xs
xsm
sm
md
lg

ความล่มสลายของธุรกิจเพื่อไทย เมื่อการเมืองคือการสืบสายเลือด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

หลังปี 2566 การเมืองไทยกำลังเปลี่ยนผ่านอย่างเงียบแต่รุนแรง ขั้วอำนาจเก่าที่เคยเป็นศูนย์กลางของประเทศกำลังล่มสลายทีละชั้น ทั้งในพรรคที่เกิดจากอำนาจรัฐและในพรรคที่เกิดจากทุนการเมืองส่วนตัว หากยุคของ “สองพี่น้องบ้านป่ารอยต่อ” ได้จบสิ้นลงแล้วในฝั่งขวา อีกฟากหนึ่งคือ “จักรวรรดิของตระกูลชินวัตร” ก็กำลังเดินเข้าสู่จุดตกต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ของมันเอง

พรรคเพื่อไทยในวันนี้ไม่ต่างอะไรกับ“บริษัทครอบครัว” ที่ถูกส่งต่อจากพ่อสู่ลูก เมื่อทักษิณ ชินวัตร กลับมามีบทบาทเต็มตัวอีกครั้งหลังหลบหนีคดีมานานกว่า 17 ปี เขาไม่ได้กลับมาเพื่อปรับโครงสร้างพรรคให้เข้ากับโลกการเมืองยุคใหม่ แต่กลับมาพร้อมกับความตั้งใจจะผ่องถ่ายมรดกทางอำนาจให้กับลูกสาวอย่างแพทองธาร โดยเชื่อว่าพรรคนี้คือ “ทรัพย์สิน” ของครอบครัวที่สามารถส่งต่อได้เหมือนกิจการส่วนตัว และในความคิดนั้นเองคือจุดเริ่มต้นของการเสื่อมสลาย

ในโลกธุรกิจ เราเห็นตัวอย่างแบบเดียวกันมานับไม่ถ้วน เมื่อเจ้าของรุ่นพ่อที่สร้างบริษัทขึ้นมาด้วยมือของตน พอถึงวันส่งไม้ต่อกลับไม่สามารถปล่อยมือได้จริง เขายังคงแทรกแซงทุกการตัดสินใจ คอยสั่งผ่านคนสนิท และกำหนดอนาคตของบริษัทจากหลังฉาก ผลคือเกิดความสับสนระหว่าง“ผู้ถือหุ้น” กับ “ผู้บริหาร” คนรุ่นลูกที่ขึ้นมานั่งแท่นจึงกลายเป็นเพียงหุ่นเชิดทางอำนาจ ขณะที่คนรุ่นพ่อถ้าไม่ยอมถอยออกจากภาพรวมก็ไม่มีที่ยืน

พรรคเพื่อไทยอยู่ในภาวะเช่นนั้นแทบทุกกระเบียดนิ้ว ทักษิณในวันนี้ไม่ต่างจากเจ้าของกิจการที่ยังคงนั่งอยู่ในบอร์ดเงา ใช้อิทธิพลสั่งการผ่านกลุ่มคนสนิท และคอยกำหนดทิศทางทุกอย่างผ่าน “คนของครอบครัว” การแต่งตั้งแพทองธารให้เป็นหัวหน้าพรรค ทั้งที่ยังไม่มีประสบการณ์ทางการเมือง ไม่ใช่เรื่องของนโยบายหรือคุณสมบัติ แต่เป็นเรื่องของสายเลือดและความไว้ใจส่วนตัวมากกว่าความสามารถจริง เหมือนลูกเจ้าของบริษัทที่ถูกแต่งตั้งเป็น CEO เพียงเพราะนามสกุลตรงกับเจ้าของเดิม

การยกเครือญาติเข้ามามีอำนาจในพรรคไม่ใช่เรื่องใหม่ อย่างน้อยก็ในพรรคเพื่อไทย หลายคนในครอบครัวชินวัตรหรือใกล้ชิด เช่น แพทองธาร ถูกวางตัวขึ้นสู่ตำแหน่งสำคัญโดยไม่ผ่านสนามการเมืองจริง คนที่ไม่ใช่เครือญาติ แม้จะทำงานเหนื่อยมาตลอด มักไม่มีโอกาสก้าวขึ้นสู่เก้าอี้รัฐมนตรีหรือผู้บริหารพรรค ไม่มีทางไปไกลกว่าเพียงส.ส. หรือคณะทำงานของรัฐมนตรี

และในทางกลับกัน มีคนจำนวนไม่น้อยที่ “ถวายตัวรับใช้” ทักษิณจนต้องจบชีวิตทางการเมืองหรือรับโทษจำคุกแทน ไม่ว่าจะเป็น สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ศาลฎีกาตัดสินจำคุก 2 ปีในคดีคืนหนังสือเดินทางให้ทักษิณ, วัฒนา เมืองสุข ที่ถูกจำคุก 50 ปีในคดีบ้านเอื้ออาทร, ภูมิ สาระผล และ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ติดคุกจากคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าว รวมถึง นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี อดีตรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีคลังในรัฐบาลทักษิณ ที่ศาลฎีกาพิพากษาจำคุก 1 ปีในคดีแก้สัญญาสัมปทานดาวเทียมเอื้อประโยชน์แก่เครือชินคอร์ป เบญจา หลุยเจริญ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลังที่ช่วยลูกๆของทักษิณเลี่ยงภาษี ถูกศาลพิพากษาจำคุก 2 ปี นี่คือรายชื่อของ “คนทำงานที่ภักดีจนหมดตัว”

แม้แต่แกนนำเสื้อแดงที่เคยเป็นแนวร่วมทางการเมืองในยุครุ่งเรืองของทักษิณ ก็ถูกปล่อยให้ยืนโดดเดี่ยว เมื่อไม่นานมานี้ ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาจำคุก วีระกานต์ มุสิกพงศ์, จตุพร พรหมพันธุ์, ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ, หมอเหวง โตจิราการ และอดิศร เพียงเกษ คนละ 4 ปี 4 เดือน ไม่รอลงอาญา ในคดีการชุมนุม นปช. ปี 2552 ซึ่งเป็นช่วงที่พวกเขาต่อสู้เพื่อปกป้องรัฐบาลในเครือชินวัตรอย่างสุดตัว การเสียสละของคนเหล่านี้ถูกกลืนหายไปกับความเงียบ ไม่มีใครในครอบครัวการเมืองออกมาเอ่ยถึงอย่างเป็นรูปธรรม ทั้งที่วันหนึ่งพวกเขาคือกำแพงเลือดที่ปกป้องระบอบชินวัตรจากแรงกระแทกทางอำนาจ

เมื่อภาพเช่นนี้ขยายออกไป ความศรัทธาภายในพรรคจึงเริ่มสั่นคลอน คนที่เคยร่วมสร้างพรรคในยุคแรก ๆ เช่น นพดล ปัทมะ, พินิจ จันทรสุรินทร์, ชูวิทย์ พรพิทักษ์พัลลภ ฯลฯ ต่างทยอยออกจากพรรคหรือเว้นระยะห่าง หลายคนที่ยังอยู่ก็เพียงรอให้ครบวาระก่อนจะย้ายไปสังกัดใหม่ กลุ่มบ้านใหญ่หลายจังหวัดในอีสานและภาคเหนือก็เริ่มเทน้ำหนักไปที่พรรคภูมิใจไทย เพราะเห็นว่าพรรคเพื่อไทยกลายเป็นพื้นที่ที่ไม่มีอนาคตสำหรับคนที่ไม่ใช่เครือญาติของเจ้าของ

ในมุมของคนทำงานในพรรค ความเป็นจริงนี้สร้างความอึดอัดอย่างหนัก คนที่ร่วมสร้างพรรคมาตั้งแต่ยุคไทยรักไทย คนที่เคยเสี่ยงตาย ถูกยุบพรรค ถูกตัดสิทธิ์ ถูกคดีการเมือง ต่างรู้ดีว่าพวกเขาไม่มีทางได้เติบโตอีกต่อไป เพราะทุกเก้าอี้สำคัญถูกจองไว้ให้ “คนของบ้าน” ทั้งหมด ใครไม่ใช่สายตรงจากครอบครัวหรือกลุ่มที่พ่อวางไว้ หรือคนของลูก ไม่มีวันได้ขึ้นเป็นรัฐมนตรีหรือผู้บริหารพรรค ความจงรักภักดีต่อพรรคจึงค่อย ๆ แปรเปลี่ยนเป็นความเหนื่อยหน่ายทางใจ

สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เหมือนกับในโลกธุรกิจที่เราเคยเห็นในกรณีของ Ford Motor Companyเมื่อ เฮนรี่ ฟอร์ด แต่งตั้งลูกชายขึ้นมาเป็นผู้บริหาร ทั้งที่ยังไม่ผ่านสนามจริง บริษัทเริ่มเข้าสู่วิกฤติทันที เพราะคนเก่าที่ร่วมสร้างกิจการรู้สึกว่าตัวเองไม่มีที่ยืน ขณะที่ลูกชายก็ยังไม่มีประสบการณ์พอจะบริหารองค์กรขนาดใหญ่ได้ ผลคือเกิดการลาออกของผู้บริหารรุ่นเก่าเป็นจำนวนมาก และฟอร์ดต้องใช้เวลาหลายสิบปีกว่าจะกลับมามีเสถียรภาพ

หรืออย่างกรณีของ Walmart หลังการตายของ แซม วอลตัน ผู้ก่อตั้ง บริษัทถูกส่งต่อให้ลูกหลานที่ไม่ได้เติบโตจากสนามจริง แต่บริหารจากข้อมูลและตัวเลขแทนประสบการณ์ ความสัมพันธ์ระหว่างผู้นำกับพนักงานที่เคยแน่นแฟ้นถูกแทนที่ด้วยระบบ KPI และบอร์ดกำกับมืออาชีพ คนรุ่นเก่าที่ร่วมสร้าง Walmart ต้องออกจากระบบอย่างเจ็บปวด เพราะบริษัทไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยหัวใจอีกต่อไป

พรรคเพื่อไทยในวันนี้ก็เช่นกัน เมื่อ “ลูกสาวของผู้ก่อตั้ง” ขึ้นมาเป็นผู้นำทางนาม แต่ “ผู้ก่อตั้งตัวจริง” ยังคงควบคุมทางอำนาจ พรรคจึงตกอยู่ในภาวะคล้ายบริษัทที่มีสองศูนย์อำนาจ คนรุ่นลูกไม่มีอิสระในการบริหาร ขณะที่พ่อไม่ยอมปล่อยมือ ผลลัพธ์คือองค์กรเริ่มเสื่อมศรัทธา และคนทำงานเริ่มหมดแรง เพราะรู้ว่าทุกการตัดสินใจสำคัญไม่ได้เกิดจากระบบพรรค แต่เกิดจากสายตรงของบ้านชินวัตร

ทักษิณอาจเชื่อว่าการส่งไม้ต่อให้แพทองธารคือการรักษาพรรคให้อยู่ในมือที่ไว้ใจได้ แต่ในความเป็นจริง มันกลับกลายเป็นการลดทอนความชอบธรรมของพรรคลงในสายตาของประชาชน เพราะคนเห็นชัดว่าการเมืองแบบครอบครัวไม่ต่างจากระบบศักดินาทางอำนาจ เพียงแต่เปลี่ยนจากนามสกุลของชนชั้นสูงมาเป็นนามสกุลของนายทุน พรรคที่เคยถูกมองว่าเป็นพรรคของประชาชน จึงกลายเป็นพรรคของครอบครัวโดยสมบูรณ์

และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้สมการทางการเมืองของไทยเริ่มเปลี่ยนไป จากเดิมที่เชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งหน้า (ปี 2569) จะเป็นศึก “สามก๊ก” ระหว่างพรรคประชาชน พรรคเพื่อไทย และพรรคภูมิใจไทย แต่วันนี้ภาพนั้นเริ่มพร่าเลือน เพราะพรรคเพื่อไทยกำลังอ่อนแรงและสูญเสียฐานมวลชนที่เคยเหนียวแน่นไปทีละส่วน พรรคประชาชนยังคงครองใจคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมือง ส่วนพรรคภูมิใจไทยกลับค่อย ๆ ขยายตัวขึ้นในฐานะที่พึ่งของฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเครือข่ายบ้านใหญ่ทั่วประเทศ

เมื่อพรรคเพื่อไทยหมดพลัง และมวลชนเสื้อแดงแยกย้าย การเมืองไทยจึงอาจเหลือเพียงสองขั้วที่แท้จริง ขั้วของ “อุดมการณ์เสรี” ที่นำโดยพรรคประชาชน กับขั้วของ “อนุรักษ์นิยมสายปฏิบัติ” ที่นำโดยพรรคภูมิใจไทย พรรคแรกขับเคลื่อนด้วยแนวคิดประชาธิปไตยสมัยใหม่ ส่วนอีกพรรคขับเคลื่อนด้วยอำนาจท้องถิ่นและเครือข่ายผลประโยชน์ในพื้นที่ แต่ทั้งสองต่างกำลังขึ้นแทนที่ขั้วเก่าอย่างสมบูรณ์

การล่มสลายของพรรคเพื่อไทยจึงไม่ใช่เพียงความพ่ายแพ้ของพรรคหนึ่งเท่านั้น หากแต่เป็นจุดสิ้นสุดของยุคการเมืองที่ขับเคลื่อนด้วย “ตัวบุคคล” มากกว่าระบบพรรค และเป็นสัญญาณว่าการเมืองไทยกำลังเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่การต่อสู้เหลือเพียงสองขั้วอำนาจหลัก ที่จะกำหนดทิศทางประเทศหลังจากยุคของ “ลุง” และ “นายใหญ่” ได้ปิดฉากลง

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น