xs
xsm
sm
md
lg

“ทรัมป์บ้า” กับการถูกกดดันให้ต้อง “บ้าสงคราม”!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


โดนัลด์ ทรัมป์
คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า...ภายใต้ “ระยะผ่าน” หรือท่ามกลางภาวะที่สิ่งเก่ากำลังค่อยๆ กลายสภาพไปเป็นสิ่งใหม่ๆ ความสับสนอลหม่าน อุตลุดชุลมุนฝุ่นฟุ้งกระจัดกระจายเต็มไปด้วยความสลับซับซ้อนซ่อนเงื่อน เพื่อนทรยศ ฯลฯ ย่อมต้องมีวันอุบัติขึ้นมาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้ จนยากที่จะแยกแยะว่าใครหมู่-ใครจ่า ใครเป็นใคร ไผเป็นไผ หรือกระทั่งใครคือมิตร-ใครคือศัตรู??? ไม่ต่างไปจากฉากสถานการณ์ความเป็นไปของโลกทุกวันนี้ ที่มีแต่ต้องตั้งมั่นอยู่ใน “สติ” เอาไว้ให้จงหนัก!!!

เพราะแม้แต่ฉากสถานการณ์ใกล้ๆ บ้านเราอย่างเช่นเคลมโบเดีย หรือสแกมโบเดียในทุกวันนี้...การอยู่หรือไปของ “พ่อ-ลูกตระกูลฮวย” อย่าง “ฮวยเซ็ง” และ “ฮวย มาเนต” ก็ใช่ว่าจะก่อให้เกิดผลบวกผลดี ต่อประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาแต่เพียงล้วนๆ ก็หาไม่ โดยเฉพาะถ้าผู้ที่จะผงาดขึ้นมาแทนที่พ่อ-ลูกตระกูลฮวย เกิดเป็นหัวหน้าพรรคฝ่ายค้านหรือฝ่ายแค้น อย่างคุณพี่ “สม รังสี” ที่ได้ป่าวประกาศเอาไว้แล้วล่วงหน้าว่า เพื่อเอกราชและความเป็นกลาง ยังไงๆ...คงต้องหาทาง “ปิดฐานทัพเรือจีน”ที่เมืองเรียมให้จงได้!!! อันอาจส่งผลให้คุณพี่จีนท่านย่อมหนีไม่พ้นที่จะต้องหันไป “กำไพ่”สองพ่อ-ลูกตระกูลฮวยเอาไว้ในมือ อย่างมิอาจยอม “ทิ้งโง่” ได้ง่ายๆ ยิ่งเมื่อได้รับทราบข่าวคราวว่าคุณพ่ออเมริกาท่านกระเหี้ยนกระหือรือเสียเหลือเกิน ในอันที่จะส่งใครต่อใครมาช่วยประเทศไทยปราบ “แก๊งสแกมเมอร์”จนเผลอๆ...อาจเกิดการยกระดับไปสู่การจัดตั้ง “ฐานทัพ” ที่อ่าวพังงา ขึ้นมาตอนไหน? เมื่อไหร่? ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย...

อันนี้นี่แหละ...ที่ทำให้ต้องอาศัย “สติ” ตั้งมั่นเอาไว้ให้จงหนัก ไม่ว่า “ทูตจีน”ประจำประเทศเคลมโบเดียท่านจะพูดอะไรต่อมิอะไรแบบอาจลืม “หูรูด” ไปมั่งในบางครั้ง บางครา หรือไม่ว่า “ทูตอเมริกา” ประจำประเทศไทย ท่านจะพยายามเข้ามาจับเข่า จับหัวหน่าว ตั้งแต่รัฐมนตรีกลาโหม ไปยันถึงนายกรัฐมนตรีก็ตามที เพราะภายใต้สภาวะที่ทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายกัมพูชายังหา “จุดลงตัว” ยังไม่ได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ การถูกสอด ถูกแทรก เพื่อนำมาซึ่ง “ผลประโยชน์”ของบรรดามหาอำนาจ หรือ “ขั้วอำนาจ” ต่างๆ ทั้งหลาย ที่ล้วนแล้วแต่ต่างพยายามช่วงชิงความได้เปรียบ-เสียเปรียบระหว่างกันและกัน ย่อมถือเป็นเรื่อง “ธรรมชาติ” เป็นสิ่งปกติธรรมดาที่มิอาจปฏิเสธได้เลย...

แม้แต่เหนือขึ้นไปเลยจากไทยและกัมพูชาแถวๆ เอเชียใต้ ความขัดแย้งที่ยังหาจุดลงตัวยังไม่ได้ระหว่างอินเดียกับปากีสถาน ยิ่งก่อให้เกิดความสลับซับซ้อนยิ่งขึ้นไปใหญ่ โดยเฉพาะเมื่อเกิด “สงคราม” ช่วงสั้นๆ หรือประมาณ4 วันเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานี่เอง คือแม้ว่ากองทัพปากีสถานจะได้สร้าง “วีรกรรม” อันเป็นที่จดจำไปอีกตราบนานเท่านาน ด้วยการใช้เครื่องบินรบ J-10C”ที่ซื้อจากจีนสอยเครื่องบินรบRafael”ของอินตะระเดียที่ซื้อจากฝรั่งเศสร่วงไปเป็นลำๆ แต่โดย “ศักยภาพ” ของเครื่องบินรบแต่ละชนิดคงไม่ได้ถือเป็นเครื่องชี้วัดตัดสินมากมายสักเท่าไหร่เพราะสิ่งที่ถือเป็น “เหตุปัจจัย” ให้เครื่องบินปากีสถานเล่นงานเครื่องบินอินเดียได้แบบ “อีนี่แขก...แย่แล้วนะนายจ๋า” ว่ากันว่า...น่าจะมาจาก “ระบบปฏิบัติการ”ที่ถูกเรียกว่าKill Chain”ของปากีสถานที่เชื่อมโยงภาคพื้นดิน อากาศและเครื่องส่งสัญญาณในอวกาศ ซึ่งได้รับการสนับสนุนเครื่องมือและอุปกรณ์ต่างๆ จากประเทศจีนนั่นเอง...

ส่วนคุณพี่จีนจะเห็นควรด้วย-ไม่เห็นควรด้วยกับปฏิบัติการทางทหารปากีสถานหรือไม่? เพียงใด? นั่นคงเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่สิ่งที่ทำให้คุณปู่อินตะระเดียสามารถระงับยับยั้งความสูญเสียไม่ให้ลุกลามบานปลายเกินไปกว่านี้ ก็คือการงัดเอาอาวุธร้ายๆ อย่างจรวด Supersonic cruise missile”ที่มีชื่อเรียกขานว่าBrahMos”อันเป็นคำย่อที่มาจากคำว่าBrahmaputra”ของอินเดีย กับคำว่าMoskva River” ของรัสเซีย นำมาผสมกันนั่นเอง หรือเป็นอาวุธที่อินเดียและรัสเซียร่วมมือสร้างโรงงานผลิตขึ้นที่เมือง Lucknow” มูลค่าประมาณ 450 ล้านดอลลาร์ โดยอินเดียถือหุ้น50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนรัสเซียถือหุ้น49.5
เปอร์เซ็นต์ ยิงเข้าไปทำลายฐานปฏิบัติการระบบ Kill Chain” พังพินาศเสียหายไปถึง9 แห่ง โดยที่คุณน้ารัสเซียจะเห็นควรด้วย-ไม่เห็นควรด้วยกับปฏิบัติการทางทหารอินเดียหรือไม่? เพียงใด? นั่นก็เป็น “อีกเรื่องหนึ่ง” เช่นกัน แต่สุดท้าย...ผู้ที่โดดเข้ามาหยิบชิ้นปลามัน ก็คือคุณพ่ออเมริกา “ประธานสมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” ของหมู่เฮาทั้งหลายนั่นเอง ที่ผู้นำอย่าง “ทรัมป์บ้า” อ้างว่าเป็นผู้ยื่นมือเข้ามาสร้างสันติภาพให้กับประเทศทั้งสองได้อย่างสมควรที่จะได้รับรางวัล “โนเบล พีซ ไพรซ์” เอามากๆ...

กระทั่งแถวๆ ตะวันออกกลางช่วงหลังๆ นี้...ยังหนีไม่พ้นต้องขมุกขมัวด้วยฝุ่นที่ฟุ้งกระจายขึ้นมาดื้อๆ โดยเฉพาะเมื่อสมาชิกสภาฉุกเฉิน(The Expediency Council) อิหร่าน อย่าง “นายMohammad Sadr”เกิดอาการ “สติแตก” หันไปตั้งข้อสงสัยว่ารัสเซียอาจแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวกรองเรื่องระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิหร่านกับประเทศคู่กัด-คู่อาฆาตอย่างอิสราเอล จนทำให้เกิดการเจาะทะลวงแนวป้องกันด้านต่างๆ ในช่วง “สงคราม12 วัน” ระหว่างอิหร่าน-อิสราเอล แม้ว่าภายหลังจะถูกกดดันให้ต้อง “ลาออก”ไปจากตำแหน่งแห่งที่ แต่เมื่อวัน-สองวันที่ผ่านมานี้เมื่อผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ได้เปิดเผยระหว่างการประชุม Russia-Central Asia summit” ที่ประเทศทาจิกิสถาน ในวันพฤหัสฯ ที่ 16 ต.ค.ว่าได้รับการติดต่อจากผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ให้เป็น “ตัวกลาง” ในการสร้างสันติภาพระหว่างอิสราเอลและอิหร่าน ก็ยิ่งทำให้ใครต่อใครในอิหร่านอดที่จะ “สติแตก” ตามไปด้วยอย่างช่วยไม่ได้ จนถึงขั้นต้องส่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติคนใหม่ หรืออดีตที่ปรึกษาอาวุโสของอิหม่าม Ali Khamenei” อย่าง “นายAli Larijani” เดินทางไปเยือนรัสเซียเป็นรอบที่สอง...

นี่...อันนี้ต้องเรียกว่าใครเป็นใคร ไผเป็นไผ ใครเป็นหมู่-ใครเป็นจ่า ยิ่งแยกแยะลำบากยิ่งเข้าไปทุกที แถมภายใต้สถานการณ์ที่ฝุ่นเริ่มฟุ้งกระจายยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ซึ่งเคย “ปูพรมแดง”ต้อนรับประธานาธิบดี “ปูติน”ผู้นำรัสเซีย จนบรรดา “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ในยุโรปอดหมั่นไส้ขึ้นมามิได้ กลับได้ตัดสินใจที่จะประกาศการ “แซงก์ชั่นรอบใหม่”ภายใน90 วัน ต่อบริษัทน้ำมัน Rosneft”และ Lukoil”ของรัสเซีย ที่ส่งน้ำมันไปขายทั่วโลกจำนวนถึง5 เปอร์เซ็นต์ของตลาดโลก อันถือเป็นการ “แซงก์ชั่นครั้งแรก” ของ “ทรัมป์บ้า”นับจากขึ้นเป็นประธานาธิบดีสมัยที่ 2 รวมทั้งยังแสดงอาการ “ชักเข้า-ชักออก” ในเรื่องการคิดจะส่งจรวด Tomahawk”ไปให้ยูเครนดี-ไม่ดี ไปจนถึงการตัดสินใจ “เลื่อน”การพบปะกับผู้นำรัสเซียที่กรุงบูดาเปสต์ ประเทศฮังการี เอาดื้อๆ!!! โดยหันไปประกาศกำหนดการพบปะตัวต่อตัวกับผู้นำจีน ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง”ระหว่างการประชุมAPEC”ที่เกาหลีใต้ ในวันพฤหัสฯ ที่30 ต.ค.นี้กันแทนที่???

เจอเข้ากับการ “กลิ้งไป-กลิ้งมา” ของ “ทรัมป์บ้า”ในลูกนี้...แม้จะไม่ถึงกับทำให้ “สติแตก” แต่ก็น่าจะทำให้ใครต่อใครในรัสเซีย “อึ้งกิมกี่” กันไปมิใช่น้อย เพราะแม้ผู้นำรัสเซียยังคงเชื่อว่าการแซงก์ชั่นครั้งใหม่ของอเมริกาจะไม่ก่อให้เกิดความกระทบกระเทือนต่อรัสเซียมากมายสักเท่าไหร่ แต่ข่าวคราวเรื่องแนวโน้มที่โรงกลั่นน้ำมันอินเดียกำลังคิดจะลดการสั่งซื้อน้ำมันจากบริษัท Rosneft”และ Lukoil”เพราะกลัวการแซงก์ชั่นขั้นที่ 2 (secondary sanction) ที่สำนักข่าวReuters”และ Blomberg” นำมารายงานด้วยการอ้างแหล่งข่าวจากอินเดียโดยตรง ก็ยังเป็นอะไรที่คงต้องฟังหู-ไว้หู ไม่อาจปิดหูทั้งสองข้างได้ง่ายๆ หรือทำให้อดีตประธานาธิบดีรัสเซียและรองเลขาสภาความมั่นคงแห่งชาติคนปัจจุบัน อย่าง “นายDmitry Medvedev” อดไม่ได้ที่จะต้องออกมา “โพสต์” ไว้ในโซเชียล มีเดีย เมื่อช่วงวันพฤหัสฯ ที่ผ่านมา(23 ต.ค.) ว่าน่าจะด้วย “แรงกดดัน” จากทั้งการเมืองภายในและภายนอกทำให้ผู้นำอเมริกาพยายามแสดงความเคลื่อนไหวใหม่ๆ
ไม่ว่าการแซงก์ชั่นรัสเซีย เลื่อนพบปะผู้นำรัสเซีย การคิดไป-คิดมาถึงการส่งจรวด Tomahawk” ให้ยูเครน ฯลฯ อันถือเป็น...“การแสดงท่าทีที่เน้นหนักไปสู่หนทางสงครามกับรัสเซียและหวนกลับไปเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นกับชาติยุโรปที่กำลังบ้าคลั่ง!!!”

ส่วนประเภท “พูดน้อยต่อยหนัก” อย่างประธานาธิบดี “ปูติน”นอกจากจะแสดงความไม่ยี่หระถึงการแซงก์ชั่นรอบใหม่ของ “ทรัมป์บ้า” ที่จะทำให้ราคาน้ำมันในตลาดโลกพุ่งทะลุเพดาน ทะลุหลังคา จนอเมริกาเองพลอยต้องซวยไปด้วยยังได้แถมท้ายเอาไว้ด้วยว่า “แน่นอนว่า...นี่คือความพยายามที่จะกดดันรัสเซีย แต่คงไม่มีประเทศใดที่เคารพตนเองและประชาชนที่เคารพตนเองจะตัดสินใจทำตามแรงกดดันเช่นนี้” ส่วนการคิดจะส่งจรวด Tomahawk” ให้กับยูเครนนั้น ผู้นำรัสเซียรายนี้สรุปไว้สั้นๆ ง่ายๆ ประมาณว่าแล้วแต่จะคิดๆ กันไปตามสบาย แต่ตราบใดที่จรวดชนิดนี้ถูกยิงลึกเข้ามาในดินแดนรัสเซีย... “การตอบโต้ของเราจะเป็นไปในแบบรุนแรงเอามากๆ อาจถึงขั้นท่วมท้นเอาเลยก็ว่าได้!!!”....

จากนั้น...ช่วงวันพุธที่ผ่านมา (22 ต.ค.) กระทรวงกลาโหมรัสเซียได้เผยแพร่ภาพการทดสอบการยิงจรวดข้ามทวีป (Intercontinental Ballistic Missile-ICBM) ทั้งในแบบ Yars ICBM” หรือการยิงภาคพื้นดินจากเมือง Plesetsk” ภาคเหนือของรัสเซียไปยังคาบสมุทร Kamchatka” ด้านตะวันออกไกล และแบบ Sineva ICBM”หรือการยิงจากเรือดำน้ำ Bryansk”ในทะเลBarents” อันนี้...ต้องเรียกว่าเล่นเอาใครต่อใคร “หนาวยะเยือกก์ก์” ชนิดอาจถึงขั้นสติ-สตังไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเอาง่ายๆ ดังนั้น...ภายใต้ฉากสถานการณ์เช่นนี้ ยังไงๆ คงต้องพยายามประคับประคอง “สติ” เอาไว้ให้มั่นคง แข็งแรง ให้มากๆ เข้าไว้นั่นแหละเป็นดี...


กำลังโหลดความคิดเห็น