xs
xsm
sm
md
lg

อะไรจะเกิดขึ้น!!! ถ้า“ทรัมป์บ้า”กลายเป็นพวก“บ้าสงคราม”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
“ทรัมป์บ้า” จะถูกการเมืองภายใน-ภายนอก กดดันให้ต้องกลายเป็นพวก “บ้าสงคราม” หรือไม่? อย่างไร? ก็คงต้องคอยจับตากันต่อไป แต่ที่แน่ๆ...ก็คือผู้นำอเมริกันรายนี้ยังน่าจะเชื่อเอามากๆ ว่า ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกายังคงมีฐานะเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก หรือยังพยายามดำรงรักษาความเป็น “Hegemonic” ต่อไปอย่างมิคิดจะลด-ละ-เลิกใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย ไม่ได้สนใจข้อเท็จจริง ความเป็นจริงของโลกว่าได้เปลี่ยนแปลงไปแล้วมาก-น้อยขนาดไหน อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้กลายเป็น “ปัญหา” ต่อโลกทั้งโลกอย่างมิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้!!! 

เหมือนอย่างที่รองรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศอิหร่าน “นายSaeed Khatibzadeh” ท่านได้ให้สัมภาษณ์แสดงความคิด ความเห็น เอาไว้กับสำนักข่าว “Russia Today”ระหว่างเดินทางไปเยือนรัสเซีย เมื่อช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา (24 ต.ค.) นั่นแหละว่า ในขณะที่หลายต่อหลายประเทศพยายามดิ้นรนเพื่อที่จะเข้าสู่ความเปลี่ยนแปลงแบบใหม่ หรือความเป็นโลกหลายขั้วอำนาจที่มีความเท่าเทียมกันเป็นบรรทัดฐาน แต่คุณพ่ออเมริกาและพันธมิตรกลับพยายามดำเนินนโยบายในทิศทางตรงกันข้ามกับเป้าหมายของบรรดาประเทศเหล่านี้ หรือพยายามที่จะใช้ “พลังอำนาจแห่งความเป็นจ้าวโลก”(Hegemonic Power) ในการปฏิเสธ ต่อต้าน คัดค้านทุกๆ วิถีทาง แม้กระทั่งการใช้กำลังทหารล้วนๆ ก็ตามที... 

หรือ...“มันมีแนวโน้มความขัดแย้งแบบตรงกันข้ามซึ่งกำลังปรากฏอยู่ในโลกทุกวันนี้ นั่นคือขณะที่มีความพยายามคิดจะก่อรูป ก่อร่าง ระเบียบโลกแบบหลายขั้วอำนาจขึ้นมา แต่โชคร้าย...ที่ประเทศมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกาไม่ได้คิดจะร่วมแบ่งปันแนวคิดชนิดนี้เอาเลยแม้แต่น้อย พวกเขายังคงพยายามขายและยัดเยียดความเป็นประมุขโลกต่อบรรดาประเทศต่างๆทั้งหลาย แม้แต่สิ่งที่ผู้นำอเมริกาพยายามแสดงให้เห็นว่ากำลังทำอะไรต่อมิอะไรเพื่อสันติภาพ แต่เอาเข้าจริงๆ แล้ว...มันไม่ใช่สันติภาพ!!! แต่คือความพยายามที่จะดำรงความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลก โดยอาศัยพลังอำนาจต่างๆ นานา ในการบีบบังคับใครต่อใคร ซึ่งแน่นอนว่า...อำนาจเหล่านั้นไม่ได้นำไปสู่สันติภาพแต่อย่างใด เพราะความรุนแรงมีแต่จะนำมาซึ่งความรุนแรง นำไปสู่สงครามและการนองเลือดจนได้ ด้วยเหตุนี้นี่เองที่อิหร่านไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากต้องลุกขึ้นมาต่อต้านแรงกดดันต่างๆ ของอเมริกา” นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ ลองไปคิดเอาเองก็แล้วกัน... 

โดยเฉพาะความพยายามอาศัยพลังอำนาจแห่งความเป็นประมุขโลก ตัดห่วงโซ่ความสัมพันธ์ระหว่างมหาอำนาจระดับโลก อย่าง “รัสเซีย-อินเดีย-และจีน” ให้ขาดออกจากกันให้จงได้ ด้วยการห้ามมิให้ใครต่อใครซื้อ-ขายน้ำมันกับบริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่ 2 แห่งของรัสเซีย คือบริษัท “Rosneft” และ“Lukoil” ที่ผลิตน้ำมันออกสู่ตลาดโลกวันละนับล้านๆบาร์เรล ไม่งั้นต้องเจอกับการ “แซงก์ชั่นขั้นที่สอง” (secondary sanctions) เจอกับภาษีนำเข้าสินค้าไปยังอเมริกาเพิ่มขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! แม้การใช้พลังอำนาจในลักษณะเช่นนี้จะไม่ได้ทำให้ “หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัด” ของรัสเซีย อย่างพญามังกรจีนที่กำลังจะผงาดขึ้นเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล เกิดอาการขวัญหด ขวัญหาย มากมายสักเท่าไหร่ แต่สำหรับมหาอำนาจอันดับสี่ อันดับห้า อย่างคุณปู่อินตะระเดีย ซึ่งอาจไม่มีระบบป้องกันทางเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งอย่างจีนหนีไม่พ้นที่จะต้องสะทกสะท้าน ต้องสั่นไหว สั่นสะเทือน ไปตามสภาพ... 

แต่ก็นั่นแหละ...การข่มขู่ คุกคาม การใช้พลังอำนาจแห่งความเป็นจ้าวโลกบีบคั้น บีบบังคับ ในลักษณะที่ว่านี้ ใช่ว่าจะทำให้ “แขกอินตะระเดีย” ผู้เคยได้ชื่อ ฉายา ชนิดต้องตั้งไว้คำถามมาโดยตลอดว่า “เจอแขก...กับเจองู ควรตีใครก่อน” จะยอมก้มหัวศิโรราบให้กับคุณพ่ออเมริกาเอาง่ายๆ แม้ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะพยายามย้ำแล้ว ย้ำเล่า เอาไว้ถึงประมาณ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ว่าผู้นำอินเดีย นายกรัฐมนตรี “Narendra Modi” รับปากว่าไม่คิดจะซื้อ-ขายน้ำมันใดๆ กับรัสเซียอีกต่อไปแล้ว อย่างช้าภายในสิ้นปีนี้ แต่สำหรับกระทรวงกิจการภายนอกและกระทรวงการต่างประเทศอินเดีย ต่างออกมาพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “อีนี่...แขกไม่รู้เรื่องใดๆ เอาเลยนะนายจ๋า!!!” หรือยังไม่ได้คิดจะรับปาก ไม่ได้คิดจะยอมศิโรราบให้กับการข่มขู่ คุกคาม ของคุณพ่ออเมริกาแต่อย่างใด... 

อีกทั้งการที่ผู้นำอินเดีย...ปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุม “ASEAN summit” ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 26-28 ต.ค.ที่ผ่านมา ที่ได้กลายเป็น “เวที” แห่งการประกาศความเป็น “นักสันติภาพ” ของ “ทรัมป์บ้า” อันเนื่องมาจากการจับมือ “นายกฯ หนู” แห่งไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮากับนายกฯ “ฮวย มาเนต” แห่งสแกมโบเดียให้หันมาจูบปาก ไซร้คอ ซึ่งกันและกันจนได้ รวมทั้งการปฏิเสธที่จะเข้าร่วมการประชุม “APEC” ที่เกาหลีใต้ในวันที่ 30 ต.ค.อีกด้วย โดยอ้างว่าติดธุระต้องร่วมงานฉลองเทศกาลของชาวฮินดู เทศกาล“Diwali” หรือ “Deepavali” อะไรต่อมิอะไรทำนองนี้นี่แหละ...ที่ทำให้นักข่าวอาวุโสและวิทยากรการเมืองและกิจการระหว่างประเทศชาวอินเดีย อย่าง “นายShastri Ramachandaran” เขาถึงกับออกมาสรุป“ฟันธง” เอาไว้แบบมิดด้าม เต็มด้าม ว่าเป็นเพราะไม่อยากจะเจอหน้ากับผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”นั่นเอง!!! 

หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยด้านยุทธศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย “Tsinghua” ของจีน อย่าง “นายQian Feng” ก็คือ...ผู้นำอินเดียกำลังใช้ “วิชามวยไทเก๊ก” (play tai chi) ในการรับมือกับการข่มขู่ บีบคั้น บีบบังคับของ “ทรัมป์บ้า” หรือโดยอาศัยศิลปะการต่อสู้ป้องกันตัวแบบ “อ่อนสยบแข็ง” ของมวยไทเก๊กนั่นเอง ในการทำให้เรื่องการซื้อ-ขายน้ำมันรัสเซียของอินเดีย ยังเป็นอะไรที่คลุมๆ เครือๆ(ambiguity) ไปโดยตลอดเพราะปริมาณน้ำมันที่อินเดียนำเข้าจากรัสเซียจำนวนถึง 34 เปอร์เซ็นต์ในปีนี้ กว่า 60 เปอร์เซ็นต์คือน้ำมันที่มาจากบริษัท “Rosneft” และ “Lukoil” เขานั่นแหละ อีกทั้งบริษัทโรงกลั่นน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของอินเดีย คือบริษัท“Nayara Energy” เอาไป-เอามาแล้ว...คือบริษัทที่ “Rosneft”ของรัสเซียถือหุ้นอยู่ถึง 49.31 เปอร์เซ็นต์เอาเลยถึงขั้นนั้น นั่นยังไม่รวมถึง “ความร่วมมือ” ด้านต่างๆระหว่างอินเดีย-รัสเซีย ไม่ว่าด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ไปจนถึงรถไฟความเร็วสูง ฯลฯ ที่พัวพัน นัวเนีย ชนิดยากจะ “ตัดขาด” กันและกันได้ง่ายๆ... 

นอกเหนือไปจากนั้น...ความคิดที่จะห้ามใครต่อใครซื้อ-ขายน้ำมันกับรัสเซียนั้น ออกจะเป็นอะไรที่สวนทาง ขัดแย้งกับความจริง ข้อเท็จจริง อย่างมิอาจที่จะปฏิเสธ เพราะแม้ว่าโลกทั้งโลกจะหาอะไรมาทดแทนน้ำมันจากรัสเซียได้บ้างก็ตาม แต่การที่ปริมาณน้ำมันวันละนับล้านๆบาร์เรลขาดหายไปจาก “ตลาด”ย่อมต้องก่อให้เกิดความปั่นป่วน ชุลมุน วุ่นวาย ความขาดแคลนชนิดสามารถส่งผลให้ “ราคาน้ำมัน” พุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา หรือทะลุอวกาศเอาเลยก็ว่าได้ อันจะนำมาซึ่ง “วิกฤตเศรษฐกิจ” แผ่ซ่านไปในระดับโลก ไม่เว้นแม้แต่อเมริกา หรือพันธมิตรพรมเช็ดเท้าในยุโรปที่ต้องอาศัยอินเดียหรือตุรกี เป็นตัวกลางในการซื้อ-ขายพลังงานจากรัสเซีย... 

หรือเท่ากับว่า...ความพยายามดำรงรักษาความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกของอเมริกา ก็คือความพยายามยัดเยียด “วิกฤตเศรษฐกิจ” ให้กับโลกทั้งโลก ที่ต่างต้องอาศัยสินค้าชนิดนี้เป็นตัวรองรับเศรษฐกิจขั้นพื้นฐาน ไม่ว่าในแง่การผลิต การขนส่ง และการอะไรต่อมิอะไรต่างๆ นานา ฯลฯ จนแม้แต่ผู้อำนวยการบริหาร “IMF” อย่างคุณ “Kristalina Georgieva”ยังต้องรีบออกมา “เตือน” ออกมาขอร้องวิงวอนบรรดาประเทศต่างๆ ว่าอย่าคิดจะ “เอาอย่าง” หรือลอกเลียนแบบ “ทรัมป์บ้า”ในการใช้ “อัตราภาษี” เป็นเครื่องมือ หรือเป็นอาวุธโดยเด็ดขาด หรือ...“ได้โปรดเถิด...อย่าทำเช่นนั้นเลย เพราะสงครามการค้ามันไม่ได้ช่วยให้สุขภาพทางเศรษฐกิจดีขึ้นเอาเลยแม้แต่น้อย” นี่...ฟังแล้วน่าเวทนา น่าสงสาร เป็นอันมาก... 

แต่ก็นั่นแหละ...ความพยายามที่จะอาศัย “พลังอำนาจแห่งความเป็นจ้าวโลก” กดดันมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซีย ให้ต้องกลายสภาพเป็น “เสือกระดาษ” ให้ขาดแคลนรายได้ จนระบบเศรษฐกิจอาจพังพินาศ หรือจนเกิดการลุกฮือเปลี่ยนแปลงระบบการปกครอง ดังที่บรรดาพันธมิตรพรมเช็ดเท้าอเมริกาในยุโรปปรารถนาและต้องการ ก็กลับยิ่งจะกลายเป็น “แรงกระตุ้น” ให้เกิดการตอบโต้ไปตาม “ศักยภาพ” ที่ประเทศนี้ยังคงมีเหลืออยู่ในมือ การทดสอบอาวุธ “ICBM” หรือจรวดนิวเคลียร์ข้ามทวีปของรัสเซียเมื่อวัน-สองวันมานี้ จึงไม่ใช่แค่ขีปนาวุธ “ICBM”ธรรมดาๆ แต่เป็นขีปนาวุธรุ่นใหม่ล่าสุดที่น่ากลัว น่าขนลุกขนพอง ยิ่งไปกว่าขีปนาวุธไฮเปอร์โซนิก อย่าง “Oreshnik” หรือที่เรียกๆ กันว่า “Burevestnik” (9M730-Burevestnik) เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! 

คือเป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์ที่เชื่อๆ กันว่า...แม้แต่ระบบป้องกันภัยทางอากาศที่อเมริกายุค “ทรัมป์บ้า” คิดจะสร้างให้แล้วเสร็จในอีก 5 ปีข้างหน้าที่เรียกๆ กันว่า “Golden Dome” ก็ยังป้องกันอะไรแทบไม่ได้ เพราะไม่เพียงแต่มีพิสัยทำการระดับ 14,000-22,000 กิโลเมตร หรือระดับ “ไม่มีขีดจำกัด” แถมยังสามารถลอยเท้งเต้งอยู่บนอวกาศในพื้นที่ความขัดแย้ง โดยไม่ต้องเติมเชื้อเพลิงเป็นวันๆ เป็นสัปดาห์ๆ รอรับคำสั่งให้โจมตีเป้าหมาย โดยไม่อาจสกัดกั้นล่วงหน้าขณะเพิ่งคืบคลานออกจากไซโลจนอาจกลายเป็นเป้าหมายของระบบ “Golden Dome”ไปจนได้ หรือเป็นอาวุธที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ได้ให้ข้อสรุปหลังได้ฟังรายละเอียดจากประธานเสนาธิการทหาร“พลเอกValery Gerasimov” ว่าเป็น “อาวุธที่มีความพิเศษสุด...ซึ่งยังไม่มีใครในโลกเคยมีและไม่สามารถลอกเลียนแบบใดๆได้เลย!!!”... 

ด้วยเหตุนี้...การอาศัย “พลังอำนาจแห่งความเป็นจ้าวโลก” กดดันรัสเซีย โดยไม่ได้สนใจความจริง ข้อเท็จจริง หรือไม่ได้เข้าใจต่อความเป็นไปของโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างมิอาจหวนกลับคืนไปเป็นเช่นเดิมๆ ได้อีก จนอาจถึงจุดที่ทำให้ประเทศนี้หนีไม่พ้นต้องงัดเอาศักยภาพสุดท้ายที่ตัวเองมีอยู่ในมือออกมาใช้ ก็คือการก้าวไปสู่ “สงคราม” และอาจเป็นสงครามทำลายล้างระดับ “สงครามนิวเคลียร์” เอาเลยก็เป็นได้!!! ไม่ใช่ความปรารถนาและต้องการสิ่งที่เรียกว่า “สันติภาพ” ใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย...


กำลังโหลดความคิดเห็น