xs
xsm
sm
md
lg

โนเบลสันติภาพ“อำนาจอย่างอ่อน”ของจักรวรรดินิยมตะวันตก!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


มาเรีย กอรินา มาชาโด ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ
ไหนๆ ช่วงเปิดฉากสัปดาห์ที่ผ่านมา...ได้ว่ากันถึงเรื่อง“ทรัมป์บ้า” ต้องรับประทาน “แห้วกระป๋อง” เพราะ “คณะกรรมการรางวัลโนเบล” เขาดันหันไปประเคนรางวัลให้กับนักการเมืองฝ่ายค้านของเวเนซุเอลากันแทนที่ ปิดท้ายสัปดาห์นี้...เลยคงต้องขออนุญาตว่าต่อไว้เล็กๆ น้อยๆ ถึงเรื่องราวของรางวัลดังกล่าว อันอาจเป็นที่ปรารถนาของใครต่อใครเสียเหลือเกิน โดยเฉพาะผู้นำอเมริกาคนปัจจุบัน เพราะด้วยการตัดสินใจมอบรางวัลโนเบลสันติภาพ ประจำปี ค.ศ. 2025 ให้กับ “นางMaria Corina Machado” ของคณะกรรมการรางวัลโนเบล พีซ ไพรซ์ คราวนี้ ต้องเรียกว่า...ส่งผลให้เกิดรายการ “ทัวร์ลงระดับโลก” เอาเลยก็ว่าได้!!! 

ไม่ว่าจะเป็นองค์กรต่อต้าน คัดค้าน ไม่เห็นด้วยกับใครก็ตามที่คิดจะครองโลก ตั้งตัวเป็นประมุขโลก อย่างองค์กร“The Center for Counter Hegemonic Studies” ระดับตัวผู้อำนวยการ “นายTim Anderson” ถึงกับต้องรีบออกมาโพสต์ไว้ในเว็บไซต์ “X” ว่า... “ถือเป็นการมอบรางวัลให้กับผู้ที่ CIA ให้การสนับสนุน เพื่อวางแผนล้มล้างการปกครองภายในประเทศตัวเอง” เอาเลยถึงขั้นนั้น ยิ่งเมื่อคณะกรรมการรางวัลโนเบลดันให้เหตุผลเอาไว้ประมาณว่า “นางMachado” คือ “ผู้ที่ไม่ยอมเหน็ดเหนื่อยในการสนับสนุนสิทธิประชาธิปไตยให้กับบรรดาชาวเวเนซุเอลา และพยายามเปลี่ยนผ่านระบอบเผด็จการมาสู่ความเป็นประชาธิปไตยโดยวิธีสันติ” ผู้อำนวยการองค์กรดังกล่าวเลยอดไม่ได้ที่จะต้องสรุปเอาไว้ว่า...การเปลี่ยนผ่านโดยสันติที่คณะกรรมการรางวัลโนเบลอ้างถึงนั้น เอาไป-เอามาแล้วก็คือ “การแทรกแซงจากภายนอกเพื่อเปลี่ยนระบอบการปกครองของประเทศใด-ประเทศหนึ่งนั่นเอง!!!” 

เพราะโดยตัว “นางMachado” นั้น...เธอออกจะโฉ่งฉ่างแบบพวก“สว่างจิต” ที่ไม่คิดจะปิดบังความคิด ความรู้สึกใดๆของตัวเองเอาเลยก็ว่าได้ นอกจากจะออกแรงยุ ออกแรงเชียร์ ให้บรรดาชาวเวเนซุเอลาทั้งหลาย ออกมาต่อต้านผู้นำประเทศอย่าง “นายNicolas Maduro” ที่แม้จะมาจากการเลือกตั้งตามครรลองประชาธิปไตยก็เถอะ จนเกิดการปะทะ ขัดแย้ง การใช้ความรุนแรงในท้องถนนหลายต่อหลายครั้ง ไม่ต่างไปจากอดีตฝ่ายค้านอีกราย อย่าง “นายฮวน ฆวยโต” (Juan Guaido) ที่คุณพ่ออเมริกาและประเทศตะวันตก เคยเชิดขึ้นมาเป็นหุ่น หรือเป็น“ประธานาธิบดีชั่วคราว” ก่อนหลบหนีไปอยู่ที่ไมอามี เพราะแผนก่อจลาจล ก่อการรัฐประหาร ต่างประสบความล้มเหลวครั้งแล้ว ครั้งเล่า แต่สำหรับ “นางMachado” แล้ว เธอยังพร้อมที่จะเรียกร้องให้ประเทศต่างๆ “แซงชั่น” ประเทศตัวเอง เพื่อสร้างแรงกดดันให้กับนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แถมยังปรบมือ กู่ก้องร้องตะโกน แสดงออกถึงความยินดี ปรีดา ต่อการที่อเมริกาส่งเรือรบเข้าไปยังน่านน้ำเวเนซุเอลา ด้วยข้ออ้างว่าเพื่อปราบแก๊งยาเสพติด หรือจะเพื่อยึดแหล่งน้ำมันของประเทศนี้ก็แล้วแต่... 

ยิ่งไปกว่านั้น...เธอยังเป็นพวกคลั่งยิว คลั่งไซออนิสต์ ชนิดออกนอกหน้า ไม่เพียงแต่ลงนามประกาศความเป็นพันธมิตรกับพรรคการเมืองประเภท “สุดโต่ง” อย่างพรรค “Likud” ของอิสราเอล ประกาศว่าถ้าได้เป็นใหญ่ขึ้นมาเมื่อไหร่ ก็พร้อมที่จะตั้งสถานทูตเวเนซุเอลาไว้ที่กรุงเยรูซาเลม หรือพร้อมที่จะรับรองการยึดครองกรุงเยรูซาเลมของอิสราเอล แม้จะขัดแย้งกับมติสหประชาชาติก็ตามที โดยแทบไม่ได้สนใจต่อการ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ในเขตฉนวนกาซา ภายใต้การบัญชาการของรัฐบาลที่มีพรรคการเมืองพรรคนี้เป็นแกนนำ แต่กลับมองว่าความพยายามต่อสู้พวกเผด็จการในประเทศของเธอ ไม่ต่างอะไรไปจากความพยายามของอิสราเอลในการเล่นงานใครต่อใครในตะวันออกกลาง หรือ “The struggle of Venezuela is the struggle of Israel” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!! 

ด้วยเหตุนี้นี่เอง...ที่ทำให้ “คณะกรรมการรางวัลโนเบล พีซ ไพรซ์” เลยกลายเป็น “ลานจอดรถทัวร์” ระดับโลกเอาดื้อๆ ไม่ว่าจะเป็นนักหนังสือพิมพ์ชาวอังกฤษ อย่าง “Afshin Rattansi”ที่ออกมาโพสต์ข้อความว่า...“Machado คือผู้ที่สนับสนุนอิสราเอล สนับสนุนพวกเสรีนิยมในอเมริกา และพร้อมแสดงตัวเป็นทาสรับใช้พวกโลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ต่างไปจาก “Ali Abunimah” นักหนังสือพิมพ์อเมริกันเชื้อสายปาเลสไตน์ ที่สรุปเอาไว้ว่า... “Machado คือนักเคลื่อนไหวที่อเมริกาให้การสนับสนุนมานานแล้ว เพื่อหวังจะเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในประเทศเวเนซุเอลา” ส่วนนักวิเคราะห์ด้านรัฐศาสตร์ชาวนอร์เวย์ อย่าง “Glen Diesen” ถึงกับต้องตั้งคำถามเอาไว้ว่า... “ทำไมถึงต้องให้รางวัลกับนักการเมืองที่ปรบมือ โห่ร้อง เมื่อเรือรบอเมริกันถูกส่งเข้ามากดดันประเทศตัวเอง และเตรียมบุกรุกประเทศเวเนซุเอลา นี่คือตรรกะของประชาธิปไตยและสันติภาพกระนั้นหรือ? หรือคือการส่งมอบประชาธิปไตยตามแบบฉบับอเมริกา ที่จะต้องผ่านการแทรกแซงด้วยสงคราม???”... 

ขณะที่บรรณาธิการเว็บไซต์ “The Grayzone” อย่าง “Max Blumenthal” ที่สรุปเอาไว้ว่า...นักการเมืองอย่าง “Machado” ก็คือ “นักเคลื่อนไหวที่ได้รับการสนับสนุนจากอเมริกามาโดยตลอด แม้จะเคยล้มเหลวในการก่อกบฏและก่อความรุนแรงบนท้องถนน ผู้ที่พร้อมจะมอบทรัพยากรน้ำมันและแร่ธาตุอันมีค่า ให้กับพวกนักธุรกิจพันล้านหรือกับผู้ที่ต้องการให้อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง (MAGA)” เลยถึงกับต้องมองว่า...การมอบรางวัลให้กับบุคคลเช่นนี้ ก็คือ... “การเปิดไฟเขียวของคณะกรรมการโนเบล พีซ ไพรซ์ ให้กับการทำสงครามเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบปกครองในเวเนซุเอลานั่นเอง!!!” นี่...จริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองไปคิดๆ เอาเองก็แล้วกัน... 

หรือสรุปง่ายๆ ว่า...คณะกรรมการรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ ถ้าหากไม่ออกไปทางตาถั่ว ตาแชแหม ก็น่าจะหนักไปทาง “ตาตุ่ม” หรืออะไรต่อมิอะไรที่อยู่ใกล้ๆ ส้นเท้า ใกล้หัวแม่ตีน อะไรทำนองนั้น คือไม่ได้สำรวจตรวจสอบ ไม่ได้คิดหน้า-คิดหลัง คิดในสิ่งที่เป็นประโยชน์ เป็นสันติภาพต่อบรรดามวลมนุษยชาติทั้งหลายเอาเลยแม้แต่น้อย หรืออย่างที่“ศาสตราจารย์Alfred de Zayes” อดีตผู้เชี่ยวชาญอิสระแห่งสหประชาชาติ ท่านได้ให้ความคิด ความเห็น ต่อสำนักข่าว“Sputnik” ของรัสเซียแบบน่าเศร้าใจ น่าสลดใจเอามากๆ นั่นแหละว่า การตัดสินรางวัลโนเบลคราวนี้ทำให้ท่านอดที่จะย้อนคิดไปถึงนวนิยายเรื่อง “1984” ของนักเขียนชาวอังกฤษอย่าง“George Orwell” ที่ได้จินตนาการเอาไว้เมื่อปี ค.ศ. 1949 ถึงโลกที่เต็มไปด้วยทรราชย์ ลัทธิบูชาบุคคลหรือโลกที่มีแต่สงครามตลอดกาลขึ้นมาไม่ได้ โดยเฉพาะที่ได้สรุปเอาไว้ว่า“ทำไม???...สงครามจึงหมายถึงสันติภาพ เสรีภาพคือการเป็นทาส การเมินเฉยคือความเข้มแข็ง”...อันอาจถือเป็น“มาตรฐาน” เดียวกันกับการตัดสินใจของคณะกรรมการรางวัลโนเบล พีซ ไพรซ์ นั่นเอง... 

ดังนั้น...ในสายตาอดีตผู้เชี่ยวชาญสหประชาชาติรายนี้ ท่านจึงเห็นว่า...รางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพนั้น นอกจากเป็นสิ่งที่ไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ใดๆ ต่อมวลมนุษยชาติแล้ว ยังเป็นสิ่งที่ไม่มีคุณค่าใดๆ หลงเหลืออีกต่อไปและสมควรที่จะ “รื้อทิ้ง” ได้แล้ว!!! ด้วยเหตุเพราะตลอดช่วง 40 ปีที่ผ่านมา บรรดาพวกอีลีทโลก พวกโลกาภิวัตน์นิยม หรือพวกเสรีนิยมใหม่ทั้งหลาย ได้เข้าไปครอบงำ “สถาบัน” ต่างๆ เหล่านี้ ไม่ว่าคณะกรรมการรางวัลโนเบล องค์กรป้องกันการใช้อาวุธเคมี(Organization for the prohibit of Chemical Weapon) องค์กรป้องกันการแพร่อาวุธนิวเคลียร์ (IAEA) หรือแม้แต่ศาลอาญาระหว่างประเทศ ฯลฯจนสามารถหันซ้าย-หันขวา หันหน้า-หันหลัง หรือจะให้ตีลังกากลับ ซัมเมอร์ซอลต์ใส่เกลียว 3 รอบ 4 รอบ เอาเลยก็ยังได้... 

และโดยมุมมองเช่นนี้ ก็ดูจะสอดคล้องต้องกัน ไม่ได้ต่างไปจากความคิด ความเห็น ของนักการเมืองเยอรมนี อย่าง“นายGunnar Beck” ที่สรุปไว้ว่า....“รางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ...ก็คือเครื่องมือทางการเมือง ไม่ใช่เครื่องมือของศีลธรรม หรือของคุณงามความดีแต่อย่างใด”หรืออย่างที่บรรณาธิการ “The Grayzone website” “นายMax Blumenthal” พยายามสรุปไว้แบบสั้นๆ ง่ายๆ แต่สามารถนึกภาพออกได้อย่างชัดเจน นั่นก็คือ...จริงๆ แล้ว มันก็เป็นเพียงแค่“อำนาจอย่างอ่อน” ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือของจักรวรรดินิยมตะวันตก หรือ “The Soft Power Instrument of Western Empire” นั่นเอง!!! 


กำลังโหลดความคิดเห็น