ้นเพื่อสั่นคลอนความชอบธรรมของรัฐไทยมาใช้ในพื้นที่การเมืองระดับชาติอย่างไม่ควรเกิดขึ้น และเป็นสิ่งที่พรรคการเมืองในประเทศใดบนโลกที่เป็นรัฐเดี่ยวก็ไม่ทำกัน เพราะมันเสี่ยงต่อการสร้างความชอบธรรมให้ขบวนการแบ่งแยกดินแดนโดยไม่จำเป็น
น่าสังเกตว่า ความพยายามใช้คำว่า “ปาตานี” ของพรรคประชาชนไม่ได้เกิดขึ้นลอย ๆ แต่สอดคล้องอย่างประหลาดกับการเคลื่อนไหวของภาคประชาสังคมบางกลุ่ม เช่นบทความจากประชาไทเรื่อง “รำลึก 240 ปี ‘ปาตานี’ เสียกรุงให้สยาม” ซึ่งกำลังถูกส่งต่ออย่างแพร่หลายในสื่อออนไลน์ บทความนั้นเล่าอารมณ์สังคมได้ดี แต่กลับ “ตกหล่น” สาระสำคัญที่ทำให้ผู้อ่านอาจเข้าใจคลาดเคลื่อน เพราะบทความไม่อธิบายเลยว่า คำว่า “ปาตานี” ไม่มีสถานะอธิปไตยมานานกว่าศตวรรษ ไม่บอกว่าปาตานีโบราณไม่เคยมีอาณาเขตตรงกับสามจังหวัดในปัจจุบัน ไม่อ้างหลักกฎหมายสากลสำคัญอย่าง Uti Possidetis Juris ที่ศาลโลกยึดเป็นบรรทัดฐานว่าพรมแดนของรัฐสมัยใหม่ต้องยืนตามพรมแดนวันที่รัฐถือกำเนิด และไม่กล่าวถึงว่าการแบ่งแยกดินแดนจะทำได้ก็ต่อเมื่อมีการถูกรุกรานอย่างผิดกฎหมาย หรือถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสามจังหวัดชายแดนใต้แม้แต่น้อย
ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น บทความประชาไทไม่ได้แตะโครงสร้างความขัดแย้งที่แท้จริงเลย ไม่ว่าจะเป็นบทบาทของขบวนการบีอาร์เอ็น โครงสร้างลับของ RKK หรือบทบาทของมาเลเซียที่เคยให้พื้นที่พักพิงแก่แกนนำขบวนการ ทั้งหมดนี้ทำให้บทความดังกล่าวเล่าอารมณ์ได้ แต่ไม่ครบถ้วนต่อข้อเท็จจริงเชิงกฎหมายและความมั่นคงที่จำเป็นต่อการวิเคราะห์ปัญหาอย่างแท้จริง ยิ่งเมื่อดูไปพร้อมกับการเคลื่อนไหวของพรรคประชาชนในพื้นที่สามจังหวัด ความเชื่อมโยงยิ่งชัดเจนขึ้น เพราะคำถามสำคัญคือ ทำไมพรรคประชาชนจึงกระโจนเข้าไปเล่นบทบาทในพื้นที่ชายแดนใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ละเอียดอ่อนที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ
คำตอบตรงไปตรงมาคือ พรรคประชาชนมองเห็น “พื้นที่การเมืองที่ยังว่าง” และต้องการตั้งฐานในภูมิภาคที่พรรคใหญ่ยังไม่ยึดกุม การลงไปเล่นประเด็นอัตลักษณ์ ศาสนา สิทธิ และการกดทับทางวัฒนธรรม ทำให้พรรคดูเหมือน “กล้าพูดเรื่องยาก” และ “ยืนข้างผู้ถูกกดทับ” ซึ่งสร้างภาพลักษณ์ในหมู่คนรุ่นใหม่ได้ดี ทว่าในความเป็นจริง พรรคไม่ได้มีความเข้าใจลึกซึ้งต่อโครงสร้างความขัดแย้งและผู้เล่นตัวจริงในพื้นที่
การพูดถึง “ปาตานี” จึงกลายเป็นการซื้อวาทกรรมของขบวนการแบ่งแยกดินแดนมาใช้โดยไม่รู้ตัว และเป็นการเล่นไฟที่อันตรายอย่างยิ่งต่อประเทศ เพราะในพื้นที่จริง แกนกลางของความรุนแรงในสามจังหวัดไม่ใช่เรื่องอารมณ์ทางประวัติศาสตร์แบบโรแมนติก แต่คือขบวนการบีอาร์เอ็น—กลุ่มปฏิบัติการใต้ดินที่มีกำเนิดตั้งแต่ทศวรรษ 1960 ผสมแนวคิดชาตินิยมมลายู อิสลามการเมือง และยุทธศาสตร์สงครามประชาชนแบบยืดเยื้อ BRN-C และเครือข่าย RKK คือผู้ควบคุมเหตุการณ์ก่อความไม่สงบส่วนใหญ่ มีโครงสร้างแบบเซลล์ซ้อนเซลล์ ใช้เครือข่ายปอเนาะและผู้นำศาสนาฝังตัวในหมู่บ้าน เป็นระบบใต้ดินที่ต่อให้รัฐจับได้เป็นกลุ่ม ๆ ก็ยังสร้างใหม่ได้
การอธิบายความขัดแย้งว่าเป็น “ประชาชนสามจังหวัดลุกขึ้นสู้” จึงเป็นภาพที่ผิดจากข้อเท็จจริงอย่างสิ้นเชิง และยิ่งขัดแย้งกับกฎหมายระหว่างประเทศที่ชัดเจนว่า กลุ่มติดอาวุธใต้ดินไม่สามารถอ้างสิทธิการกำหนดอนาคตตนเองแบบรัฐอธิปไตยได้เลย นอกจากนี้ บทบาทของมาเลเซียเป็นอีกชั้นสำคัญที่ถูกมองข้าม ทั้งที่เป็นปัจจัยจริงที่ทำให้ความขัดแย้งยืดเยื้อมาอย่างยาวนาน มาเลเซียเคยเป็นพื้นที่พักพิงของแกนนำบีอาร์เอ็น ใช้เป็นสถานที่ประชุมลับและวางแผน ถูกใช้เป็นเส้นทางลำเลียงทั้งบุคคลและทรัพยากร และการเจรจาสันติภาพใด ๆ ของไทยก็ต้องผ่านรัฐบาลมาเลเซียในฐานะ “ผู้เอื้อกระบวนการ” ซึ่งทำให้ทุกอย่างขึ้นกับสมการการเมืองภายในมาเลเซียอีกชั้นหนึ่ง พื้นที่ชายแดนที่พรมแดนพรุนทำให้ขบวนการข้ามไปมาง่าย และนี่คือเหตุผลสำคัญที่ความขัดแย้งไม่เคยจบลงด้วยวิธีง่าย ๆ
ในความเป็นจริง “ปัตตานี” คือจังหวัดหนึ่งของประเทศไทย มีสถานะทางรัฐธรรมนูญที่ชัดเจน และอยู่ในโครงสร้างรัฐเดี่ยว (unitary state) ซึ่งหมายความว่า ไม่มีหน่วยปกครองใดมีสิทธิแยกตัวหรือประกาศเอกราชโดยกฎหมายภายในประเทศ ไม่ว่าจะเป็นจังหวัด ตำบล หรือแม้แต่พื้นที่ที่มีอัตลักษณ์เฉพาะแค่ไหนก็ตาม นี่คือหลักพื้นฐานของรัฐเดี่ยวที่ยืนยาวมาในกฎหมายไทยตั้งแต่รัชกาลที่ 5 ผ่านระบบมณฑลเทศาภิบาลและปรากฏชัดเจนในรัฐธรรมนูญทุกรัฐฉบับอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน การอ้างว่า “ปาตานีเคยเป็นรัฐเอกราช” จึงไม่มีความหมายในระบบรัฐสมัยใหม่ เพราะรัฐไทยที่ถูกนานาชาติรับรองตั้งแต่สนธิสัญญาเบาว์ริง ค.ศ. 1855 เป็นต้นมา ถือปัตตานีเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนโดยเสถียรในทางกฎหมายโลกมาแล้วกว่า 170 ปี
สิ่งที่น่ากังวลคือ คำว่า “ปาตานี” ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนถูกนำมาขยายให้ครอบคลุมปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลาบางส่วน ทั้งที่ในเชิงประวัติศาสตร์แล้ว “ปาตานีโบราณ” ไม่เคยครอบคลุมพื้นที่ดังกล่าวทั้งหมด แถมยังมีขนาดเล็กกว่าปัตตานีปัจจุบันด้วยซ้ำ การลากพื้นที่สามจังหวัดครึ่งเข้ามารวมเป็น “ปาตานี” จึงเป็นการสร้างอาณาเขตใหม่ขึ้นจากอากาศเพื่อวัตถุประสงค์ทางการเมือง มิใช่ประวัติศาสตร์ และไม่มีมาตรฐานใดในโลกยอมรับให้ใช้ “อาณาจักรเก่า” มาเขียนเขตแดนใหม่ในศตวรรษที่ 21 กฎหมายระหว่างประเทศยืนยันแนวคิดนี้อย่างหนักแน่นผ่านหลัก Uti Possidetis Juris ซึ่งถือว่า “พรมแดนของรัฐสมัยใหม่ต้องยึดตามพรมแดน ณ ตอนที่รัฐนั้นถือกำเนิด ไม่ใช่พรมแดนยุคอาณาจักรโบราณ”
หลักการนี้ถูกใช้ตัดสินคดีปักปันเขตแดนแทบทุกภูมิภาคของโลก ทั้งในแอฟริกา ละตินอเมริกา และยุโรปตะวันออก โดยมีคำพิพากษาศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ที่ชัดเจน เช่น คดี Burkina Faso v. Mali ปี 1986 ที่ศาลระบุว่า “Historical title cannot override modern borders” หรือ “สิทธิทางประวัติศาสตร์ไม่อาจล้มพรมแดนสมัยใหม่ได้” ตรงนี้คือหลักที่ชี้ชัดว่าการอ้างอาณาจักรปาตานีเก่าไม่มีผลทางกฎหมายใดต่อพรมแดนของประเทศไทย
กลุ่มแบ่งแยกดินแดนพยายามนำแนวคิดสิทธิชนพื้นเมืองมาอ้างเช่นเดียวกับกรณีอินเดียนแดงในสหรัฐ หรืออะบอริจินในออสเตรเลีย แต่ในความเป็นจริง สถานการณ์ในปัตตานี–ยะลา–นราธิวาสไม่เข้ากรอบ UNDRIP (สิทธิชนพื้นเมืองตามสหประชาชาติ) เลย เพราะประชากรมลายูในพื้นที่มีสัญชาติไทยสมบูรณ์ มีสิทธิเลือกตั้ง มีการปกครองท้องถิ่นตามกฎหมาย มีเสรีภาพทางศาสนาและวัฒนธรรม และไม่ถูกยึดแผ่นดินแบบประชากรพื้นเมืองในโลกยุคอาณานิคม ขณะที่กลุ่มชนพื้นเมืองทั่วโลก แม้จะมีสิทธิในที่ดินหรือวัฒนธรรม แต่ก็ไม่ได้มีสิทธิ “แยกประเทศ” เช่นกัน อินเดียนแดงไม่มีสิทธิแยกอเมริกา มายาไม่มีสิทธิสร้างประเทศใหม่ ไอยีนูไม่มีสิทธิแบ่งญี่ปุ่น ชนพื้นเมืองแอฟริกาก็ไม่อาจอ้างอาณาจักรเก่าแบ่งรัฐในศตวรรษที่ 21 นี่คือมาตรฐานสากลที่ชัดเจน
ที่สำคัญ การแบ่งแยกดินแดนอย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเข้าเงื่อนไขจำกัดมาก คือ หนึ่ง ถูกยึดครองผิดกฎหมาย เช่นกรณีติมอร์ตะวันออกที่ถูกอินโดนีเซียรุกราน และสอง ถูกฆ่าล้างเผ่าพันธุ์แบบเป็นระบบ เช่นกรณีโคโซโว แต่ปัตตานีไม่เข้าเงื่อนไขใดเลย พลเมืองในพื้นที่มีสิทธิทางการเมืองครบถ้วน ไม่มีเหตุผลทางกฎหมายสากลที่เปิดทางให้แยกประเทศแม้แต่น้อย นี่คือความจริงที่นักการเมืองทุกคนควรเข้าใจ ก่อนจะนำวาทกรรมอันตรายเข้ามาใช้ในสภาอย่างไม่เหมาะสม
เมื่อมองทั่วโลก สเปนต่อต้านพรรคที่ใช้คำว่า “ประเทศบาสก์” อย่างรุนแรง ตุรกีสั่งยุบพรรคหนุน “เคอร์ดิสถาน” หลายครั้ง อินเดียไม่อนุญาตให้พรรคใดสนับสนุนเอกราชแคชเมียร์ ฟิลิปปินส์จัดกลุ่มการเมืองที่หนุน “เอกราชมินดาเนา” เป็นแนวร่วมก่อการร้าย ทุกประเทศปกป้องอำนาจอธิปไตยของตนตามหลักกฎหมายสากล เพราะการเล่นการเมืองด้วยวาทกรรมแบ่งแยกดินแดนคือการเล่นไฟที่ไม่มีใครควรแตะ
ดังนั้น การที่พรรคประชาชนออกมาใช้คำว่า “ปาตานี” จึงไม่ใช่การยืนข้างสันติภาพ แต่เป็นการยืนข้างวาทกรรมที่กลุ่มแบ่งแยกดินแดนต้องการให้สังคมไทยคุ้นชิน การทำเช่นนี้ไม่ช่วยแก้ปัญหาและไม่ช่วยบรรเทาความขัดแย้ง แต่กลับทำให้ความชอบธรรมปลอมของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนเติบโตในพื้นที่สาธารณะอย่างไม่จำเป็น สิ่งที่ทุกฝ่ายควรยึดคือกรอบกฎหมายสากลซึ่งชัดเจนมากว่า ไม่มีสิทธิใด ๆ ให้ปัตตานีแยกออกจากประเทศไทย การกระจายอำนาจ การเคารพอัตลักษณ์ และการแก้ปัญหาความไม่สงบสามารถทำได้ภายในกรอบรัฐไทย
แต่การใช้วาทกรรม “ปาตานี” เพื่อปูทางให้เกิดความคิดแยกประเทศนั้น เป็นทางที่ผิดทั้งในทางกฎหมายและในทางประวัติศาสตร์ นี่คือเหตุผลทั้งหมดที่ชัดเจนกว่าสิ่งใด และเป็นสิ่งที่พรรคประชาชนควรหยุดทำก่อนจะปล่อยให้วาทกรรมนี้ทำลายเสถียรภาพของประเทศโดยไม่จำเป็น
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


