xs
xsm
sm
md
lg

อันตรายของการเมืองแบบ“ติ่ง”

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ในสังคมไทย เรามักเห็นปรากฏการณ์ที่ผู้คนยกย่อง “คนดี” เหนือสิ่งอื่นใด เหนือระบบ เหนือกฎหมาย และเหนือกลไกประชาธิปไตยทั้งปวง การเมืองแบบนี้เรียกว่า “การเมืองแบบบุคคลนิยม” และในภาษาทางการเมืองร่วมสมัย เราเรียกกันติดปากว่า “ติ่ง” การเมืองที่ศรัทธาในตัวบุคคลมากกว่าศรัทธาในหลักการ 

เมื่อ “ติ่ง” กลายเป็นส่วนสำคัญของการเมือง ปรากฏการณ์อันตรายก็ตามมา เพราะมันเปลี่ยนประชาธิปไตยจากระบบที่ตั้งอยู่บนเหตุผล ให้กลายเป็นศรัทธาที่ตั้งอยู่บนความรู้สึก เราเริ่มเห็นว่าการวิจารณ์กลายเป็นการโจมตี การตรวจสอบกลายเป็นการทรยศ และการไม่สรรเสริญกลายเป็นความผิดบาป 

ผลเสียอย่างแรกคือ การตรวจสอบอำนาจกลายเป็นเรื่องส่วนตัว เพราะเมื่อประชาชนรักผู้นำมากกว่ารักประเทศ การตั้งคำถามต่ออำนาจจะถูกมองว่า “ทำร้ายคนดี” ไม่ใช่ “ปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม” คนจำนวนมากไม่ถามว่า “นโยบายถูกไหม” แต่ถามว่า “เขาเป็นคนดีหรือเปล่า” ความดีจึงกลายเป็นเกราะคุ้มกันจากการตรวจสอบ และประเทศที่ไม่กล้าวิจารณ์คนดี ก็จะไม่มีวันรู้เลยว่าความดีนั้นยังคงอยู่หรือกลายพันธุ์เป็นอำนาจนิยม 

ผลเสียต่อมาคือระบบอ่อนแอ แต่ผู้นำแข็งแรงเกินไป เมื่อทุกอย่างผูกกับบุคคล ระบบจะพังทันทีที่บุคคลนั้นล้ม ไม่ว่าจะด้วยเหตุแห่งอำนาจหรือชีวิต เพราะสิ่งที่พยุงประเทศไว้ไม่ใช่ “กลไก” แต่คือ “เสาเดียว” ที่ชื่อว่าผู้นำ เมื่อเสานั้นหัก บ้านทั้งหลังก็ถล่ม  

การเมืองแบบติ่งยังทำให้สังคมเปลี่ยนจากการใช้เหตุผลไปสู่การใช้ศรัทธา เหมือนเปลี่ยนการเมืองให้กลายเป็นศาสนา ผู้นำถูกมองเป็นผู้วิเศษ คำพูดกลายเป็นประกาศิต ผู้เห็นต่างกลายเป็นศัตรู การโต้เถียงด้วยเหตุผลถูกแทนที่ด้วยการสาปแช่ง การเมืองจึงกลายเป็นสนามศรัทธา ไม่ใช่สนามแห่งปัญญา และทุกความขัดแย้งจึงรุนแรงเพราะแต่ละฝ่ายเชื่อว่าตน “ปกป้องความดี” 

ในระบอบแบบนี้ การเลือกตั้งไม่ได้เป็นการแข่งขันของนโยบาย แต่เป็นการคัดเลือก “ศาสดา” แทนที่จะคัดเลือก “ผู้บริหารประเทศ” ผู้ที่พูดเพราะ ยิ้มเก่ง หรือมีภาพลักษณ์ขาวสะอาดจะได้รับชัยชนะ แม้ไม่มีระบบคิดหรือแผนบริหารจริงจัง การเมืองจึงเต็มไปด้วยผู้นำที่เก่งการสร้างภาพแต่ขาดความสามารถในการสร้างระบบ และสุดท้ายประชาชนก็ต้องอยู่ในวังวนของความผิดหวัง 

อีกผลเสียที่ร้ายแรงคือ สังคมไม่สามารถเรียนรู้จากความผิดพลาดได้ เพราะ “คนดี” จะไม่มีวันผิดในสายตาของผู้ศรัทธา แม้มีหลักฐาน ก็จะถูกบิดเบือนให้เป็นเรื่องเล็ก ถูกอธิบายว่าเป็นความจำเป็นหรือถูกใส่ร้าย ความคิดแบบนี้ทำให้ประเทศไม่เคยพัฒนา เพราะไม่เคยยอมรับความจริง การปฏิรูปจึงเป็นเพียงคำสวยหรูที่ใช้เฉพาะเวลาผู้นำคนใหม่เข้ามา 

สุดท้าย การเมืองแบบติ่งทำให้เกิดวัฏจักรของความหวังเท็จและการแตกแยกไม่รู้จบ เมื่อผู้นำคนหนึ่งล้ม ก็จะมีอีกคนหนึ่งถูกอุปโลกน์ขึ้นมาแทน พร้อมคำสัญญาเดิมๆ ว่าจะ “ล้างระบบที่เน่า” แต่เมื่อไม่สามารถทำได้จริง ความศรัทธาก็แตกสลาย แล้วประชาชนก็รอ “คนดีคนใหม่” อีกครั้ง ประเทศจึงเดินเป็นวงกลมอยู่กับคำว่า “คนดี” โดยไม่เคยพูดถึง “ระบบดี” อย่างจริงจัง 

ในที่สุด “ติ่ง” จึงไม่ใช่แค่คนที่คลั่งไคล้ผู้นำ แต่คือภาพสะท้อนของสังคมที่ไม่เชื่อในระบบและหลักการ สังคมที่อยากฝากความหวังทั้งหมดไว้กับใครสักคน มากกว่าจะสร้างกลไกที่ทุกคนร่วมกันรับผิดชอบ การเมืองแบบนี้อาจให้ความรู้สึกอบอุ่นเหมือนมีฮีโร่มาช่วยชาติ แต่ในระยะยาว มันคือยาพิษที่กัดกินประชาธิปไตยจากภายใน เพราะประเทศที่ฝากชะตากรรมไว้กับคนดีเพียงคนเดียว ย่อมพังเมื่อคนดีนั้นพลาด 

แนวคิดของนักสังคมวิทยาอย่าง Max Weber ช่วยอธิบายสิ่งนี้ได้ชัดเจน เขาเรียกอำนาจรูปแบบนี้ว่า Charismatic Authority หรือ “อำนาจแบบคาริสม่า” อำนาจที่เกิดจากเสน่ห์และศรัทธาในตัวผู้นำ ไม่ใช่จากกฎหมายหรือระบบ เมื่อผู้คนหลงใหลในคาริสม่า พวกเขาจะมอบความชอบธรรมโดยไม่ตั้งคำถาม และนั่นคือจุดที่ “บุคคล” เริ่มอยู่เหนือ “หลักการ” นักรัฐศาสตร์ร่วมสมัยอย่าง Jan-Werner Müller ในหนังสือ What Is Populism? ก็อธิบายไว้อย่างเฉียบคมว่า ผู้นำแบบประชานิยมมักอ้างตัวเป็นตัวแทน “ประชาชนทั้งหมด” และมองผู้เห็นต่างว่า “ไม่ใช่ประชาชนที่แท้จริง” ซึ่งเป็นกลไกสำคัญของลัทธิบูชาผู้นำที่ค่อยๆ บ่อนทำลายประชาธิปไตย 

ในต่างประเทศ ปรากฏการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีก ตั้งแต่กรณีของ Donald Trump ในสหรัฐอเมริกา ไปจนถึง Viktor Orbán ในฮังการี ที่มีฐานผู้สนับสนุนเหนียวแน่นพร้อมปกป้องผู้นำอย่างไม่ตั้งคำถาม แม้มีข้อครหาทางกฎหมายหรือจริยธรรม ทั้งหมดสะท้อนสิ่งเดียวกันคือ “ศรัทธาที่กลืนเหตุผล” ศรัทธาที่ทำให้คนมองว่าผู้นำคือชาติ และการวิจารณ์ผู้นำคือการทำร้ายชาติ 

กรณีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นภาพสะท้อนของบุคคลนิยมในรูปแบบร่วมสมัยที่สุดของไทย หลังการรัฐประหารปี 2557 เขากลายเป็นศูนย์กลางของการสื่อสารทางการเมืองผ่านรายการ “คืนความสุขให้คนในชาติ” ที่ออกอากาศทุกสัปดาห์ ถ่ายทอดภาพ “ผู้นำผู้เสียสละเพื่อชาติ” มากกว่าผู้นำที่ต้องถูกตรวจสอบตามหลักประชาธิปไตย งานวิจัยไทยหลายชิ้น เช่น กลยุทธ์การสื่อสารทางการเมืองของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และการจัดการภาพลักษณ์ทางการเมืองของรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ต่างยืนยันว่าการสร้างภาพ “คนดีมีคุณธรรม” เป็นยุทธศาสตร์ทางอำนาจที่สำคัญที่สุดของรัฐบาลในช่วงนั้น 

สิ่งที่เด่นชัดยิ่งกว่าคือปฏิกิริยาของกลุ่มผู้สนับสนุนที่พร้อมปกป้องผู้นำอย่างออกหน้า เมื่อใครวิจารณ์ผลงานของ พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การบริหารประเทศ หรือการใช้อำนาจทางการเมือง กลุ่ม “ติ่ง” จะโต้แย้งด้วยเหตุผลเชิงนามธรรม เช่น “ท่านเป็นคนดี” “ท่านตั้งใจจริง” หรือ “ท่านทำเพื่อชาติ” มากกว่าจะตอบด้วยข้อมูลหรือเหตุผลเชิงนโยบาย และเมื่อการวิพากษ์เกิดขึ้นบนพื้นที่ออนไลน์ ก็จะเกิดสิ่งที่คนรุ่นใหม่เรียกว่า “เอาทัวร์ไปลง” การระดมกำลังผู้ศรัทธาให้เข้าไปคอมเมนต์ ปกป้อง หรือโจมตีฝ่ายเห็นต่างพร้อมกันจำนวนมาก เพื่อกดดันให้ผู้วิจารณ์เงียบเสียงหรือลบโพสต์ 

ในบางกรณี ข้อโต้แย้งของกลุ่มผู้สนับสนุนมักไม่แตะประเด็นข้อเท็จจริง แต่จะตอบด้วยความรู้สึก เช่น “ทำไมต้องวิจารณ์ พล.อ.ประยุทธ์ ท่านพ้นตำแหน่งแล้ว ไปเป็นองคมนตรี ไม่เกี่ยวกับการเมือง” ทั้งที่สิ่งที่ถูกวิจารณ์คือผลงานในช่วงที่เขาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และผลกระทบที่ยังคงอยู่ในปัจจุบัน ข้อโต้แย้งเช่นนี้จึงไม่ใช่การถกเถียงด้วยข้อมูล แต่เป็นการปกป้องเชิงศรัทธา ซึ่งทำให้สังคมไทยสูญเสีย “พื้นที่ปลอดภัยของการตั้งคำถาม” ไปโดยปริยาย 

นักรัฐศาสตร์จำนวนมากเตือนว่า ปรากฏการณ์เช่นนี้คือสัญญาณของประชาธิปไตยที่เสื่อมจากภายใน เพราะเมื่อการวิจารณ์ถูกตีความเป็นการลบหลู่บุคคล ผู้นำจะอยู่เหนือระบบกฎหมายโดยปริยาย และเมื่อผู้สนับสนุนยอมรับสิ่งนั้นโดยไม่รู้ตัว ระบบจะค่อยๆ ถูกแทนที่ด้วยวัฒนธรรมแห่งความเงียบ เงียบเพราะเกรงใจ เงียบเพราะกลัวทัวร์ลง และเงียบเพราะเชื่อว่าการเงียบคือการแสดงความจงรักภักดี 

ในแง่นี้ พล.อ.ประยุทธ์จึงเป็นทั้งผลผลิตและภาพสะท้อนของสังคมไทยที่ยังไม่หลุดพ้นจากบุคคลนิยม เขาไม่ได้สร้าง “ติ่ง” ขึ้นมาโดยลำพัง แต่เกิดขึ้นเพราะสังคมที่หล่อเลี้ยงแนวคิดว่า “คนดีจะช่วยชาติได้โดยไม่ต้องมีระบบ” ทั้งที่ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีพอจะอยู่เหนือกติกา และไม่มีระบบใดดีพอถ้าไม่เปิดให้ตรวจสอบ 

ประชาธิปไตยที่แท้จริงไม่ต้องการ “คนดีเหนือระบบ” แต่ต้องการ “ระบบที่ดีพอจะไม่ต้องพึ่งคนดีเพียงคนเดียว” และนี่คือบทเรียนที่สังคมไทยยังไม่ยอมเรียนรู้จนถึงวันนี้ 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น