xs
xsm
sm
md
lg

สงครามโลกครั้งที่ 3 จะถึงขั้น“สงครามล้างโลก”(นิวเคลียร์)???

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
อย่างน้อย...ก็น่าจะมีอยู่ 2 เรื่องใหญ่ๆ ที่พอจะหยิบมาใช้เป็นแนวทางในการวิเคราะห์ความคิดและการตัดสินใจของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ว่าจะคิดเห็นเป็นประการใด? กับความเป็นไปของโลก ณ ปัจจุบันและในอนาคตเบื้องหน้า นั่นก็คือเรื่องบุก-ไม่บุกเวเนซุเอลาเรื่องหนึ่ง และเรื่องการทดสอบ-ไม่ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ที่ตัวเองได้คุยโม้โอ้อวดเอาไว้ก่อนล่วงหน้าว่าปริมาณอาวุธชนิดนี้ที่สหรัฐอเมริกามีอยู่ในมือสามารถล้างผลาญ ทำลายโลกทั้งโลกได้ไม่น้อยกว่า150 ครั้ง อะไรประมาณนั้น...

คือสำหรับเรื่องบุก-ไม่บุกเวเนซุเอลานั้น...ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของหนังสือพิมพ์ The New York Times” เมื่อช่วงวันพุธที่ 5 พ.ย.ที่ผ่านมา โอกาสแห่งความเป็นไปได้ที่จะเกิดการกวาดล้าง เช็ดถู “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกาในอีกราวๆ ไม่เกิน1 เดือนนับจากนี้ อาจเป็นไปใน 3 ลักษณะด้วยกันคือ 1. ด้วยการเปิดฉากโจมตีเล่นงานกองกำลังทหารของฝ่ายเวเนซุเอลา
ที่ยังคงจงรักภักดีต่อรัฐบาลประธานาธิบดี Nicolas Maduro” หรือต่อแผ่นดินบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเองก็แล้วแต่ให้ราบคาบ พังพินาศ ล่มสลายไปเป็นหน้ากลอง หรือโดยวิธีที่2. คือโจมตีแบบจำกัดเขต จำกัดพื้นที่ มุ่งเล่นงานแต่เฉพาะพื้นที่สำคัญๆ ไม่ว่าการยึดสนามบิน ยึดแหล่งผลิตน้ำมัน และสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานในบางแห่ง บางที่ ส่วนวิธีที่ 3. ก็คือมุ่งเด็ดหัวผู้นำ หรือประธานาธิบดีเวเนซุเอลาโดยตรง ด้วยการใช้กองกำลังขนาดเล็ก หรือหน่วยปฏิบัติการพิเศษ อย่าง Delta Force” หรือSeal” ดอดเข้าไปจับตัว หรือจับตายผู้นำรายนี้ให้จงได้!!!

โดยไม่ว่าจะใช้กลวิธีใดๆ ก็แล้วแต่ สุดท้าย...ย่อมถือเป็น “การแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนระบอบปกครอง”ของประเทศเวเนซุเอลาอย่างมิอาจปฏิเสธใดๆ ได้เลย ไม่ใช่แค่คิดจะเล่นงานพวกค้ายา พวกแก๊งยาเสพติด อย่างที่ถูกหยิบมาใช้ “ข้ออ้าง”
ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย และการยกขโยง ยกพหลพลโยธา ที่มีทั้งทหารราบ10,000 คน ลูกเรือหรือกลาสีอีก 6,000 คน พร้อมเรือรบอีก 8 ลำรวมทั้งกองเรือบริวาร แถมยังสั่งให้ “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ที่ได้ชื่อว่าใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเรือ USS Gerald Ford” หันหัวเรือจากช่องแคบยิบรอลตาร์ มุ่งไปยังทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ก่อนบ่ายหน้าไปยังทะเลแคริบเบียน
พร้อมจำนวนทหารที่มีอยู่ประมาณ 4,000 คน หรือรวมๆ แล้วประมาณ 20,000 คน อีกทั้งยังมีเครื่องบินทิ้งระเบิด เครื่องบินล่องหน จอดรอเตรียมตัวเอาไว้ที่ฐานทัพเปอร์โตริโก ฯลฯ จึงย่อมทำให้ “ความเป็นไปได้” ในการบุก-ไม่บุกประเทศ “สวนหลังบ้าน” ของตัวเองคราวนี้ เป็นไปได้ทั้ง 3 ทางนั่นแล...

แต่ก็นั่นแหละ...การคิดจะทำมิดีมิร้ายอะไรทำนองนี้ มันคงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรือเรื่อง “ปอกกล้วยเข้าปาก”มากมายสักเท่าไหร่
นอกจากจะต้องเจอกับจำนวน “ทหารบ้าน” หรืออาสาสมัครที่ต้องการจะปกป้องและพิทักษ์มาตุภูมิไม่น้อยไปกว่า 4,000,000
ราย ทหารอาชีพอีกราวๆ 150,000 นาย ความที่ไม่ใช่ “นกไร้ขน-คนไร้เพื่อน”ของประเทศแห่งนี้ จึงทำให้ความคิดที่จะกวาดล้าง เช็ดถู “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา มันคงไม่ง่ายเหมือนเมื่อครั้งอดีต หรือครั้งที่ประเทศละตินอเมริกาทั้งภูมิภาคต่างตกอยู่ภายใต้อำนาจการแทรกแซง ครอบงำ ด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร การลอบฆ่า ลอบสังหารผู้นำ โดยคุณพ่ออเมริกามาโดยตลอด เพราะภายใต้โลกที่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว การคิดจะบุกประเทศเวเนซุเอลา จึงไม่ต่างอะไรไปจากการคิดจะเผชิญหน้ากับ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ทั้งหลาย ที่ไม่เห็นด้วยกับการบีบบังคับ ข่มขู่ การแทรกแซงเพื่อเปลี่ยนระบอบปกครองประเทศใด ประเทศหนึ่ง ไม่ว่าเล็กหรือใหญ่ จนมิอาจ “เอามือซุกหีบ”ไว้เฉยๆ ไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย จีน อิหร่าน ที่ประเทศเวเนซุเอลาเขาได้ขอความช่วยเหลือไปแล้วอย่างเป็นทางการ...

และถ้าดูจาก “ปฏิกิริยา” ของบรรดาประเทศเหล่านี้...ก็น่าจะไม่ได้คิดอยู่เฉยๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง โดยเฉพาะคุณน้ารัสเซียที่สภาดูมา เพิ่งลง “สัตยาบัน” ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์กับเวเนซุเอลาไปเมื่อไม่กี่วันมานี้ นอกจากคำแถลงอย่างเป็นทางการของโฆษกเครมลิน “นายDmitry Peskov”ถึงการ “จับตาอย่างใกล้ชิด” ต่อสถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศนี้ โดยคำพูด คำจา ของรองประธานคณะกรรมาธิการทหารคนที่หนึ่งแห่งสภาดูมา อย่าง “นายAlexei Zhuravlev”ที่ให้สัมภาษณ์สำนักข่าวGazeta” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา(1 พ.ย.) ก็น่าจะสะท้อนให้เห็นความเอาจริง-เอาจังของหมีขาวรัสเซีย ที่มีต่อข้อผูกพันในด้านความมั่นคงของดินแดนแห่งนี้อยู่พอประมาณไม่ว่าการเปิดเผยถึงการขนอาวุธยุทโธปกรณ์
ประเภทระบบป้องกันภัยทางอากาศ Pantsir-S1” และ Buk-M2” ขึ้นเครื่องบินบรรทุก Il-76” ไปส่งให้ถึงสนามบินเวเนซุเอลาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ส่วนจะถึงขั้นต้องส่งขีปนาวุธร้ายๆ อย่างประเภท Oreshnik”หรือ Kalibr” ตามไปด้วยหรือไม่? อย่างไร? อันนี้...รองประธานกรรมาธิการทหารรัสเซียท่านใช้คำพูดแบบสองแง่-สองง่ามให้ต้องไปคิดๆ กันเอาเอง นั่นคือ...“ไม่มีกฎหมายระหว่างประเทศใดๆ ที่ห้ามไม่ให้รัสเซียส่งอาวุธเหล่านี้ให้เวเนซุเอลา” โดยเฉพาะในเมื่ออเมริกายังคิดจะส่งจรวด Tomahawk”ไปให้ยูเครนแล้วจะให้รัสเซียเก็บOreshnik”เอาไว้ตำน้ำพริกแบบ “สากกะเบือ”โดยทั่วไป มันคงไม่น่าจะเข้าท่าอยู่แล้วแน่ๆ!!!

ดังนั้น...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” จะตัดสินใจในลักษณะหนึ่ง-ลักษณะใดใน3 รูป3 แบบดังที่กล่าวเอาไว้แล้ว ย่อมหมายถึงการหนีไม่พ้นที่จะต้อง “เผชิญหน้า”กับ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ไม่ว่ารัสเซีย-จีน-อิหร่าน อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธต่อไปได้อีก นอกเสียจากผู้นำเวเนซุเอลาอาจ “ช็อก” ตายไปเอง อันนั้น...ก็อาจพอช่วยคลี่คลายความตึงเครียดของสถานการณ์ลงไปได้มั่ง
แต่ก็ยังมีอีกเรื่อง...ที่ก่อให้เกิด “คำถาม”ตัวโตๆ ขึ้นมาในช่วงสถานการณ์ระหว่างนี้ นั่นก็คือการที่ผู้นำอเมริกาป่าวประกาศว่า ได้สั่งการหรือได้ให้ “คำแนะนำ”ให้กระทรวงสงครามไป“ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์” ขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ไม่เคยได้ทดสอบอาวุธชนิดนี้มานานกว่า3 ทศวรรษ อันไม่เพียงแต่ถือเป็นการล่วงละเมิดสนธิสัญญาห้ามทดลองอาวุธนิวเคลียร์เท่านั้น แต่ยังถือเป็นข่มขู่ คุกคาม ต่อชาตินิวเคลียร์และไม่ใช่ชาตินิวเคลียร์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการกล่าวย้ำในระหว่างให้สัมภาษณ์โทรทัศน์ CBS” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่2 พ.ย.ที่ผ่านมา ว่าไม่เพียงแต่อยากจะรู้ว่าระเบิดนิวเคลียร์ของสหรัฐฯ ยังทำงานได้อยู่หรือเปล่า แต่เพราะอเมริกาเป็นเพียงประเทศเดียวที่ไม่ได้ทดสอบระเบิดนิวเคลียร์ของตัวเอง หรือเป็นการกล่าวหาชาตินิวเคลียร์อื่นๆ ว่าแอบทดลอง ทดสอบ อาวุธมหาประลัยชนิดนี้ โดยไม่ได้มีหลักฐาน ข้อพิสูจน์ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...

แต่ก็อาจเป็นไปได้...อย่างที่อดีตประธานาธิบดีรัสเซียหรือรองเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซียคนปัจจุบัน “นายDmitry Medvedev”ท่านได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” นั้นอาจไม่รู้ว่าการทดสอบระเบิดนิวเคลียร์นั้นมีความหมายไปในลักษณะไหน? หรืออาจเพียงแค่ต้องการ “พ่นแมงโม้” ไปวันๆ อะไรประมาณนั้น เพราะอย่างที่อดีตรัฐมนตรีพลังงานยุครัฐบาล “โอมาบ้า”(โอบามา) “นายErnest Moniz” ได้ออกมาอธิบาย ขยายความเอาไว้นั่นแหละว่า
อาจต้องใช้เวลาเตรียมการทดสอบเป็นปีๆ และอาจต้องใช้งบประมาณเพื่อการนี้ไม่ต่ำกว่า100 ล้านดอลลาร์ อีกทั้งยังจะกลายเป็นการปลุกกระตุ้นให้บรรดา “ชาตินิวเคลียร์” ทั้งหลายคิดจะเอามั่ง!!! เหมือนอย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน”ต้องออกมาระบุถึงการสั่งการให้ผู้ที่มีอำนาจรับผิดชอบในเรื่องนิวเคลียร์ของรัสเซียไปคิดไปวิเคราะห์ ถึงคำพูด คำจาของประธานาธิบดีอเมริกัน รวมทั้งการทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ของรัสเซียว่าควร-ไม่ควรหรือไม่? ประการใด?

อย่างไรก็ตาม...หลังจากนั้นอีกไม่กี่วัน หรือช่วงวันศุกร์ที่ 7 พ.ย.ที่ผ่านมา ประธานาธิบดีอเมริกันที่ได้พูดผิด-พูดถืกในเรื่องราวเหล่านี้ ก็ได้เปลี่ยนมา “พูดใหม่” หรือได้ออกมาพูดถึงการDenuclearization” หรือการคิดจะหาทางบรรลุข้อตกลง “ปลอดอาวุธนิวเคลียร์” กับผู้นำชาตินิวเคลียร์อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” แห่งรัสเซีย และผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ในแบบชนิดพลิกฝ่าตีนเป็นหลังมือ จนใครต่อใครต่างมึนซ์ซ์ซ์ ต่างงงง์ง์ง์ กันไปเป็นแถบๆ ถึงท่าทีที่แน่ชัดของประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ว่าจะออกมาในรูปไหน? แบบไหน? คือจะออกไปทาง “บ้าสงคราม”หรือบ้าแบบอื่น เพราะการคิดจะหันมา “ทดสอบอาวุธนิวเคลียร์” ของตัวเองอีกครั้ง ย่อมไม่ต่างอะไรไปจากการทำให้แนวโน้มของ “สงครามโลกครั้งที่3”ถูกยกระดับขึ้นไปถึงขั้น “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็ว่าได้...

ดังนั้น...ท่าทีของ “ทรัมป์บ้า” ต่อ 2 เรื่องที่ว่านี้ จึงสามารถใช้เป็นเครื่องบ่งชี้ได้ว่า สุดท้าย...ผู้นำประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาจะ “มองความเป็นไปของโลก”ในลักษณะไหน? คือถ้ามองแบบ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหาทาง “อยู่ร่วม” กับบรรดา “ขั้วอำนาจ”ต่างๆ ไม่ว่าโดยสันติ หรือโดยอยู่กันแบบ “สงครามเย็นยุคใหม่” ที่จะต้องคอยประคับประคอง “สมดุลอำนาจ” กันต่อไปเรื่อยๆจนกว่าฝ่ายหนึ่ง-ฝ่ายใดจะ “ล่มสลาย” ลงไปเอง แต่ถ้ามองแบบ “โลกขั้วอำนาจเดียว” นั่นก็คือ...หนีไม่พ้นต้องวัดตัดสินกันด้วย “อาวุธนิวเคลียร์” เท่าที่แต่ละฝ่ายมีอยู่ในมือแม้ว่าระเบิดนิวเคลียร์ของอเมริกาจะมีอานุภาพระดับสามารถ “ล้างโลก”ได้ถึง150 ครั้ง ดังที่ “ทรัมป์บ้า”พ่นแมงโม้เอาไว้ล่วงหน้า แต่นั่นย่อมหมายถึง...จะไม่มี “ผู้ชนะ”รายใด เหลือติดอยู่ภายในโลกใบนี้ต่อไปได้อีกเลย!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น