xs
xsm
sm
md
lg

เมื่อโลกจะถูกคนแก่ครอบครอง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



คนส่วนใหญ่บอกว่า อนาคตเป็นของคนหนุ่มสาว แต่ในความเป็นจริงแล้วอนาคตกำลังเป็นของคนวัยชราที่เป็นพลเมืองส่วนมากของสังคมไทยและสังคมโลก ทั้งเหตุผลเพราะคนรุ่นปัจจุบันไม่ค่อยอยากมีลูกหรือมีลูกน้อย หรือวิทยาศาสตร์ทางการแพทย์ทำให้คนอายุยืนขึ้นก็ตาม 

ประเทศไทยเป็นประเทศกำลังพัฒนาประเทศแรกของโลกที่ก้าวเข้าสู่สังคมสูงอายุแบบสมบูรณ์ (Aged Society) อย่างเป็นทางการในปี พ.ศ.2565 และจะขยับขึ้นเป็นสังคมสูงอายุแบบสุดยอด (Hyper Aged Society) ซึ่งมีสัดส่วนประชากรที่อายุมากกว่า 65 ปีถึงร้อยละ 20 หรือมีประชากรอายุมากกว่า 60 ปีกว่าร้อยละ 30 ภายในปี พ.ศ. 2584 

ตัวผมเองก็ก้าวขึ้นเป็นส่วนหนึ่งในนั้น แม้รู้สึกว่าตัวเองยังมีไฟอยู่ แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราผ่านวันเวลามามาก ไม่ใช่แค่ในทางอายุ แต่ในทางความจริงของชีวิตที่เริ่มเห็นชัดขึ้นทุกวัน เห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันทยอยกันเกษียณ เห็นรุ่นลูกหลานเริ่มมีจำนวนน้อยลงในหมู่บ้าน เห็นว่าประเทศไทยกำลังเดินเข้าสู่ยุคที่ “คนแก่มีมากกว่าคนหนุ่ม” และ “คนเกิดใหม่น้อยกว่าคนที่ลาจากไป” นี่คือการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างประชากรที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ 

วันนี้คนไทยอายุเกินหกสิบปีมีมากกว่าสิบสามล้านคน หรือเกือบหนึ่งในห้าหรือร้อยละ 20 ของประชากรทั้งหมด ดังนั้น อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นว่า ประเทศของเราได้เข้าสู่ “สังคมสูงวัยอย่างสมบูรณ์” ที่ผู้สูงอายุเกินยี่สิบเปอร์เซ็นต์ของประชากรประเทศ ความหมายของตัวเลขนี้ไม่ใช่แค่เรื่องสุขภาพหรือบำนาญ แต่คือการเปลี่ยนทั้งระบบเศรษฐกิจ การทำงาน และชีวิตครอบครัวของทุกคน 

สิ่งที่เกิดขึ้นกับไทย ไม่ได้เกิดขึ้นลำพัง เพราะทั้งโลกกำลังแก่พร้อมกัน ญี่ปุ่นคือประเทศที่แก่ที่สุดในโลก ผู้สูงอายุเกือบสามสิบเปอร์เซ็นต์ของประชากร เกาหลีใต้กำลังจะตามทันในอีกไม่กี่ปี ขณะที่จีนกำลังเผชิญผลจากนโยบายลูกคนเดียว เด็กเกิดใหม่ลดลงต่ำสุดในรอบร้อยปี ส่วนยุโรปทั้งอิตาลี เยอรมนี โปรตุเกส หรือฟินแลนด์ ก็ต้องเผชิญกับงบบำนาญที่พุ่งสูงและแรงงานที่หดตัวลง ขณะที่อีกซีกโลกหนึ่ง แอฟริกาและบางประเทศในเอเชียใต้ยังหนุ่มแน่นเพราะอัตราเกิดสูง บางประเทศหญิงหนึ่งคนมีลูกเฉลี่ยสี่คน โลกจึงถูกแบ่งออกเป็นสองขั้ว ฝั่งหนึ่งแก่เกินไป แต่อีกฝั่งหนุ่มแต่ยากจน และทั้งสองขั้วต่างมีปัญหาของตัวเอง 

ประเทศที่แก่ก่อนเราหาทางออกกันคนละแบบ ญี่ปุ่นสร้างระบบประกันดูแลระยะยาว (LTC Insurance) ให้ผู้สูงอายุได้รับการดูแลถึงบ้านโดยรัฐและท้องถิ่นร่วมรับผิดชอบ เกาหลีใต้รวมระบบประกันสุขภาพกับการดูแลผู้สูงอายุไว้ในระบบเดียวกัน พร้อมทั้งขยายอายุเกษียณและจ่ายเงินอุดหนุนครอบครัวที่มีลูก สิงคโปร์ให้เงินอุดหนุนนายจ้างที่จ้างผู้สูงอายุ และเปิดหลักสูตร “Senior Academy” ให้คนวัยเกษียณเรียนรู้ทักษะใหม่ ฝรั่งเศสให้สวัสดิการครอบครัวครบวงจร ตั้งแต่เงินเลี้ยงดูเด็กไปจนถึงโรงเรียนอนุบาลฟรีทั่วประเทศ ส่วนไต้หวันเน้นให้ผู้สูงอายุอยู่บ้านกับครอบครัวได้ โดยสร้างศูนย์ดูแลชุมชนและปรับสภาพที่อยู่อาศัยให้ปลอดภัยสำหรับวัยสูงอายุ 

แต่สิ่งที่ทุกประเทศเรียนรู้เหมือนกันคือ ปัญหานี้ไม่มีสูตรสำเร็จ เพราะมันไม่ใช่เรื่องของคนแก่เท่านั้น แต่เป็นเรื่องของคนทุกวัยที่เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ตั้งแต่เด็กที่เกิดน้อย คนหนุ่มที่ไม่อยากแต่งงาน ไปจนถึงผู้สูงอายุที่ต้องการคุณภาพชีวิตมากกว่าคำว่าช่วยเหลือ 

ประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของทั้งหมดนี้ เราแก่เร็วกว่าใครในอาเซียน แต่ยังไม่รวยพอจะรับมือ เราไม่มีบำนาญถ้วนหน้าเหมือนญี่ปุ่น ไม่มีสวัสดิการครอบครัวแบบฝรั่งเศส และยังไม่มีเทคโนโลยีขั้นสูงแบบเกาหลี แต่เรามีสิ่งที่คนอื่นเริ่มสูญเสียไป คือ “พลังของครอบครัวและชุมชน” ประเทศไทยยังมีหมู่บ้านที่รู้จักกันหมด ยังมีลูกหลานที่กลับมาดูแลพ่อแม่ ยังมีเครือญาติที่ยังเอื้อกันในยามเจ็บป่วย นี่คือทุนทางสังคมที่สำคัญที่สุด 

แต่ขณะเดียวกันคนรุ่นทำงานซึ่งเป็นแกนกลางของประเทศ Gen X และ Gen Y กำลังลังเลกับการสร้างครอบครัว รุ่นนี้คือแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทย แต่กลับมีแนวโน้มแต่งงานช้าหรือไม่แต่งเลย หลายคนไม่อยากมีลูก หรืออยากมีเพียงคนเดียว เหตุผลหลักไม่ใช่เพราะไม่อยากรักใคร แต่เพราะต้นทุนชีวิตสูงเกินไป งานไม่มั่นคง ค่าครองชีพสูง ที่อยู่อาศัยแพง หนี้สินรุงรัง และสวัสดิการรัฐไม่เอื้อ งานสำรวจของนิด้าพบว่าคนรุ่นนี้อยากมีลูกก็ต่อเมื่อมีความมั่นคงทางการเงิน และรัฐมีระบบช่วยดูแลเด็ก เช่น เรียนฟรีหรือมีเงินอุดหนุนเลี้ยงดูถึงอายุ 15 ปี หลายคนบอกตรงๆ ว่า “อยากมีลูก แต่ยังไม่พร้อมจะจนเพราะลูก” 

นี่คือทัศนคติของคนรุ่นทำงานในยุคใหม่ ที่ไม่ได้ปฏิเสธความรักหรือครอบครัว เพียงแต่ต้องการเงื่อนไขชีวิตที่มั่นคงก่อนจะเริ่มต้น คนรุ่นนี้ให้คุณค่ากับเวลาและอิสระมากขึ้น มองการแต่งงานเป็นทางเลือก ไม่ใช่หน้าที่ และมองการมีลูกเป็นภาระใหญ่ที่ต้องคิดให้รอบด้าน ถ้าไม่มีระบบรองรับที่ดีพอ พวกเขาก็เลือกอยู่คนเดียวหรืออยู่กับคู่โดยไม่ต้องมีลูก ซึ่งเป็นภาพเดียวกับที่เกิดในประเทศพัฒนาแล้ว 

เมื่อทุกอย่างมาบรรจบกัน ไทยจึงต้องเลือกทางรอดของตัวเอง ทางรอดนั้นไม่ใช่การลอกแบบต่างประเทศ แต่คือการสร้างระบบดูแลระยะยาวในระดับชุมชน ใช้โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและองค์การบริหารส่วนตำบลเป็นฐานในการดูแลผู้สูงอายุถึงบ้าน สนับสนุนให้ผู้สูงวัยทำงานต่อโดยสมัครใจ และให้สิทธิภาษีแก่นายจ้างที่จ้างคนสูงวัย สร้างเมืองที่เดินได้ มีขนส่งสาธารณะที่เข้าถึงง่าย ลงทุนในเทคโนโลยีเพื่อดูแลผู้สูงอายุ เช่น ระบบเตือนยา หุ่นยนต์ช่วยเดิน หรือบริการตรวจสุขภาพออนไลน์ และในเวลาเดียวกันต้องสร้างนโยบายครอบครัวที่ชัดเจน ให้เงินอุดหนุนเด็ก ขยายสิทธิลาคลอด และจัดสถานเลี้ยงเด็กในที่ทำงาน เพื่อให้คนรุ่นใหม่ไม่ต้องเลือกระหว่าง “งานกับลูก” 

มีการเน้นหนักในเอกสารของ WHO ว่าไทยต้องเตรียมทั้ง “สุขภาพดีในผู้สูงอายุ” (healthy ageing) และ “อยู่บ้านได้”(ageing in place) รวมทั้งโครงสร้างพื้นฐานในชุมนุมเพื่อรองรับผู้สูงอายุ 

องค์การสหประชาชาติคาดว่า ภายในปี 2050 ประชากรโลกกว่าหนึ่งในห้าจะมีอายุมากกว่าหกสิบปี และในเกือบทุกภูมิภาคยกเว้นแอฟริกา การเกิดใหม่จะต่ำกว่าระดับทดแทน หมายความว่าแทบไม่มีประเทศไหนหลุดพ้นจากการเป็นสังคมสูงวัยได้ โลกทั้งใบจะกลายเป็น “โลกของคนแก่” คำถามไม่ใช่ว่าจะหลีกเลี่ยงได้ไหม แต่คือเราจะอยู่กับมันอย่างไร 

สำหรับผม ความแก่ไม่ใช่สิ่งน่ากลัวเท่ากับสังคมที่ไม่พร้อมจะอยู่กับมัน ถ้าเรายังมองผู้สูงอายุเป็นภาระ เราจะสูญเสียภูมิปัญญาและพลังของคนที่สร้างประเทศนี้มา แต่ถ้าเราสร้างระบบที่ให้ผู้สูงอายุยังมีบทบาท และให้คนหนุ่มสาวมั่นใจว่าการมีลูกไม่ใช่ภาระเกินไป ประเทศไทยก็จะไม่ “แก่ก่อนรวย” อย่างที่ใครว่ากัน แต่จะ “สูงวัยด้วยศักดิ์ศรี และมั่งคั่งด้วยคุณค่าของชีวิต” 

สังคมที่ดีไม่ใช่สังคมที่ไม่มีคนแก่ แต่คือสังคมที่คนแก่ยังมีคุณค่า และคนหนุ่มยังอยากเติบโตอยู่ในประเทศเดียวกัน 

ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น