ชื่อบทความนี้ ผมตั้งขึ้นโดยตั้งใจคารวะหนังสือเล่มเล็กแต่ทรงคุณค่าของวรรณกรรมไทย “ปักกิ่งนครแห่งความหลัง” ผลงานของ สด กูรมะโลหิต หนังสือที่ผู้เขียนถ่ายทอดความทรงจำในวันที่เขาเคยไปใช้ชีวิตอยู่ในจีนยุคเก่า สมัยที่ปักกิ่งยังไม่ใช่มหานครแห่งเทคโนโลยีอย่างวันนี้ แต่เป็นเมืองที่อบอวลด้วยกลิ่นอายของวัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ และผู้คนที่มีชีวิตอย่างสงบ เรียบง่าย และเปี่ยมด้วยศักดิ์ศรี
แม้ผมจะอ่านหนังสือเล่มนี้ตั้งแต่ยังเยาว์วัย และแทบจะจำเนื้อหาไม่ได้ แต่เมื่อครั้งหนึ่งผมมีโอกาสไปเป็นนักเรียนที่ปักกิ่ง จึงทำให้รู้สึกผูกพันกับเมืองนี้ราวกับเป็นบ้านหลังที่สอง เพราะในปี 1997–1998 ผมเคยใช้ชีวิตอยู่ที่นี่จริงๆ ที่ 北京中国语言文化学院 (Beijing Chinese Language and Culture College) หรือที่รู้จักอีกชื่อว่า 北京华文学院 (Beijing Huawen Xueyuan) ช่วงเวลานั้นทำให้ผมได้สัมผัส “จิตวิญญาณของปักกิ่ง” อย่างแท้จริง
ในวันนั้น เมืองยังเต็มไปด้วยจักรยาน เสียงกริ่งรถดังระงมบนถนนในยามเช้า ลมหนาวพัดปะทะใบหน้าพร้อมกลิ่นควันถ่านหินที่ลอยจากปล่องอิฐของบ้านเตี้ยๆ ทุกคนดูเร่งรีบแต่ไม่เร่งร้อน เป็นเมืองที่มีความเงียบงามในความเคลื่อนไหว และความอ่อนโยนในความหนาวเย็น
เวลาผ่านไปกว่าสองทศวรรษ วันนี้ผมกลับมาที่นี่อีกครั้ง ไม่ใช่ในฐานะนักเรียน แต่ในฐานะนักท่องเที่ยวที่อยากมอง “ปักกิ่ง” อีกครั้ง ผ่านสายตาของคนที่เคยใช้ชีวิตอยู่จริง โดยครั้งนี้ผมมากับเพื่อนที่ร่วมเรียนหลักสูตรการบริหารงานตำรวจในยุคดิจิทัล (PADA14)
การเดินทางของผมเริ่มจากชานเมืองทางตะวันออกเฉียงเหนือของปักกิ่ง ที่นั่นคือ “กู๋เป่ยสุ่ยเจิ้น” (古北水镇,
Gǔběi Shuǐzhèn) เมืองน้ำโบราณที่สร้างขึ้นใหม่ริมเชิงเขาในเขต Miyun เมืองทั้งเมืองสงบนิ่งราวกับอยู่ในภาพวาดจีนยุคราชวงศ์หมิง แสงไฟสะท้อนผืนน้ำยามค่ำคืน ผู้คนเดินเรียบช้าในลมหนาว เสียงน้ำไหลและเสียงรองเท้าบนพื้นหินกลายเป็นดนตรีของค่ำคืนนั้น
เหนือขึ้นไปบนภูเขาคือ “ด่านซือหม่าไถ” (司马台长城, Sīmǎtái Chángchéng) หนึ่งในตอนที่งดงามและสมบูรณ์ที่สุดของกำแพงเมืองจีน สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิงเพื่อป้องกันการรุกรานจากทางเหนือ ด่านนี้ทอดยาวกว่า 5 กิโลเมตร มีหอคอยมากกว่า 30 หอ อยู่บนสันเขาสูงกว่า 300 เมตร บางจุดมองเห็นทะเลสาบและเมืองน้ำเบื้องล่าง ที่นี่เป็นตอนเดียวของกำแพงเมืองจีนที่เปิดให้เข้าชมในเวลากลางคืน ไฟที่เรียงรายไปตามแนวกำแพงสะท้อนแสงดาวเหนือภูเขา เป็นภาพที่งดงามจนเงียบทั้งหุบเขา
จากนั้นผมเดินทางเข้าสู่ใจกลางเมือง วันที่สามของการเดินทางเริ่มต้นที่ ย่านเฉียนเหมิน (前门, Qiánmén) ถนนเก่าแก่ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นประตูหน้าของเมืองหลวงในสมัยราชวงศ์หมิงและชิง ปัจจุบันได้รับการบูรณะให้เป็นถนนคนเดินที่ผสมผสานความเก่าและความใหม่ได้อย่างลงตัว อาคารไม้โบราณเรียงรายสองฝั่งถนน ร้านชาและร้านของฝากยังคงกลิ่นอายของวันวาน
จากเฉียนเหมินเดินขึ้นมาทางเหนือ จะถึงจัตุรัสเทียนอันเหมิน (天安门广场, Tiān’ānmén Guǎngchǎng) ประตูสวรรค์ที่เป็นหัวใจของจีนสมัยใหม่ ภาพของ เหมา เจ๋อตง (毛泽东) ยังคงแขวนอยู่เหนือประตูใหญ่ พร้อมถ้อยคำที่ยังสะท้อนพลังของอุดมการณ์จีนมาจนถึงวันนี้
中华人民共和国万岁 (Zhōnghuá Rénmín Gònghéguó Wànsuì) – “สาธารณรัฐประชาชนจีนจงเจริญ”
世界人民大团结万岁 (Shìjiè Rénmín Dà Tuánjié Wànsuì) – “ขอให้ประชาชนทั่วโลกสามัคคีกันจงเจริญ”
ผ่านประตูนั้นเข้าสู่พระราชวังต้องห้าม (故宫, Gùgōng) สัญลักษณ์แห่งอำนาจของราชสำนักจีนโบราณ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ (永乐皇帝) แห่งราชวงศ์หมิง ระหว่างปี ค.ศ. 1406–1420 ใช้เป็นที่ประทับของจักรพรรดิ 24 พระองค์ รวมเวลาราว 490 ปี ภายในมีห้องมากกว่า 9,000 ห้อง ครอบคลุมพื้นที่กว่า 720,000 ตารางเมตร ปัจจุบันคือ พิพิธภัณฑ์พระราชวัง (故宫博物院, Gùgōng Bówùyuàn) ที่ผู้คนทั่วโลกอยากมาเห็นสักครั้งในชีวิต
ปักกิ่งในวันนี้เปลี่ยนไปมาก ถนนหนทางกว้างขวางอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ตอนที่ผมอยู่ มีเพียงถนนวงแหวนสามชั้น แต่ตอนนี้มีถึงเก้าชั้น (第九环, Dì Jiǔ Huán) เมืองที่เคยมีจักรยานเต็มถนน วันนี้กลายเป็นมหานครแห่งรถยนต์และเทคโนโลยี รถไฟฟ้า (电动车, Diàndòngchē) เริ่มครองถนน แต่รถใช้น้ำมัน (燃油车, Rányóu Chē) ก็ยังอยู่ไม่น้อย เหมือนเมืองกำลังเปลี่ยนผ่านไปสู่อีกยุคหนึ่ง
ตลาดรัสเซียที่ผมเคยเดินเล่นเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อนหายไปหมดแล้ว กลายเป็นย่านแฟชั่นทันสมัย เต็มไปด้วยผู้คนหนุ่มสาวเดินขวักไขว่ สะท้อนให้เห็นถึงพลังของเมืองที่ไม่เคยหยุดนิ่ง
และในอีกฟากหนึ่งของเมือง ผมได้ไปเยือน “จงกวนชุน” (中关村, Zhōngguāncūn) หรือ Zhongguancun National Independent Innovation Demonstration Zone (中关村国家自主创新示范区) ที่ถูกขนานนามว่า “ซิลิคอนแวลลีย์แห่งปักกิ่ง” จากถนนอิเล็กทรอนิกส์เล็กๆ ในย่านไห่เตียน กลายเป็นศูนย์กลางของมหาวิทยาลัยชิงหวา ปักกิ่ง สถาบันวิทยาศาสตร์จีน และบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก อย่าง Lenovo, Baidu, Xiaomi, ByteDance และ Meituan ที่นี่คือหัวใจของนวัตกรรมจีน เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าประเทศที่เคยถูกมองว่า “ผลิตเพื่อโลก” วันนี้กำลังกลายเป็น “ประเทศที่สร้างเพื่อโลก” อย่างแท้จริง
ก่อนเดินทางกลับ ผมได้แวะไปยังสถานที่ที่ผมผูกพันที่สุดในความทรงจำ “เทียนถาน” (天坛, Tiāntán) หรือ Temple of Heaven สถานที่ที่จักรพรรดิราชวงศ์หมิงและชิงเคยประกอบพิธีบวงสรวงฟ้าดิน เพื่อขอให้บ้านเมืองสงบและพืชผลอุดมสมบูรณ์ สร้างขึ้นในสมัยจักรพรรดิหย่งเล่อ ระหว่างปี ค.ศ. 1406–1420 อาคารหลักคือ หออธิษฐานเพื่อเก็บเกี่ยวอันอุดมสมบูรณ์ (祈年殿, Qínián Diàn) และแท่นสังเวยฟ้า (圜丘坛, Yuánqiū Tán) ที่สะท้อนแนวคิดจีนโบราณว่า “ฟ้าเป็นวงกลม ดินเป็นสี่เหลี่ยม” (天圆地方, Tiān Yuán Dì Fāng)
ทุกเช้า ผู้คนมารำไทเก๊ก เล่นหมากรุก ร้องเพลง และเดินเล่นอย่างสงบ เทียนถานจึงไม่ใช่เพียงโบราณสถาน แต่เป็น “ลมหายใจของปักกิ่ง” ที่ทำให้ประวัติศาสตร์และชีวิตประจำวันดำเนินไปอย่างกลมกลืน
เมื่อผมได้กลับมายืนท่ามกลางลานกว้างและกลิ่นไม้เก่าอีกครั้ง ความทรงจำในปี 1997 หวนคืนมาอย่างชัดเจน มันเหมือนห้องเรียนแห่งอดีตที่สอนให้เข้าใจถึงความยิ่งใหญ่ของเวลา ความอ่อนน้อมของมนุษย์ต่อธรรมชาติ และความศรัทธาที่ไม่เคยเลือนหายจากแผ่นดินจีน
ผมหวังว่าในวันข้างหน้า จะได้กลับมาอีกครั้ง และใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับคนปักกิ่งมากกว่านี้ อยากรู้ว่าเขามองประเทศของตนอย่างไร กับการเปลี่ยนผ่านจากประเทศกำลังพัฒนา สู่ประเทศที่มีเทคโนโลยีและอำนาจทางเศรษฐกิจระดับโลก และเขาภูมิใจอย่างไรในผู้นำที่พาประเทศมาถึงจุดนี้
ขณะที่หันกลับมามองเมืองไทย… ใจหนึ่งก็อดถามไม่ได้ว่า เมื่อไหร่เราจะได้เห็นนักการเมืองที่มีวิสัยทัศน์แบบนั้นบ้าง คนที่สามารถพาประเทศเดินไปข้างหน้าได้อย่างมีทิศทาง และเป็น “ความหวังของชาติ” ได้จริงๆ ไม่ใช่เพียงคำพูดที่ล่องลอยอยู่ในอากาศและไร้ความหวัง
ติดตามผู้เขียนได้ที่


