xs
xsm
sm
md
lg

ย้อนมองพรรคประชาธิปัตย์ จากเสาหลักสู่อนาคตที่เลือนราง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ผมน่าจะเป็นคนที่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์มากที่สุดคนหนึ่ง เหนือเหตุผลอื่นใดคือ ผมมีความผูกพันกับพรรคนี้มาตั้งแต่เด็กๆ เพราะชื่นชอบในลีลาฝีปากกล้าของขุนพลพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต และเคยเชื่อว่าเป็นพรรคที่สามารถเป็นตัวแทนที่พอจะฝากความหวังของประเทศไว้ได้ แต่นั่นก็เป็นเพียงอดีตที่ไม่ย้อนหวนคืนมาแล้ว และพ่อของผมก็ยังมีความสนิทสนมกับคุณสุรินทร์ มาศดิตถ์ คุณพ่อของคุณหญิงสุพัตรา มาศดิตถ์ และชวน หลีกภัยก็เคยเขียนคำไว้อาลัยในหนังสืองานศพจากการจากไปของคุณพ่อของผม

แต่แม้นี่จะเป็นความผูกพันที่พอจะมีเหยื่อใยอยู่บ้าง แต่ผมก็จำเป็นที่จะต้องพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์ด้วยสายตาที่ผมมองเห็น แน่นอน คนเรามีมุมมองที่แตกต่างกันไป ความเห็นของผมจึงไม่อาจจะไม่ถูกใจทุกคน และผมก็ไม่ควรต้องเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้อคำนึง มากกว่าการถ่ายทอดความคิดอย่างซื่อสัตย์ต่อสิ่งที่ตัวเองคิดออกมา

พรรคประชาธิปัตย์ถือกำเนิดขึ้นในปี 2489 ในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเพิ่งผ่านพ้นสงครามโลกครั้งที่สองไม่นาน พรรคนี้ถือเป็นตัวแทนของฝ่ายกษัตริย์นิยมที่ยืนตรงข้ามกับคณะราษฎร ผู้ก่อตั้งส่วนใหญ่เป็นข้าราชการ นักกฎหมาย และชนชั้นนำที่ต้องการธำรงโครงสร้างอำนาจแบบเดิมภายใต้ระบอบรัฐธรรมนูญ พรรคประชาธิปัตย์จึงมีรากทางความคิดที่ผูกพันกับราชสำนักและแนวอนุรักษ์นิยมตั้งแต่แรกเริ่ม

ตลอดกว่าแปดทศวรรษ พรรคประชาธิปัตย์คือ “พรรคเก่าแก่ที่สุดของไทย”ที่ยืนหยัดผ่านยุคแห่งการรัฐประหาร การปฏิวัติ และการเปลี่ยนผ่านของสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ด้วยภาพลักษณ์ของ “พรรคสุภาพบุรุษ” ที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์และความสุจริตทางการเมือง ภายใต้การนำของ ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, ชวน หลีกภัย และ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะฯลฯ พรรคประชาธิปัตย์เคยเป็นสัญลักษณ์ของชนชั้นกลาง ปัญญาชน และคนทำงานในเมืองใหญ่ที่ต้องการประชาธิปไตยแบบมีกรอบ มีระเบียบ

แต่ความรุ่งโรจน์นั้นไม่เคยยั่งยืน ทุกครั้งที่ประชาธิปัตย์ขึ้นสูง มักจะตามมาด้วยการตกต่ำ เพราะพรรคไม่สามารถปรับตัวให้ทันกับยุคสมัย พรรคที่เคยพูดแทนเสียงของคนเมือง กลับค่อย ๆ ถูกมองว่า “ดีแต่พูด” และห่างไกลจากชีวิตจริงของประชาชน เมื่อการเมืองไทยเข้าสู่ยุคประชานิยม พรรคประชาธิปัตย์เริ่มสูญเสียพื้นที่อย่างต่อเนื่อง จากพรรคที่เคยได้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์สูงสุดกว่า 11 ล้านเสียง กลับเหลือเพียง 2.2 ล้านเสียงในการเลือกตั้งปี 2566

ผมเคยเขียนไว้ในคอลัมน์ประจำของผม “เสียงจากห้วงสำนึก”ในหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน และในคอลัมน์นี้ว่า พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยก้าวข้ามเงาของ ชวน หลีกภัย ได้จริง แม้เวลาจะผ่านไปหลายทศวรรษ ชวนยังคงทำหน้าที่เสมือน “บรรทัดฐาน” ของพรรค ทั้งในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี ประธานที่ปรึกษา และผู้มีอิทธิพลเชิงศีลธรรม การเมืองภายในพรรคยังคงหมุนรอบวัฒนธรรมแบบเก่าที่เน้นความสุภาพ ระเบียบ และการเมืองปลอดการเสี่ยง ซึ่งเคยเป็นจุดแข็งในยุคหนึ่ง แต่กลับกลายเป็นจุดอ่อนในยุคนี้ ที่ประชาชนต้องการผู้นำที่กล้าเผชิญความจริง และขับเคลื่อนนโยบายเชิงผลลัพธ์ ผมมองว่า “ประชาธิปัตย์ไม่เคยขาดความดี แต่ขาดความกล้าพอจะเปลี่ยน” และความกลัวที่จะหลุดจากกรอบที่ชวนสร้างไว้ นั่นเองที่ทำให้พรรคหยุดนิ่งอยู่กับที่ ในขณะที่โลกการเมืองรอบตัวเดินไปไกลแล้ว

ฐานเสียงดั้งเดิมในกรุงเทพฯ ปัญญาชน และคนวัยทำงานได้เทคะแนนให้พรรคประชาชนที่กลายเป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่ ส่วนคนอนุรักษ์นิยมส่วนหนึ่งก็หนีไปอยู่กับพรรครวมไทยสร้างชาติ หรือพรรคภูมิใจไทยที่ทำงานเชิงพื้นที่ได้มีประสิทธิภาพกว่า ภาคใต้ซึ่งเคยเป็นหัวใจสำคัญของพรรคก็ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป คำถามที่ถูกถามก็คือพรรคประชาธิปัตย์เคยทำอะไรให้กับภาคใต้บ้าง บ้านใหญ่หลายจังหวัดย้ายขั้วไปอยู่กับภูมิใจไทยที่รุกลงใต้ได้สำเร็จ คำพูดในอดีตที่ว่า “ส่งเสาไฟฟ้าก็ชนะ” กลายเป็นเพียงเรื่องเล่าของยุคหนึ่ง

ส่วนกรุงเทพฯ ไม่ต้องพูดถึง พรรคประชาธิปัตย์แทบไม่เหลือพื้นที่ทางการเมือง แม้จะพยายามปรับภาพลักษณ์ให้ดูทันสมัย แต่คนรุ่นใหม่ไม่รู้สึกผูกพันกับพรรคอีกต่อไป การเลือกตั้งปี 2566 พรรคไม่สามารถชนะได้แม้แต่เขตเดียว ภาพลักษณ์ของพรรคเก่าแก่ที่ไร้พลังและไม่มีความหวังใหม่ กลายเป็นความจริงที่ยากปฏิเสธ

การกลับมาของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ถูกมองว่าเป็น “เดิมพันสุดท้าย” ของพรรค เขายังเป็นผู้นำที่มีภาพลักษณ์ดี มีวุฒิภาวะ และพูดจาสุภาพเรียบร้อย แต่ต้องยอมรับว่าฐานเสียงของเขาแทบไม่เหลืออยู่แล้ว ฝ่ายอนุรักษ์นิยมจำนวนไม่น้อยยังไม่ให้อภัยที่เขา “ไม่ยกมือให้ประยุทธ์” เมื่อปี 2562 ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่ได้มอง อภิสิทธิ์ เป็นคำตอบแห่งอนาคต เพราะภาพของเขายังติดอยู่กับอดีตทางการเมืองแบบเดิม

นอกจากนั้นประชาชนไม่น้อยยังไม่พอใจ อภิสิทธิ์ เพราะมองว่าเขาเป็นผู้นำพรรคที่มีส่วนสืบทอดความผิดพลาดจาก MOU 2543 ซึ่งทำในสมัยรัฐบาล ชวน หลีกภัย โดยเอกสารดังกล่าวถูกมองว่าเปิดช่องให้ไทยเสียเปรียบในพื้นที่รอบปราสาทพระวิหาร และเมื่อเกิดข้อพิพาทชายแดนช่วงปี 2551–2554 อภิสิทธิ์ ก็ไม่แสดงท่าทีชัดเจนในการทบทวนหรือยกเลิก MOU จึงทำให้หลายคนเห็นว่าเขา “อ่อนต่ออธิปไตย” และไม่กล้าเผชิญหน้ากับปัญหาที่กระทบศักดิ์ศรีของประเทศ

แม้พรรคจะพยายามสร้างทีมเลือดใหม่เข้ามาขับเคลื่อน เช่น การดี เลียวไพโรจน์ จูรี นุ่มแก้ว รัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี และ วีระพงษ์ ประภา แต่ก็ยังไม่เห็นใครที่สามารถสร้างแรงดึงดูดหรือกลายเป็นความหวังของพรรคได้จริง ภาพของประชาธิปัตย์จึงยังคงอยู่ในระหว่างรอยต่อระหว่าง “ความพยายามจะเปลี่ยนผ่าน” กับ “ความเป็นพรรคเก่าที่ไม่มีพลังแห่งความหวังในหมู่คนรุ่นใหม่”


ในขณะเดียวกัน ฝ่ายอนุรักษ์นิยมก็ไม่ได้มีเพียงพรรคเดียวอีกต่อไป พรรครวมไทยสร้างชาติยังมีแรงส่งจากเครือข่ายเดิมของ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ภูมิใจไทยขยายฐานด้วยกลยุทธ์บ้านใหญ่และนโยบายจับต้องได้ ส่วนพรรคเศรษฐกิจไทยของ พลเอก รังษี กิติญาณทรัพย์ ก็เริ่มใช้แนวทางชาตินิยมที่ทำให้พรรคนี้อาจเป็นม้านอกสายตาที่คนเริ่มกล่าวถึงกันมากขึ้น พรรคประชาธิปัตย์จึงถูกบีบทั้งซ้ายและขวา เหลือเพียงที่ว่างตรงกลางซึ่งไม่มีใครอยากยืน

เมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 2568 อภิสิทธิ์ เปิดตัวแคมเปญใหม่ของพรรคภายใต้ชื่อ “ส.ส.ที่ดี…คุณเองก็เป็นได้นะ” โดยกล่าวอย่างตั้งใจว่า การเมืองไทยกำลังเผชิญปัญหาความไม่สุจริต การทุจริตคอร์รัปชัน และเงินทุนสีเทาที่กัดกร่อนประเทศ พร้อมเชิญชวนคนดีให้มาร่วมสร้างการเมืองที่สุจริต ผ่านแนวคิด “เราพร้อมสร้างคน คนสร้างพรรค และพรรคสร้างประเทศ”

แคมเปญนี้สะท้อนเจตนาดีแต่กลับขาดพลัง เพราะคำพูดของ อภิสิทธิ์ ยังอยู่ในโลกของอุดมคติ มากกว่าความเป็นจริงทางการเมืองในยุคปัจจุบัน ที่ประชาชนไม่ได้คาดหวังเพียง “ส.ส.”ดีแต่ต้องการ “พรรคที่เข้าใจชีวิตจริง” การชวนคนดีมาทำการเมืองฟังดูงดงาม แต่ไม่ตอบคำถามสำคัญว่าคนกลุ่มไหนคือเป้าหมาย และจะทำให้คนที่เคยรักประชาธิปัตย์แล้วทิ้งไปกลับมาได้อย่างไร ในขณะที่พรรคประชาชนและพรรคอื่น ๆ แข่งกันด้วยนโยบายและพลังของแนวคิดที่จับต้องได้ คำประกาศ “อย่ารอคนอื่นมาเป็นตัวแทนของท่าน” ของ อภิสิทธิ์ จึงฟังดูเหมือนเสียงเรียกในห้องโล่ง มากกว่าการปลุกกระแสของประชาชนจริง ๆ

ในความเป็นจริง พรรคประชาธิปัตย์ไม่เคยขาดอุดมการณ์ แต่ขาดแรงศรัทธา พรรคยังมีชื่อเสียงทางศีลธรรม แต่ไร้พลังทางการเมือง และครั้งนี้อาจเป็นครั้งแรกที่โอกาสฟื้นตัวแทบไม่มี เพราะฐานเก่าก็ล้มหายตายจากไป ส่วนคนรุ่นใหม่ก็ไม่รู้สึกผูกพันกับพรรคอีกต่อไป

ผมไม่รู้เหมือนกันว่าวันนี้ภาพของสำนักงานใหญ่พรรคประชาธิปัตย์ ป้ายสีน้ำเงินที่เคยสดใสกลับหม่นลงไปหรือไม่ อาคารที่เคยเป็นศูนย์รวมของพลังทางการเมืองบัดนี้เป็นอย่างไร แต่เชื่อว่าน่าจะต่างจากสัญลักษณ์ของพรรคเองที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเสาหลักของประเทศ ซึ่งวันนี้เหลือเพียงร่องรอยของอดีต พรรคที่ยังพูดถึงอุดมการณ์เดิม แต่ไร้พลังของความหวังใหม่ให้คนรุ่นหลังจับต้องได้อีกต่อไป

และครั้งนี้ อาจไม่ใช่เพียงการตกต่ำชั่วคราวเหมือนในอดีต หากแต่เป็น “จุดเปลี่ยนทางประวัติศาสตร์” ที่พรรคเก่าแก่ที่สุดของไทย อาจกำลังเดินมาถึงปลายทางของยุคตนเอง ยืนอยู่บนเวทีการเมืองที่เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง โดยไม่มีทั้งฐาน ไม่มีแบรนด์ และไม่มีศรัทธาที่จะเริ่มนับหนึ่งใหม่ได้อีกต่อไป

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น