xs
xsm
sm
md
lg

ฝันร้าย....ของโลกตะวันตก!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
จนป่านนี้...ก็ยังมิอาจรู้ชัดเจนได้เลยว่า ตกลงประเทศมหาอำนาจสูงสุดแห่งโลกอย่างอเมริกา จะคิด “บุก-ไม่บุก” ประเทศสวนหลังบ้านของตัวเองอย่างเวเนซุเอลากันเลยหรือไม่? เมื่อไหร่? และอย่างไร? แต่ไม่ว่าจะบุก-ไม่บุกโดยแนวโน้มแล้ว ผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” น่าจะมีแต่ “ซวย-กับ-ซวย” อย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้!!! 

เพราะการยกพหลพลโยธา ขนอาวุธยุทโธปกรณ์...ไม่ว่าประเภทเรือบรรทุกเครื่องบินลำใหญ่ที่สุดในโลก เรือรบ เรือพิฆาต เรือดำน้ำนิวเคลียร์ แล่นเข้าไปในน่านน้ำทะเลแคริบเบียน พร้อมบรรดาทวยทหารอเมริกันอีกนับเป็นหมื่นๆ แถมยังเตรียมเครื่องบินโจมตี เครื่องบินทิ้งระเบิดล่องหนฯลฯ เพื่อเอาไปเล่นงาน “แก๊งค้ายา” แค่ไม่กี่คน อันนี้...น่าจะหนักกว่าการ “ขี่ช้างจับตั๊กแตน” เป็นไหนๆ ถึงแม้ว่าจะเพิ่งขึ้น “บัญชีดำ” ประกาศให้แก๊งค้ายาอย่างองค์กร “Cartel de los Soles”เป็น “องค์กรก่อการร้าย” โดยมีผลตั้งแต่วันที่ 24 พ.ย. เป็นต้นไป อันอาจทำให้กำลังทหารอเมริกันมีสิทธิล้างผลาญ ทำลาย สิ่งที่ถูกถือเป็น “เครือข่าย” ขององค์กรดังกล่าวได้อย่างเต็มมือ เต็มตีน ยิ่งขึ้นๆ ไปแต่ในเมื่อผู้นำเวเนซุเอลา อย่างประธานาธิบดี “Nicolas Maduro” ท่านยืนยัน นั่งยันและนอนยันแบบหัวเด็ดตีนขาด ว่าท่านไม่ได้เกี่ยวอะไรกับองค์กรที่ว่าเอาเลยแม้แต่น้อย... 

แถมการคิดจะปราบแก๊งค้ายาเสพติดของอเมริกา...ก็ออกจะเป็นไปดังที่ผู้ก่อตั้งองค์กร “The Venezuela Solidarity Network” อย่าง “นายRoger D. Haris” เขาได้เหน็บแนมเอาไว้ในข้อเขียน บทความ ชิ้นล่าสุดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานั่นแหละว่า ถึงลงทุน “ฆ่าใครก็ไม่รู้?” ไปแล้วถึง 75 ราย แต่ก็ไม่สามารถจับกุม กวาดล้าง สิ่งที่เรียก “ยาเสพติด” เอามาอวด มาโชว์ ได้เลยแม้แต่ออนซ์เดียว ต่างไปจากผู้นำเวเนซุเอลา อย่าง “นายMaduro” แม้ไม่ถึงกับต้องลงทุนฆ่าใครเอาเลยแม้แต่รายเดียว แต่โดยผลงานเมื่อปีที่แล้ว สามารถกวาดจับยาเสพติดเอาไว้เป็นหลักฐานได้ถึง 64 ตัน เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! 

นี่...อันนี้นี่แหละที่ทำให้ “ความชอบธรรม” ในการอาศัยเรื่องยาเสพติดมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” ในการบุกประเทศสวนหลังบ้านของตัวเอง มันจึงแทบไม่เหลือติดปลายนวมเอาเลยแม้แต่น้อย เหลือแต่ความพยายามแทรกแซง โค่นล้ม เปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศเพื่อนบ้าน ฯลฯ ไม่ต่างไปจาก“อันธพาล” หรือ “นักเลงโต” ที่ไม่ว่าผู้คนในบ้านนอกบ้านนาต่างไม่อยากจะด้วน หรือ “ไม่เห็นควรด้วย” ไปด้วยกันทั้งสิ้น เห็นได้จาก “โพล” สอบถามความคิดเห็นของบรรดาอเมริกันชนด้วยกันเอง มีอยู่แค่เพียง 30 กว่าเปอร์เซ็นต์เท่านั้นที่เห็นด้วยกับ “ทรัมป์บ้า” ในเรื่องนี้ ส่วนในประเทศเวเนซุเอลา ผู้ที่เห็นด้วยกับการอาศัยกำลังทหารอเมริกันโค่นล้ม เปลี่ยนระบอบการปกครอง “Maduro” หรือเห็นพ้องต้องกันกับเจ้าของรางวัลโนเบลสันติภาพ ชาวเวเนซุเอลาปีนี้ อย่าง “นางMaria Corina Machado” มีอยู่เพียงแค่ 3 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง... 

นอกเหนือไปจากนั้น...แม้แต่พวก “ขวาใหม่” หรือพวก“Neo-conservative” อย่าง “นายElliott Abrams” ที่เคยสนับสนุนพวกผู้นำเผด็จการในละตินอเมริกาที่จงรักภักดี ยอมเป็นลูกสมุนให้ประเทศอเมริกามาโดยตลอด ก็ดูจะไม่เห็นควรด้วยกับ “ทรัมป์บ้า” ในเรื่องนี้ โดยเฉพาะถ้าหากท้ายที่สุดต้องนำไปสู่การเสียหน้า เสียหมา แบบเดียวกับที่อเมริกาต้องหนียะย่ายพ่ายจะแจ ต้องถอนกำลังทหารออกจากประเทศอัฟกานิสถานเมื่อครั้งอดีตประธานาธิบดี “โจ ซึมเซา” อะไรทำนองนั้น อันอาจส่งผลให้ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาอาจต้องเปลี่ยนเนื้อหาของสิ่งที่เรียกว่า “ลัทธิมอนโร”(Monroe Doctrine) แบบชนิดไม่เหลือเศษ เหลือซาก ว่าใครคือผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ณ ซีกโลกแห่งนี้ ยิ่งเมื่อต้องเจอกับบรรดา “ทหารบ้าน” ของเวเนซุเอลานับเป็นล้านๆ ที่อาสาสมัครเข้ามาปกป้องมาตุภูมิของตัวเอง ที่อาจกระจัดกระจายกลายเป็น “กองโจร” ซึ่งปราบยาก ปราบเย็น เอามากๆ อันอาจส่งผลให้เกิดสิ่งที่สำนักข่าว “CNN” ของอเมริกาเองประเมินเอาไว้ก่อนล่วงหน้า ว่ากองทัพอเมริกาอาจต้อง “ติดหล่ม” สงครามในภูมิภาคแห่งนี้อีกนับเป็นปีๆ เอาเลยถึงขั้นนั้น... 

นั่นยังไม่รวมไปถึง...บรรดา “พันธมิตร” ของประเทศเวเนซุเอลา ไม่ว่าจีน หรือรัสเซียที่เพิ่งรับรองสัตยาบันความเป็น “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์” กับประเทศนี้ไปหมาดๆ ไปจนอิหร่านที่เคยคิดจะมาสร้างฐานทัพเรือไว้ดูเล่นที่ประเทศแห่งนี้ ซึ่งต่างมิอาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อยู่แล้วแน่ๆ โดยเฉพาะเมื่อ“ความชอบธรรม” ในการบุกเวเนซุเอลา แทบไม่เหลือติดปลายนวมใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย แถมยังถือเป็นการล่วงละเมิด “กฎระเบียบโลก” หรือ “Global Rules” ที่บรรดาประเทศโลกตะวันตกต่างแสดงความหวงแหนเสียเหลือเกิน ดังที่ผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติท่านได้ชี้ให้เห็นอย่างเป็นที่แจ่มแจ้ง ชัดเจน และอาจด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”ทำท่าว่าคิดจะหันไป “เจรจา” กับผู้นำเวเนซุเอลากันแทนที่ โดยแม้ว่าประธานาธิบดี “Maduro” จะแสดงอาการตอบรับต่อท่าทีเช่นนี้ แต่คงไม่น่าจะถึงกับคิดยกแหล่งสำรองน้ำมัน แร่ทองคำ โคลแทน บอกไซต์ นิเกิล ฯลฯ ให้กับบริษัทอเมริกันเอาง่ายๆ ตราบใดที่ “ผลประโยชน์” ของทั้งสองฝ่าย ยังไม่ได้เป็นไปในแบบ “Win-Win” หรือแบบเท่าเทียมกัน ตามบรรทัดฐานของ “ระเบียบโลกแบบใหม่” หรือแบบ “โลกหลายขั้วอำนาจ”นั่นเอง... 

ส่วนการคิดจะแปรสภาพยุโรปให้กลายเป็น “สนามรบ”ระหว่างรัสเซียกับ NATO ของบรรดาพวก “กระหายสงคราม”ทั้งหลาย มาถึงช่วงนี้...ก็ดูจะเต็มไปด้วย “ความไม่เอื้ออำนวย”ยิ่งเข้าไปทุกที ไม่ใช่แต่เฉพาะ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างประธานาธิบดียูเครน “นายVladimir Zelensky” กำลังเจอข้อหาทุจริต คอร์รัปชัน เงินช่วยเหลือด้านพลังงานจากยุโรปนับเป็นร้อยๆ ล้านดอลลาร์เท่านั้น หรือไม่ใช่แต่เฉพาะความ “ใกล้เจ๊ง” ของบรรดาประเทศเสาหลักต่างๆ ในยุโรปไม่ว่าด้านการเมือง หรือเศรษฐกิจ แต่ยังอาจเป็นเพราะความน่ากลัว น่าสยดสยองพองขนของประเทศหมีขาวรัสเซียเองนั่นแหละ ที่ทำให้บรรดาประเทศเสาหลักในอียู-อีย้วย หรือในหมู่ชาติ “NATO” ทั้งหลาย ชักเริ่มขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งเข้าไปทุกที!!! 

โดยเฉพาะสำหรับใครก็ตาม ที่มีโอกาสได้อ่านข้อเขียน บทความ หรือรายงานข่าวประกอบการให้สัมภาษณ์บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย ของผู้สื่อข่าวอาวุโสโต๊ะข่าวต่างประเทศชาวอังกฤษ อย่าง “นายKevin Adjei-Darko” ในหนังสือพิมพ์ “Daily Mail” คราวล่าสุด ที่ได้ไปหยิบเอาเรื่องราวอาวุธร้ายๆของประเทศหมีขาวรัสเซียมาวิเคราะห์ สังเคราะห์อย่างเป็นระบบและกิจการ หรือเรื่อง “Putin’s new super weapons that could obliterate the West in seconds” ว่าด้วย “อาวุธใหม่ๆ”ของประเทศรัสเซียที่สามารถลบทิ้งประเทศยุโรปเป็นรายๆภายในแค่ไม่กี่วินาทีเท่านั้นเอง!!! ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธที่มีพิสัยทำการระดับ “ไร้ขีดจำกัด” หรือไปไกลมากกว่า 87,000 ไมล์อย่าง “Burevestnik” ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “เชอร์โนบิลลอยฟ้า” (Flying Chernobyl) ซึ่งไม่ว่าผู้เชี่ยวชาญรายใดต่อรายใด ต่างมิอาจปฏิเสธถึงความร้ายกาจ ร้ายแรง ระดับ “ป้องกัน”อะไรแทบไม่ได้ ยิ่งเป็นขีปนาวุธใต้น้ำอย่าง “Poseidon Doomsday Torpedo” ที่ประเทศอังกฤษกลัวนัก กลัวหนา เพราะไม่เพียงแต่สามารถจมเกาะอังกฤษได้ทั้งเกาะ ยังสามารถสร้างคลื่นสึนามิ และสารกัมมันตรังสีตกค้างที่ต้องใช้เวลาเป็นปีๆ ถึงจะล้างออกได้หมด อันเป็นขีปนาวุธที่ถูกติดตั้งเอาไว้ในเรือดำน้ำนิวเคลียร์ของรัสเซีย คือเรือ “Khabarovsk” เป็นที่เรียบโร้ยย์ย์ย์แล้ว... 

นั่นยังไม่รวมไปถึงขีปนาวุธ “Hypersonic” อย่าง“Avangard”, “Zircon” และ “Kinzhal” ฯลฯ ที่มีความเร็ว ความแม่นยำ มีพิสัยทำการระดับพันๆ ไมล์ขึ้นไป แถมส่ายไป-ส่ายมาได้อีกด้วย ไปจนถึงอาวุธเลเซอร์ “Peresvet” ที่สามารถเล่นงานดาวเทียมของฝ่ายตรงข้ามในแต่ละดวงให้ดับวูบเอาง่ายๆ อีกทั้งในแง่ขีดความสามารถในการป้องกันของระบบป้องกันภัยทางอากาศอย่าง “S-500” ของรัสเซีย ยังสามารถรับประกันการันตีถึงโอกาสที่จะตอบโต้ต่อประเทศใดๆ ก็ตามที่คิดจะเล่นงานรัสเซีย ไม่ว่าด้วยอาวุธนิวเคลียร์หรือไม่นิวเคลียร์ก็ตาม อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้บรรดาผู้เชี่ยวชาญทั้งหลาย หนีไม่พ้นต้องสรุปกับผู้สื่อข่าวชาวอังกฤษรายนี้เอาไว้ว่า…
“รัสเซีย...ได้กลายเป็นผู้ลบความแตกต่างระหว่างสิ่งที่เรียกว่าสงครามกับสิ่งที่เรียกว่ากลียุคไปจนหมดสิ้น และสิ่งที่แน่นอนก็คือว่า...ฝันร้ายได้สิงสถิตอยู่ในระบบป้องกันของบรรดาประเทศตะวันตกทั้งหลาย ไม่ใช่ในทางทฤษฎีหรือในแง่สมมติฐานเท่านั้น”... 

นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ก็ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน แต่สิ่งที่ผู้สื่อข่าวรายงานนี้เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ค่อนข้างน่าสนใจก็คือ ด้วยเหตุเพราะการ “ฉีกสนธิสัญญา” จำกัดขีปนาวุธพิสัยกลางของอเมริกา หลังการล่มสลายของประเทศสหภาพโซเวียตเป็นต้นมานั่นแหละ ได้กลายเป็น “แรงกระตุ้น”สำคัญ ที่ทำให้หมีขาวรัสเซียตัวนี้ เกิดการยกระดับพัฒนาอาวุธร้ายๆ ออกมาเป็นระลอกๆ จนไม่ใช่เป็นเพียงแค่ “การแข่งขันทางอาวุธ” ระหว่างกันและกันเท่านั้น แต่กลายเป็นความพยายามที่จะสร้าง “เครื่องมือทางยุทธศาสตร์” เพื่อระงับยับยั้งความกระหายสงคราม หรือความพยายามแผ่ขยายอำนาจอิทธิพลของ “โลกตะวันตก” หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” อันทำให้ความก้าวหน้า ก้าวไกลในด้านอาวุธของรัสเซีย กลายเป็น“หลักประกันแห่งสันติภาพ” ภายใต้ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ขึ้นมาจนได้!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น