เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นต้องหันไปสำรวจตรวจสอบบทบาทความเคลื่อนไหวของ “ทรัมป์บ้า”ผู้นำอเมริกาให้ละเอียดกันอีกสักรอบนั่นแหละทั่น!!! เพราะการ “เดินสาย” ไปเยือนมาเลเซีย เกาหลีใต้ เลยไปถึงญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ รวมทั้งการนั่งโต๊ะเจรจาตัวต่อตัวกับผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี ทนได้” จนนำไปสู่การ “พักรบชั่วคราว” ตามที่ใครต่อใครให้คำนิยามเอาไว้ หรือเกิดการลดระดับความรุนแรงของ “สงครามการค้า” ลงไปในบางแง่ บางส่วน เช่น ลดภาษีนำเข้าสินค้าจีนแลกกับการเลิกกีดกันแร่หายาก(Rare Earth) ที่อยู่ในอุ้งมือคุณพี่จีนเป็นการชั่วคราว ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรทำนองนี้ อันส่งผลให้เกิดการวิพากษ์ วิจารณ์ ตามมุมมองของใคร-ของมันไปตามสภาพ...
แต่ถ้าว่ากันโดยรวมๆ แล้ว...คงหนีไม่พ้นต้องสรุปว่า แม้ว่า “ทรัมป์บ้า”อาจไม่ได้ “บ้าสงคราม” มากมายเกินไปนัก แต่ด้วยความยึดมั่น ถือมั่น ว่า “อเมริกาคือพ่อของทุกสถาบัน” ทำนองนั้น คือเชื่อว่าอเมริกาคือจ้าวโลก ประมุขโลกที่จะสามารถ “กลับมายิ่งใหญ่” หรือ “America Great Again” ได้อีกครั้ง ถึงขั้นย้อนไปเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมเป็น “กระทรวงสงคราม” เหมือนครั้งอเมริกากำลังรุ่งโรจน์ กำลังเข้าสู่ยุคทอง ด้วยการขยายดินแดน ขยายอาณาเขต ตามแบบฉบับนักล่าอาณานิคมทั้งหลาย จนกลายมาเป็นประเทศอเมริกาในทุกวันนี้ อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ “อเมริกัน”ก็ยังเป็นอะไรที่ “อันตราย!!!” สำหรับบรรดา “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ที่อุบัติขึ้นมาภายใต้ความเปลี่ยนแปลงซึ่งได้กลายมาเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ตราบเท่าทุกวันนี้ โดยเฉพาะสำหรับ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างคุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซีย นั่นแล...
สิ่งที่อาจถือเป็นภาพสะท้อนของความยึดมั่นถือมั่น ในลักษณะดังกล่าวค่อนข้างชัดเจน ก็เช่นการทุ่มทุน ทุ่มเท ให้กับงบประมาณด้านความมั่นคง หรืองบกระทรวงสงคราม ที่ว่ากันว่าปีหน้า...น่าจะปาเข้าไปถึง 1.01 ล้านล้านดอลลาร์สูงกว่างบประมาณปีที่แล้วถึง13 เปอร์เซ็นต์ รวมทั้งการออกข้อชี้แนะ หรือแนวทางปฏิบัติด้านยุทธศาสตร์ความมั่นคงชั่วคราว หรือที่เรียกๆ กันว่า “Trump’s Interim National Defense Strategic Guidance”(INDSG) ที่มุ่งจะทำให้ “ช่องว่าง” ของศักยภาพทางทหารระหว่างอเมริกากับบรรดามหาอำนาจคู่แข่งทั้งหลาย ยังคงถ่างกว้างเข้าไว้ หรือพยายามไม่ให้คุณพี่จีนและคุณน้ารัสเซียตามมา “หายใจรดต้นคอ” ได้โดยเด็ดขาด!!!
การคิดจะสร้างความยิ่งใหญ่ หรือความแข็งแกร่งชนิด “ป้อมค่ายที่มิมีผู้ใดตีแตก”ให้อเมริกาในรูปนี้นี่เอง...ที่ทำให้กลายเป็น “ความเพ้อ” หรือความฝันลมๆ แล้งๆ ที่ออกจะสวนทางกับความเป็นจริง ข้อเท็จจริง ไม่ว่าภายในประเทศหรือนอกประเทศก็ตามที ดังเช่นความคิดที่จะทุ่มทุน ทุ่มเทให้กับการปกป้องประเทศอเมริกาด้วยระบบป้องกันภัยทางอากาศที่เรียกกันว่า “Golden Dome” ด้วยเม็ดเงินงบประมาณสูงถึง175,000 ล้านดอลลาร์ โดยหวังที่จะติดตั้งขีปนาวุธสกัดกั้นจรวดของฝ่ายตรงข้ามตั้งแต่ยังไม่ทันโผล่ออกจากไซโล เอาไว้ในชั้นบรรยากาศนับพันๆ แห่งให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาดภายในระยะเวลา 5 ปี แต่ภายใต้ความเพ้อ หรือความบ้า ในลักษณะเช่นนี้...เอาไป-เอามาแล้วถ้าว่ากันตามตัวเลขการประเมินของสำนักงานงบประมาณรัฐสภา (Congression Budget Office) งานนี้คงต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณไม่น้อยไปกว่า 831,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย หรือถ้าว่ากันตามตัวเลขการประเมินของสถาบันรัฐวิสาหกิจอเมริกัน (American Enterprise Institute) อาจต้องควักเม็ดเงินภาษีของบรรดาอเมริกันชนมาให้กับโครงการดังกล่าว ไม่น้อยไปกว่า3.6 ล้านล้านดอลลาร์ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ดังนั้น...งบฯ ความมั่นคงที่สูงถึง 1.01 ล้านดอลลาร์ในปีหน้า จะสูญเสียไปกับความเพ้อ ความบ้าในลักษณะเช่นนี้ มาก-น้อยขนาดไหนก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ โดยจะส่งผลให้งบประมาณด้านอื่นๆ ไม่ว่าการศึกษา สาธารณสุข สวัสดิการสังคม ฯลฯ ถูกลิดรอนตัดทอนลงไปอีกเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ก็ยากที่จะประเมิน แต่ที่แน่ๆ ก็คือ...น่าจะหนีไม่พ้นที่จะส่งผลให้ปัญหาสังคม อาชญากรรม ความรุนแรง ฯลฯ ในสังคมอเมริกันมีสิทธิ์ “แตก...ดังโพล๊ะ”เอาง่ายๆ เพราะความพยายามที่จะทำให้ “ช่องว่างทางความมั่นคง” ระหว่างตัวเองกับมหาอำนาจคู่แข่งห่างๆเข้าไว้ ยังทำให้เกิดการทุ่มทุน ทุ่มเท หรือการ “แข่งขันทางทหาร” ในอีกหลายเรื่องหลายกรณี ไม่ว่าการเร่งเร้าให้กองทัพอากาศอเมริกัน หรือ “USAF” ร่วมกับพวกอุตสาหกรรมทหาร ผลิตเครื่องบินรบ “F-15EX”และ “F-35A” จากเดิมที่เคยตั้งเป้าเอาไว้ประมาณ1,271 เครื่อง ให้เพิ่มขึ้นไปอีก1,558 เครื่อง ภายในช่วงเวลา10 ปีให้จงได้...
หรือถึงขั้นเกิดการจัดตั้ง “สภาเร่งรัดการผลิตยุทโธปกรณ์” (The Munitions Acceleration Council) เพื่อรองรับการผลิตกระสุน จรวด และอาวุธร้ายๆ อีก12 ชนิด ให้เพิ่มขึ้นอีก2 เท่า หรือ4 เท่าตัว โดยจะต้องควักเม็ดเงินภาษีอีกกี่ร้อยกี่พันกี่หมื่นล้านดอลลาร์ก็ยังมิอาจคาดคะเนได้ แต่เท่าที่สื่ออเมริกันอย่าง “The Wall Street Journal” เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้ว่าคงไม่ใช่แต่เฉพาะเรื่องเงินๆ-ทองๆ แต่เพียงเท่านั้นที่ยังเป็นปัญหา แต่ยังมีเรื่องของช่วงเวลาที่จะต้องใช้เวลาเป็นปีๆ รวมทั้งเรื่องของเทคนิคหรือเทคโนโลยีที่ถูกผู้นำรัสเซียหนึ่งในมหาอำนาจคู่แข่งเคยวิพากษ์วิจารณ์เอาไว้ประมาณว่า อาวุธของอเมริกานั้นแพง-แสน-แพง แต่ประสิทธิภาพออกจะด้อยกว่าระดับราคาหลายเท่าตัว...
อีกทั้งการวิ่งไล่กวดไล่ตามอาวุธร้ายๆ ของมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ก็ใช่ว่าจะเป็นไปได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะเป็นขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก อย่าง “Oreshnik” ที่ว่ากันว่ายังไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดๆสามารถสกัดกั้นได้เลยยิ่งล่าสุด...มีทั้งจรวด “ICBM” อย่าง “Burevestnik”หรือที่เรียกๆ กันว่า “อาวุธวันสิ้นโลก”(Doomsday Weapon) โผล่เข้ามาอีกดอก ชนิดแม้แต่ระบบ “Golden Dome” ยังทำอะไรแทบไม่ได้ เพราะไม่ได้ค่อยๆ โผล่ออกมาจากไซโลแต่สามารถลอยเท้งเต้งอยู่บนอวกาศได้เป็นวันๆ เป็นสัปดาห์ๆ โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิง สามารถจิกหัวเจาะทะลวงพื้นที่ใดๆ ในโลกนี้ในระยะ 14,000-22,000 กิโลเมตร ด้วยความเร็วระดับ “Mach 20”เอาเลยถึงขั้นนั้น แถมยังตามมาด้วยโดรนใต้น้ำอย่างขีปนาวุธ “Poseidon” อีกต่างหาก ฯลฯ โอกาสที่ “ช่องว่างทางความมั่นคง” จะหดแคบจนแทบไม่เหลือ หรือเผลอๆ...อาจถูกมหาอำนาจคู่แข่งทิ้งห่างชนิดแทบไม่เห็นฝุ่น เห็นหาง ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ...
ยิ่งต้องหันไปอาศัย “แร่หายาก” หรือ “Rare Earth” เป็นองค์ประกอบในด้านอุตสาหกรรมทหารอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้แม้มหาอำนาจคู่แข่งอย่างคุณพี่จีนท่านจะขยายโอกาสให้พอหาซื้อได้ไม่ยากภายในช่วงระยะสั้นๆ ระหว่าง “พักรบชั่วคราว”ก็ตามที แต่โอกาสที่จะสร้าง “ทางเลือก” ใหม่ๆ ไม่ว่าด้วยการควานหาสินค้าชนิดนี้จากออสเตรเลีย ญี่ปุ่น หรือไทยแลนด์ แดนสยาม ฯลฯ ของหมู่เฮาก็ตามที คงไม่น่าจะ “เปิดปุ๊บ-ติดปั๊บ” ได้ง่ายๆ เพราะแม้ว่าแร่ชนิดนี้จะไม่ถึงกับ “หายาก” แต่ในแง่ของ “กระบวนการผลิต” นั่นแหละ ด้วยวิสัยทัศน์ ปรีชาญาณของคุณพี่จีน ที่มองไกล หรือมองกันในระดับ“ยุทธศาสตร์” มาตั้งแต่เกือบครึ่งศตวรรษที่แล้ว หรือตั้งแต่ปี ค.ศ.1980 ทำให้เกิดการพัฒนากระบวนการผลิต จนยากที่ใครต่อใครจะวิ่งไล่กวด ไล่ทัน หรือกลายเป็นเรื่องยากเรื่องเย็นเกินกว่าที่จะสร้างทางเลือกใหม่ๆขึ้นมาได้ง่ายๆ เพราะแม้แต่จ้าวเทคโนโลยีอย่างญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ ก็เพิ่งเริ่มๆพัฒนากระบวนการเหล่านี้เมื่อในช่วงปี ค.ศ.2010 นี่เอง หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ผู้บริหารร่วมฝ่ายวิจัยสินค้าระดับโลกแห่งบริษัท “Goldman Sachs”อย่าง “นายDaan Struyven” โอกาสที่ตะวันตกหรือคุณพ่ออเมริกาจะวิ่งไล่กวดไล่ทันกระบวนการผลิตแร่หายากของจีนน่าจะใช้เวลาไม่ต่ำกว่า 10 ปี หรือกว่า 1 ทศวรรษเอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
อีกทั้งความพยายามที่จะอาศัย “พลังอำนาจแห่งความเป็นจ้าวโลก” หรือ “Hegemonic Power”มาบีบบังคับ ข่มขู่ใครต่อใครให้หันมา “Kiss Ass”หรือ “จูบตูด” ตัวเองนั้น มันอาจใช้ได้ผลกับประเทศเล็ก ประเทศน้อยเป็นหลัก แต่โอกาสที่จะอาศัยสิ่งเหล่านี้บีบบังคับประเทศที่กำลังผงาดขึ้นเป็น “ขั้วอำนาจ” ใหม่ๆ ภายใต้โลกที่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ยิ่งเข้าไปทุกที มันน่าจะลำบากยากเย็นยิ่งขึ้นไปเท่านั้นความพยายามตัดขาดสายสัมพันธ์ระหว่างจีน-อินเดีย-รัสเซีย ด้วยมาตรการ “secondary sanctions” ต่อใครก็ตามที่ค้าขายพลังงานกับรัสเซีย กลับดูจะยิ่งกลายเป็น “แรงกระตุ้น”ให้เกิดความผูกพันแบบชนิด “ตัดไม่ได้-ขายไม่ขาด” ระหว่างมหาอำนาจทั้ง 3 ชนิดนุงนัง นัวเนียอย่างเห็นได้โดยชัดเจน...
ข่าวคราวเรื่องการร่วมสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ระหว่างอินเดีย-รัสเซีย ร่วมผลิตขีปนาวุธซุปเปอร์โซนิกอย่างจรวด “BrahMos” ร่วมสร้างและพัฒนารถไฟความเร็วสูง ไปจนถึงร่วมผลิตเครื่องบินโดยสาร “Sukhoi Superjet 100”(SJ-100) เพื่อแข่งขันกับเครื่อง “Boeing” ของอเมริกาและ “Airbus” ของฝรั่งเศส ฯลฯ จึงเป็นอะไรที่ยากจะตัดยากจะแยกขาดจากกันและกันได้ง่ายๆ ไม่ต่างไปจากความสัมพันธ์ระหว่างจีน-รัสเซีย ที่สะท้อนให้เห็นจากการเดินทางไปเยือนจีนของนายกรัฐมนตรีรัสเซีย “นายMikhail Mishustin” ในช่วงวันที่2-3 พ.ย.นี้ ก็เพื่อที่จะลงนามข้อตกลงความร่วมมือการสร้างโรงงานไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ “Tianwan” และ “Xudapu” ในเมืองจีน ร่วมพัฒนาเทคโนโลยี “AI”และ “ICT” ร่วมยกระดับความเป็นหุ้นส่วนยุทธศาสตร์ในด้านพลังงาน ไม่ว่าการสร้างท่อส่งแก๊ส รัสเซีย หรือ “Siberia gas pipeline-1 และ2” อันถือเป็นโครงการท่อแก๊สที่ใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ และทำให้รัสเซียกลายเป็นประเทศอันดับหนึ่งในการส่งออกพลังงานให้กับจีนนับแต่ปี ค.ศ.
2025 เป็นต้นไป ฯลฯ
ดังนั้น...ความพยายามดำรงรักษาความยิ่งใหญ่เกรียงไกร ในฐานะ “จ้าวโลก”ของคุณพ่ออเมริกา จึงไม่เพียงแต่ส่งผลให้ “ความบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า”ชักหนักไปทาง “บ้าสงคราม” ยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ถึงขั้นเตรียมจะทดสอบอาวุธนิวเคลียร์ไปแล้วถึงขั้นนั้น แต่ยังส่อให้เห็นถึง “ความเพ้อ”หรือความหลงละเมอ ที่กลับจะกลายเป็น “ตัวเร่ง”ให้สังคมอเมริกันที่กำลังเสื่อมโทรม ทรุดโทรม อยู่ในทุกวันนี้ เกิดอาการ “แตก...ดังโพล๊ะ”ขึ้นมาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะเมื่อความขัดแย้งระหว่างพวก “ชาตินิยมใหม่”กับ “เสรีนิยมใหม่” นับวันยิ่งใกล้ถึงจุดสูงสุดยิ่งเข้าไปทุกที!!!


