xs
xsm
sm
md
lg

เสียงสะท้อนจากรัศมีอำนาจ บทเรียน“คู่อาศัย”ของนายกรัฐมนตรี

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ระหว่างการเดินทางกลับจากประเทศมาเลเซียของคณะนายกรัฐมนตรี เสียงหนึ่งที่ไม่ได้มาจากเวทีแถลงข่าว หรือไมค์ของนักข่าว แต่กลับกลายเป็น “เสียงที่ดังที่สุด” ในสังคมไทยในรอบสัปดาห์ คือเสียงของภรรยานายกรัฐมนตรี นางธนนนท์ นิรามิษ ที่พูดกับผู้สื่อข่าวว่า “ทำไมใจร้ายกับท่านนายกฯ จังเลย เดี๋ยวต่อไปจะจำไว้แล้วนะ เกินไปแล้วนะ”


แม้ว่าอนุทิน ชาญวีรกูล จะเคยบอกกับสังคมว่า ภรรยาคนปัจจุบันของเขาเป็นเพียง “คู่อาศัย” ไม่ใช่ “คู่สมรส” ซึ่งคำเรียกนี้เองก็สร้างความฉงนในหมู่คนทั่วไป เพราะในวัฒนธรรมไทย คำว่า “คู่อาศัย” มักใช้ในเชิงส่วนตัว ไม่ใช่ในบริบทของบุคคลสาธารณะ โดยเฉพาะกับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่มีความหมายเชิงสัญลักษณ์สูงสุดในทางการเมือง การเรียกแบบนั้นจึงสะท้อนภาพความสัมพันธ์ที่คลุมเครือระหว่าง “ชีวิตส่วนตัว” กับ “สถานะสาธารณะ” และในขณะเดียวกัน ก็ทำให้บทบาทของเธอในฐานะสุภาพสตรีคู่ข้างนายกรัฐมนตรีถูกจับตามองยิ่งกว่าเดิม

คำพูดที่เจ้าตัวบอกว่า “แค่หยอกเล่น” กลับกลายเป็นคำที่สังคมตีความอย่างกว้าง เพราะเธอไม่ได้พูดในฐานะภรรยาคนธรรมดา แต่ในฐานะ “คนใกล้ศูนย์กลางอำนาจ” และในโลกของการเมือง คำพูดจากคนใกล้อำนาจมักไม่เคยเป็นเพียงคำพูดเล่น ๆ เลย

ที่สำคัญเรายังไม่เห็นคู่สมรสของนายกรัฐมนตรีคนไหนแสดงบทบาทเช่นนี้มาก่อนเลย แต่เรากลับได้ยินเสียงนี้จาก “คู่อาศัย” หญิงสาวคนหนึ่งที่อยู่เบื้องหลังอำนาจของนายกรัฐมนตรีที่จะมีอายุอยู่ในตำแหน่งเพียง 4 เดือน ตามที่ได้รับอาณัติจากพรรคประชาชนที่เป็นพรรคฝ่ายค้านซึ่งเป็นการสร้าง ”ดีล” ที่แปลกที่สุดในทางการเมือง

ไม่กี่วันถัดมา นางธนนนท์ได้โพสต์ข้อความขอโทษบนอินสตาแกรมส่วนตัว โดยระบุว่า “ไม่มีเจตนาคุกคามหรือลดคุณค่าของสื่อมวลชน” และ “ขอรับฟังทุกคำวิจารณ์ด้วยความจริงใจ” คำขอโทษนั้นถือเป็นก้าวที่ถูกทาง เพราะแสดงให้เห็นสำนึกแห่งความรับผิดชอบในยุคที่คำพูดหนึ่งคำสามารถกลายเป็นไฟได้ในเวลาไม่กี่ชั่วโมง แต่ถึงไฟจะดับลงแล้ว เถ้าถ่านที่เหลืออยู่ก็ยังคงให้สังคมได้คิดว่าบทบาทของคู่ชีวิตผู้นำประเทศควรอยู่ตรงไหนในรัศมีของอำนาจ

ในทางรัฐศาสตร์ มีคำที่ใช้เรียกปรากฏการณ์ลักษณะนี้ว่า “The Echo of Power” เสียงสะท้อนจากรัศมีอำนาจ หมายถึงว่าถึงแม้คนพูดจะไม่มีตำแหน่งในรัฐบาล แต่เมื่ออยู่ในวงใกล้ชิดผู้นำ ทุกคำพูดก็สามารถกลายเป็นสารทางการเมืองโดยไม่ตั้งใจ การพูดกับนักข่าวด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อกึ่งจริงจึงอาจดูเหมือนการพูดเล่นในมุมของคนพูด แต่ในสายตาของสาธารณชน มันคือการสะท้อนทัศนคติของอำนาจที่กำลังถูกตรวจสอบอยู่

คู่สมรสหรือผู้ใกล้ชิดผู้นำในสังคมประชาธิปไตยมักเข้าใจดีถึง “เส้นบาง ๆ” ระหว่างความเป็นส่วนตัวกับความเป็นสาธารณะ พวกเธอมักเลือกจะอยู่ในพื้นที่ที่เรียกว่า “กึ่งสาธารณะ แต่ไม่กึ่งการเมือง” — เป็นผู้ปรากฏตัวในงานสังคม งานการกุศล การศึกษา และวัฒนธรรม แต่หลีกเลี่ยงการแสดงอารมณ์หรือท่าทีต่อสื่อในทางการเมือง เพราะทุกคำพูด ทุกสีหน้า ทุกอารมณ์ จะถูกสังคมตีความว่าเป็นเสียงสะท้อนของผู้นำเสมอ

ในโลกตะวันตก สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจำนวนมากเข้าใจสิ่งนี้อย่างลึกซึ้ง Eleanor Roosevelt เคยกล่าวไว้ว่า “A First Lady is a mirror, not a megaphone.” — “สุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งคือกระจก ไม่ใช่โทรโข่ง” หน้าที่ของเธอคือสะท้อนคุณค่าของผู้นำ ไม่ใช่ขยายเสียงของอำนาจ ส่วน Margaret Thatcher ก็เคยกล่าวสั้น ๆ ว่า “The higher the power, the softer the tone.” — “ยิ่งอยู่ใกล้อำนาจ เสียงยิ่งควรอ่อนโยน” และอีกคำกล่าวที่ควรจารึกไว้ในใจของผู้ใกล้อำนาจทุกคนคือ “Power is loud, dignity is silent.” — “อำนาจส่งเสียงดัง แต่ศักดิ์ศรีเงียบสงบ” สามประโยคนี้สรุปบทเรียนของมารยาททางการเมืองไว้อย่างหมดจดกว่าหนังสือทั้งเล่ม

หากย้อนกลับมามองประเทศไทย เรามีตัวอย่างของคู่สมรสผู้นำที่เข้าใจบทบาทนี้อย่างลึกซึ้ง ดร.พิมพ์เพ็ญ เวชชาชีวะ ภรรยาของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนักวิชาการผู้สงบเสงี่ยมจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เธอไม่ค่อยปรากฏตัวต่อสาธารณะ เว้นแต่งานพิธีการสำคัญ และแทบไม่เคยให้สัมภาษณ์หรือแสดงความเห็นทางการเมืองเลย ภาพของเธอคือ “ความสงบที่สง่า” ที่ทำให้คนรอบข้างสัมผัสได้ถึงความมั่นคงของผู้นำมากกว่าคำพูดใด ๆ

ส่วน รศ.นราพร จันทร์โอชา ภรรยาของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งของการเข้าใจขอบเขตของอำนาจ เธอปรากฏตัวในงานราชการ งานการศึกษา หรือในภารกิจต่างประเทศในฐานะผู้ติดตาม แต่ไม่เคยให้สัมภาษณ์ตอบโต้หรือปกป้องสามีผ่านสื่อ เธอถูกสังคมกล่าวถึงว่า“วางตัวดี เรียบง่าย ไม่แต่งแบรนด์ ไม่โต้ตอบ” ซึ่งแม้จะเป็นคำชมเรียบ ๆ แต่สะท้อนหัวใจสำคัญของบทบาทสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งในแบบไทย ๆ รู้จักที่ยืนในรัศมีอำนาจโดยไม่แย่งแสงจากผู้นำ

ทั้งสองตัวอย่างนี้ยืนยันว่า “การนิ่ง”ก็เป็นถ้อยคำชนิดหนึ่ง ถ้อยคำที่พูดด้วยมารยาท ความเข้าใจ และศักดิ์ศรี

มารยาทของคู่สมรสผู้นำจึงไม่ใช่เพียงเรื่องของเสื้อผ้า หรือรอยยิ้มต่อกล้อง แต่คือการรู้ว่าควรพูดตอนไหน และควรนิ่งเมื่อใด เพราะทุกอิริยาบถของพวกเธอคือ “สัญญาณทางสังคม” ที่สื่อและประชาชนจะจับตาอย่างละเอียด ถ้าผู้ใกล้อำนาจพูดผิดที่ผิดเวลา คำพูดนั้นจะกลายเป็นภาพสะท้อนของรัฐบาลโดยไม่ตั้งใจ

ในระบอบประชาธิปไตย เสรีภาพของสื่อคือกลไกสำคัญของการตรวจสอบ สื่อมีสิทธิ์ตั้งคำถาม วิพากษ์ หรือเปิดเผยข้อเท็จจริงได้อย่างเสรี และหน้าที่ของผู้นำรวมถึงครอบครัวของผู้นำคือการอดทนต่อเสียงนั้น ไม่ใช่เพราะสื่อถูกเสมอ แต่เพราะ “ความอดทนต่อการถูกวิจารณ์” คือสิ่งที่ทำให้อำนาจยังมีความชอบธรรมอยู่ได้

ดังนั้น คำพูดของภรรยานายกรัฐมนตรี ในรูปแบบของการล้อเล่น เมื่อออกจากปากคนที่อยู่ในวงอำนาจ ย่อมถูกตีความว่ามีความหมายทางอำนาจโดยปริยาย และสิ่งที่เธอทำถูกต้องที่สุดแล้ว คือการขอโทษอย่างรวดเร็วด้วยน้ำเสียงถ่อมตน เพราะในยุคที่ทุกอย่างขยายตัวผ่านโซเชียลมีเดีย ความเร็วของคำขอโทษสำคัญพอ ๆ กับความจริงใจของมัน

แต่ในอีกด้านหนึ่ง บทเรียนครั้งนี้ก็ควรทำให้เรากลับมาทบทวนว่า “ผู้นำ” และ “ผู้ใกล้อำนาจ” ควรเรียนรู้เรื่องการสื่อสารสาธารณะอย่างไร เพราะในโลกปัจจุบัน ทุกคำพูดที่ออกจากวงในของผู้นำคือ “สัญญาณของทัศนคติรัฐ” และจะถูกขยายในระดับประเทศทันที

ภรรยานายกรัฐมนตรีหรือสุภาพสตรีหมายเลขหนึ่งจึงควรวางบทบาทให้อยู่บนหลัก “เหนือการเมือง แต่ไม่เหนือประชาชน” เป็นคนที่เข้าถึงได้แต่ไม่แทรกการเมือง เป็นคนที่อ่อนโยนแต่มั่นคง เป็นเงาที่สงบเคียงข้างผู้นำโดยไม่ทำให้เงานั้นกลายเป็นเงาดำของอำนาจ

ในโลกที่ทุกถ้อยคำสามารถกลายเป็นกระแสได้ในไม่กี่วินาที การนิ่งด้วยความเข้าใจ กลับกลายเป็นศิลปะแห่งศักดิ์ศรีที่ทรงพลังที่สุด บางครั้ง “ไม่พูด” คือคำพูดที่คนทั้งประเทศอยากได้ยินที่สุดจากคนใกล้อำนาจ เพราะมันแปลว่าพวกเขาเข้าใจบทบาทของตนดีพอ

สุดท้ายแล้ว สิ่งที่สังคมคาดหวังจากภรรยาของผู้นำ ไม่ใช่คำพูดปกป้อง ไม่ใช่อารมณ์ร่วม แต่คือภาพของ “ศีลธรรมในอำนาจ” ที่ทำให้ประชาชนยังรู้สึกว่าอำนาจนั้นมีความอ่อนโยนอยู่ภายใน ความงดงามของผู้ใกล้อำนาจไม่ได้อยู่ที่คำพูดหรือเครื่องแต่งกาย แต่อยู่ที่ “การวางตัวอย่างสงบและเข้าใจความหมายของความนิ่ง”

บทเรียนจากกรณีของนางธนนนท์ จึงไม่ใช่เรื่องว่า “ใครพูดอะไร” แต่คือเรื่องของ “อำนาจพูดผ่านใคร” และเราจะเข้าใจบทบาทของความเงียบในอำนาจได้มากแค่ไหน เพราะในโลกของการเมือง เสียงที่ดังที่สุด ไม่ใช่เสียงของคนพูดเก่ง แต่คือเสียงของคนที่รู้ว่าควรเงียบตอนไหน

อำนาจที่แท้จริง ไม่ต้องตะโกนให้ใครได้ยิน และศักดิ์ศรีของผู้ใกล้อำนาจ ก็ไม่ต้องพูดเพื่อให้คนยอมรับ ความนิ่ง ความสุขุม และความเข้าใจในหน้าที่ต่างหาก ที่ทำให้เธอกลายเป็น “เงาแห่งศักดิ์ศรี” ไม่ใช่ “เสียงสะท้อนของอารมณ์”

เพราะสุดท้าย ในระบอบประชาธิปไตย อำนาจที่ยั่งยืนที่สุด ไม่ใช่อำนาจที่ส่งเสียงดังในห้องแถลงข่าว แต่คืออำนาจที่เงียบสงบ และได้รับความเคารพจากประชาชนโดยไม่ต้องพูดอะไรเลย

“ในแสงของอำนาจ ทุกคำพูดคือการเมือง และทุกความนิ่งคือศักดิ์ศรี”

และนี่คือสิ่งที่ภรรยานายกรัฐมนตรีทุกคนควรจำไว้ให้แม่น เพราะในโลกแห่งการเมือง คำพูดที่ดูเหมือนเล่น อาจกลายเป็นเสียงจริงที่สังคมจดจำไปอีกนาน.

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น