ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตแฉลบออกไปแถบๆทะเลแคริบเบียน หรือแถวๆ ประเทศเวเนซุเอลาโน่นเลยเพราะความ “กลิ้งไป-กลิ้งมา” ของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่บอกว่าจะไปปราบ ไปไล่ล่าพวก “ค้ายาเสพติด” ในพื้นที่บริเวณนั้น เอาไป-เอามา...มันน่าจะเลยไปกว่าการคิดจะไปเด็ดหัวพวก“แก๊งค้ายา” ไม่รู้กี่ต่อกี่ช่วงตัวไปแล้วก็ว่าได้ คือไม่ใช่ประเภทที่คุณพี่จีนส่ง “หลิว อี้จง” กับเจ้าหน้าที่ความมั่นคงอีกแค่ไม่กี่คน มากวาดล้างพวก “แก๊งสแกมเมอร์” ในบ้านเรา หรือแถวๆชายแดนพม่า อะไรทำนองนั้น แต่มันแทบไม่ต่างไปจากความพยายามที่จะเปิด “แนวรบใหม่ๆ” ขึ้นมาอีกแนวรบ ชนิดที่นักคิดชาวรัสเซีย อย่าง “Alexander Bobrov” ศาสตราจารย์ด้านประวัติศาสตร์แห่งสถาบันวิจัยทางยุทธศาสตร์และคาดการณ์อนาคต แห่งมหาวิทยาลัย “RUDN” ท่านถึงกับต้องนำไปเปรียบเทียบกับ “วิกฤตจรวดคิวบา” (Cuba Missile Crisis) เมื่อเกือบกว่า 60 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี ค.ศ. 1962 หรืออาจกลายเป็น “Caribbean Crisis 2.0” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
คือแค่เฉพาะการส่งกองเรือรบ 8 ลำพร้อมเรือบริวารเข้าไปป้วนๆ เปี้ยนๆ แถวนั้น จมเรืออะไรต่อมิอะไรก็แล้วแต่ไปแล้วไม่ต่ำกว่า 5 ลำ คนตายไปแล้วเกือบๆ ร้อย ก็ออกจะน่าสยดสยองพองขนมิใช่น้อย แต่ยังส่งทวยทหารอเมริกันเข้าไปร่วมปฏิบัติการอีกถึง 16,000 คน พร้อมกับเรือดำน้ำนิวเคลียร์อีกด้วยต่างหาก แล้วเห็นว่า...สัปดาห์หน้าจะส่ง “เรือบรรทุกเครื่องบิน USS Gerald R. Ford” เข้าไปมะรุมมะตุ้มอีกด้วย รวมทั้งยังจอดเครื่องบินโจมตีทิ้งระเบิดล่องหน “F-35B Stealth Fighter”เตรียมพร้อมไว้ที่ฐานทัพเปอร์โตริโก แถมยังส่งเสียงขู่คำรามต่อผู้นำเวเนซุเอลา อย่างประธานาธิบดี “Nicolas Maduro” ที่แม้จะมาจากการเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแท้ๆ แต่กลับถูกอเมริกา “ตั้งค่าหัว” เอาไว้เป็นเงินถึง 50 ล้านดอลลาร์ ว่าให้“นับถอยหลัง” การอยู่ในตำแหน่งประธานาธิบดีเอาไว้ได้เลย ไม่ว่าโดยวุฒิสมาชิกอเมริกันอย่าง “Rick Scott” หรือตัวผู้นำอเมริกันอย่าง “ทรัมป์บ้า” เองก็ตาม...
ด้วยลักษณะอาการเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้ใครต่อใครต่างเห็นพ้องต้องกัน ว่ามันคงไม่ใช่แค่การคิด “ปราบยาเสพติด”อย่างที่ผู้นำอเมริกาหยิบมาใช้เป็น “ข้ออ้าง” อีกต่อไปแล้ว แต่เป็นความพยายามที่จะ “เปลี่ยนระบอบการปกครอง” หรือการคิดจะโค่นล้ม แทรกแซง คิดจะยึดประเทศทั้งประเทศด้วยกำลังทหาร หรือคิดยึด “แหล่งน้ำมัน” เวเนซุเอลาหรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที แม้แต่ทูตรัสเซียประจำสหประชาชาติ อย่าง“นายVassily Nebenzia” ท่านก็เชื่อของท่านว่า...“อเมริกามีแผนที่จะรัฐประหารเวเนซุเอลา...ภายใต้ข้ออ้างเรื่องการปราบปรามยาเสพติด” ไม่ได้คิดจะลด-ละ-เลิก หรือคิดจะ “ยุติการแทรกแซง” เหมือนอย่างที่ผู้อำนวยการข่าวกรองแห่งชาติ “นางTulsi Gabbard” ออกมาพ่นแมงโม้เอาไว้ก่อนหน้านี้...
แต่ก็นั่นแหละ...ประเทศเล็กๆ ในแคริบเบียน อย่างเวเนซุเอลา ก็ใช่ว่าจะเป็น “ตะเกียงไร้น้ำมัน” หรือเป็น “นกไร้ขนคนไร้เพื่อน” ไม่เพียงแต่จะระดมกำลัง “ทหารบ้าน” นับล้านๆ หรือราวๆ 4,500,000 คน มาช่วยปกป้องแผ่นดินมาตุภูมิของตัวเองร่วมกับบรรดา “ทหารอาชีพ” อีกไม่ต่ำกว่า 150,000 คน ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของ “The Washington Post” เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ 31 ต.ค.ที่ผ่านมา ทางการเวเนซุเอลาเขาได้ออกเดินสายและส่งหนังสือไปขอร้องบรรดาเพื่อนสนิท มิตรสหายในประชาคมโลก เพื่อรับมือกับการแทรกแซงของคุณพ่ออเมริกา อย่างชนิดเอาการ-เอางานและเป็นเรื่อง-เป็นราวมิใช่น้อย ไม่ว่าขอให้มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอย่างคุณพี่จีนช่วยในเรื่องเรดาร์ที่เอาไว้ตรวจจับการบุกรุกในรูปแบบต่างๆ ขอให้คู่กัด-คู่อาฆาตอเมริกาอย่างอิหร่านช่วยส่งเครื่องบินโดรนและอาวุธป้องกันตัวมาไว้สกัดกั้นและโจมตีฝ่ายตรงข้าม และที่เป็นเรื่อง-เป็นราว เป็นระบบและกิจการ ก็คือการมอบหมายให้รัฐมนตรีคมนาคม “นายRamon Celestino Velazquez” ที่มีกำหนดการเดินทางเยือนรัสเซียเมื่อไม่กี่วันมานี้ ยื่นหนังสือขอความช่วยเหลือรัสเซีย ในการช่วย “ปกป้องอธิปไตย” ของประเทศเวเนซุเอลา...
เผอิญว่า... “ข้อตกลง” หรือสนธิสัญญาความเป็น “หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์” ระหว่างรัสเซีย-เวเนซุเอลาที่เคยร่วมลงนามกันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ได้รับการ “รับรองสัตยาบัน”โดยสภาดูมาของรัสเซียในช่วงระหว่างนี้แบบพอดิบพอดี อันทำให้เกิดข้อผูกพันอย่างเป็นทางการ ดังที่โฆษกปากคมแห่งกระทรวงการต่างประเทศรัสเซีย คุณ “Maria Zakharova”เธอออกมาย้ำเอาไว้นั่นแหละว่า... “รัสเซียมีภาระหน้าที่ที่จะต้องสนับสนุนการป้องกันอธิปไตยแห่งชาติ และช่วยเหลือเวเนซุเอลาให้พ้นจากภัยคุกคามต่างๆ ไม่ว่าจะมาจากที่ไหน? และเมื่อไหร่? ก็ตาม” และนั่นเอง...ที่อาจทำให้นักคิดชาวรัสเซีย อย่าง“ศาสตราจารย์Alexander Bobrov” ท่านถึงกับต้องนำเอาเรื่องของเวเนซุเอลาไปเปรียบเทียบกับ “วิกฤตจรวดคิวบา” เมื่อ 60 กว่าปีที่แล้ว รวมทั้งยังเชื่อว่า...เหตุที่ผู้นำอเมริกาตัดสินใจ “เลื่อน” การพบปะกับผู้นำรัสเซียที่ประเทศฮังการี น่าจะมีส่วนมาจากการที่สภาดูมา “รับรองสัตยาบัน” ความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ระหว่างเวเนซุเอลาและรัสเซียนั่นเอง...
เพราะอย่างที่ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบัน “The Institute of Law and National Security” ของรัสเซีย “นายAlexander Stepanov” เขาเคยอธิบาย ขยายความ ไว้เมื่อครั้งที่สภาดูมาของรัสเซีย ได้ “รับรองสัตยาบัน” ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ระหว่าง “คิวบา-รัสเซีย” เมื่อไม่นานมานี้อีกเช่นกัน ว่าย่อมมีผลให้รัสเซียสามารถส่งอาวุธร้ายๆ อย่าง จรวด “Iskandar” หรือกระทั่งขีปนาวุธที่ยังไม่มีใครสามารถป้องกันได้ อย่าง “Oreshnik” ไปจ่อยังปากประตูหน้าบ้านของอเมริกา หรือในประเทศคิวบาได้อย่างถูกต้อง ชอบธรรม โดยเฉพาะถ้าหากคุณพ่ออเมริกาคิดจะส่งจรวด “Tomahawk” ไปให้กับ “ตัวตลก-ตัวแทน” อย่างยูเครนขึ้นมาจริงๆ หรือทำให้เอาไป-เอามา...วิกฤตจรวดคิวบา หรือ “Cuba Missile Crisis” เมื่อกว่าครึ่งศตวรรษที่แล้ว ย่อมสามารถกลายเป็น “Caribbean Crisis 2.0” ได้เสมอๆ ถ้าหากคุณพ่ออเมริกาคิดจะบุกเวเนซุเอลาขึ้นมาเมื่อไหร่ก็ตามที...
ส่วนมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอีกราย อย่างคุณพี่จีนนั้น...ก็คงไม่อาจ “เอามือซุกหีบ” ได้อีกต่อไป ถ้าอเมริกาคิดจะบุกเวเนซุเอลาขึ้นเมื่อไหร่ก็แล้วแต่ เพราะโดยระดับความสัมพันธ์ที่แนบแน่น หนึบหนับ ไม่ว่าในฐานะลูกค้าน้ำมันรายใหญ่ หรือในฐานะผู้ให้กู้ยืมเงินทุนของจีนต่อผู้ที่ซื้ออาวุธจีนแบบชนิดเป็นล่ำเป็นสันอย่างเวเนซุเอลา อีกทั้งยังเป็นพื้นที่เชื่อมต่อที่สำคัญเอามากๆ ในโครงการ “Belt and Road Initiative” ของจีน ที่แผ่ขยายเข้าไปยังสวนหลังบ้านของอเมริกา จนมีประเทศละตินอเมริกาไม่น้อยกว่า 24 ประเทศยินดีเข้าร่วมอยู่ในทุกวันนี้ และทำให้จีนกลายเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของภูมิภาคแห่งนี้รองจากคุณพ่ออเมริกาแค่ไม่กี่มาก-น้อย...
ไม่ต่างไปจากคู่กัด-คู่อาฆาตของอเมริกา อย่างคุณปู่อิหร่านก็เช่นกัน ที่ไม่น่าจะ “เอามือซุกหีบ” ได้อยู่แล้วแน่ๆ!!! ถ้าหากคุณพ่ออเมริกาคิดเปิดศึกกับเวเนซุเอลาไม่ว่าเมื่อไหร่? ตอนไหน? เพราะไม่เพียงแต่ต่าง “หัวอกเดียวกัน” หรือต่างถูกมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา “แซงก์ชั่น” มาโดยตลอด จนทำให้ประเทศอิหร่านที่อยู่กันคนละซีกโลกกับเวเนซุเอลา ถึงกับเคยคิดจะไปสร้าง “ฐานทัพเรือ” เอาไว้ในประเทศนี้ อันนี้...ถ้าว่ากันตาม “ข่าวกรอง” ประเทศพันธมิตรอเมริกา อย่างอิสราเอลที่ระบุเอาไว้ในปี ค.ศ. 2022 แต่การให้ความสำคัญ หรือความพยายามสร้างสายสัมพันธ์ระหว่างอิหร่านกับบรรดาประเทศในแถบทะเลแคริบเบียน ยังถึงกับทำให้ ส.ส.อเมริกันแห่งเซาท์ แคโรไลนาอย่าง “นายJeff Duncan” ถึงกับต้องนำเสนอ “กฎหมาย” ว่าด้วยการต่อต้านอิหร่านในซีกโลกตะวันตก หรือ “The Countering Iran in Western Hemisphere Act” มาแล้วตั้งแต่ปี ค.ศ. 2012 โน่นเลย...
ด้วยเหตุนี้...การคิดจะบุกประเทศเล็กๆ อย่างเวเนซุเอลา ไม่ว่าเพื่อปราบยาเสพติด เพื่อยึดแหล่งน้ำมัน หรือเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองฯลฯ ก็แล้วแต่ ของผู้ที่ยังคิดว่าตัวเองคือจ้าวโลก คือประมุขโลก เช่นมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกานั้น คงไม่น่าจะ “ง่าย” หรือไม่น่าจะ “ปอกกล้วยเข้าปาก” มากมายสักเท่าไหร่ อันเนื่องมาจากโลกทุกวันนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...นั่นแล!!! การปฏิวัติรัฐประหารแทรกแซงด้วยกำลังทหาร ลอบฆ่า ลอบสังหาร หรือหันไปสนับสนุนฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลที่ไม่เห็นด้วยกับอเมริกา ฯลฯ ที่เคยอุบัติขึ้นมาไม่ต่ำกว่า 60 ครั้งเป็นอย่างน้อยในภูมิภาคละตินอเมริกา โดยฝีมือของรัฐบาลอเมริกันในแต่ละยุค แต่ละสมัย มาถึงบัดนี้...มันคงไม่ได้สิ้นสุด ยุติ เพียงเพราะความคิดความเชื่อของผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติอย่าง “นางTulsi Gabbard” แต่อย่างใด...
แต่เป็นเพราะ “ความจริง” หรือ “ข้อเท็จจริง” ที่แสดงให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์ชัดแจ้งไปแล้วนั่นแหละว่า ความเท่าเทียม เสมอภาค และการเคารพในอำนาจอธิปไตยซึ่งกันและกันไม่ว่าประเทศเล็ก ประเทศใหญ่ หรือประเทศใดๆ ก็แล้วแต่ ย่อมเป็นสิ่งพึงประสงค์ของบรรดาประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้การฝ่าฝืน ล่วงละเมิด ต่อเป้าประสงค์ดังกล่าว ย่อมมิอาจละเลยหรือปล่อยให้เป็นไปได้ง่ายๆ ภายใต้โลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงจาก“โลกขั้วอำนาจเดียว” อันมีมาตรฐานโลกตะวันตกเป็นพื้นฐานกลายมาเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ที่โลกตะวันออกทั้งมวลต่างให้ความยอมรับนับถืออย่างมิอาจหวนกลับคืนไปเป็นเช่นเดิมได้อีกเลย...


