เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตไปแสดงความเสียใจ ความสงสาร เวทนาต่อผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”ไว้สักเล็กๆ น้อยๆ โดยเฉพาะในฐานะที่อุตส่าห์ทุ่มทุน ทุ่มเท ยื่นบัตรสมาชิก “สมาคมเสือกกิตติมศักดิ์” ด้วยการเข้าไปเกี่ยวข้องแทรกแซงต่อบรรดาความขัดแย้งทั้งหลาย ที่อุบัติขึ้นมาในหมู่ประชาคมโลก ไม่ว่าระหว่างอินเดีย-ปากีสถาน, อาเซอร์ไบจาน-อาร์เมเนีย, อียิปต์-เอธิโอเปีย,อิสราเอล-ฮามาส หรือกระทั่งไทยแลนด์ แดนสยามของหมู่เฮากับเคลมโบเดีย ฯลฯ จนเกิดการหยุดยิง หยุดฆ่าผู้คนไม่ต้องตายโหง-ตายห่าอีกเป็นจำนวนไม่น้อย เพื่อหวังได้ “รางวัลโนเบลสันติภาพ” มาไว้ในครอบครอง แต่สุดท้าย...คณะกรรมการรางวัลดังกล่าวดันตัดสินใจ “ยกตีนลูบหน้า” หันไปประเคนรางวัลให้นักการเมืองฝ่ายค้านแห่งเวเนซุเอลา “นางMaria Corina Machado” ซะเฉยเลย!!!
คืออย่างที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน”ท่านอดไม่ได้ต้องออกมาวิพากษ์วิจารณ์ให้ความคิดความเห็นไปเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว(10 ต.ค.) นั่นแหละว่า มิอาจปฏิเสธได้เลยว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า”มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลักดันให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาในโลกใบนี้มิใช่น้อย แต่คณะกรรมการรางวัลโนเบลสันติภาพ แห่งประเทศนอร์เวย์กลับดันไปประเคนรางวัลให้กับ “The people who did nothing for peace” หรือผู้ที่ไม่ได้คิดจะทำอะไรเพื่อสันติภาพเอาเลยแม้แต่น้อย ไม่เพียงแต่ลุกขึ้นมาต่อต้านคัดค้าน ผู้นำประเทศตัวเองที่มาจากการเลือกตั้งด้วยกันยังหนักไปทางชื่นชม ยินดีต่อพวกเผด็จการฟาสซิสต์ พวกยิวไซออนิสต์ที่ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์นับเป็นหมื่นๆ ดังเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตาชาวโลกอยู่ในทุกวันนี้...
ต่างไปจาก “ทรัมป์บ้า” ที่แม้พยายามเลียบๆ เคียงๆ หาทางเข้าไปเหยียบ ไปกระทืบ ผู้นำรัฐบาลเวเนซุเอลา ไม่ต่างไปจาก “นางMaria Corina Machado”ด้วยเรื่อง “ยาเสพติด”หรือเพื่อ “ยึดบ่อน้ำมัน” เวเนซุเอลาหรือไม่? เพียงใด? ก็ตามที
แต่โดยรวมๆ แล้ว...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้เลยว่า ด้วย “ความบ้า” ตามแบบฉบับของตัวเองที่ไม่ได้ออกไปทาง
“บ้าสงคราม”เหมือนผู้นำรายอื่นๆ ความบ้าของ “ทรัมป์บ้า”ก็ดูจะมีส่วนอยู่ไม่น้อยในการช่วยถ่วง ช่วยรั้ง ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความกระหายสงครามที่อุบัติขึ้นมาใน “แนวรบ”สำคัญๆ ต่างๆ ไม่ว่าในยุโรปตะวันออก ตะวันออกกลาง หรือแม้แต่ทะเลจีนใต้ ได้อย่างเป็นเรื่อง-เป็นราวอยู่พอสมควรทีเดียว ชนิดเรียกว่า...ถ้าเป็นผู้นำอเมริกาคนก่อนอย่าง “โจ ซึมเซา”แล้ว
ป่านนี้ไม่รู้ว่า “สงครามโลกครั้ง3” หรือแม้แต่ “สงครามนิวเคลียร์” อาจระเบิดตูมๆตามๆ ไปแล้วก็ไม่แน่!!!
แต่เพราะด้วย “ลูกบ้า” ของ “ทรัมป์บ้า” ที่ช่วยสร้าง “ความป่วน”ให้กับบรรดาพวกกระหายสงครามในยุโรป ที่แม้จะเคยเป็นพันธมิตรเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด ไม่ว่าด้วยเรื่อง “อัตราภาษี” หรือแม้แต่เรื่ององค์กรพันธมิตรทางทหารอย่าง “NATO”ที่ถูกใช้เป็น“เครื่องมือ” ในการขยายอำนาจ อิทธิพลของฝ่ายตะวันตกต่อภูมิภาคต่างๆ ที่อดีตเลขาธิการ “NATO” อย่าง “นายJens Stoltenberg”เพิ่งออกมาเล่าสู่กันฟังไปเมื่อวัน-สองวันมานี้ ถึงครั้งการประชุมสุดยอดองค์กรดังกล่าวเมื่อช่วงปี ค.ศ.2018 หรือช่วงสมัยแรกของ “ทรัมป์บ้า” ที่ผู้นำรายนี้เกิดความหงุดหงิด ฉุนเฉียวเอามากๆ ต่อการที่อเมริกาต้องเสียเงิน-เสียทองเพื่ออุดหนุนองค์กรแห่งนี้ถึง80-90 เปอร์เซ็นต์ ขณะที่บรรดาชาติยุโรปเสียแค่ประมาณ2 เปอร์เซ็นต์ของจีดีพีเท่านั้น เลยทำให้ “ทรัมป์บ้า”ถึงกับคิดจะถอนตัวออกจากองค์กรดังกล่าวมาแล้วตั้งแต่ครั้งนั้น จนผู้นำเยอรมนีขณะนั้น... “นางAngela Merkel”ผู้นำฝรั่งเศส “นายEmmanuel Macron”และ “นายMark Rutte” นายกรัฐมนตรีเนเธอร์แลนด์ช่วงนั้นที่กลายมาเป็นเลขาฯ “NATO” ในทุกวันนี้ ต้องออกแรงจับเข่าคลึงไป-คลึงมาอยู่หลายเที่ยว ถึงทำให้องค์กรที่ถูกใช้เป็นเครื่องในการขยายอำนาจของโลกตะวันตก ยังไม่ถึงกับต้อง “เจ๊ง” ไปก่อนหน้านั้น...
พูดง่ายๆ ว่า...จะเรียกว่าด้วย “ความเห็นแก่ตัว”หรือเห็นแก่ “ผลประโยชน์” ของประเทศตัวเองเป็นสำคัญ หรือแบบ “อเมริกา...ต้องมาก่อน”อะไรทำนองนั้น อันถือเป็นลักษณะ “ชาตินิยม” ในอีกรูปหนึ่ง จึงทำให้อเมริกายุค “ทรัมป์บ้า”ผิดแผกแตกต่างไปจากอเมริกายุคเดโมแครต หรือยุคพวกเสรีนิยมใหม่ อย่าง “โจ ซึมเซา”อย่างเห็นได้ชัด ยิ่งเมื่อผู้นำอเมริการายนี้เห็นว่าการ “ปูพรมแดง”ต้อนรับผู้นำรัสเซีย ที่บรรดาผู้นำยุโรปเห็นเป็น “ตัวเสนียด” ใครจะไปส่งยิ้ม ไปจับมือ-ถือแขนไม่ได้เป็นอันขาด ไม่ว่าผู้นำชาติยุโรปด้วยกันเอง อย่างผู้นำฮังการี สโลวาเกีย ที่ต้องกลายเป็น “สุนัขหัวเน่า” เพราะไม่อยากติดเชื้อโรค “Russophobia” มากมายสักเท่าไหร่นัก แต่เพราะความเห็นแก่ประโยชน์ของประเทศตัวเองเป็นหลัก หรือเพราะไม่อยากจูงมือลงเหวลงนรกไปด้วยกันทั้งโลก ถ้ามหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกากับมหาอำนาจคู่แข่งอย่างรัสเซียคิดจะ “ปะ-ฉะ-ดะ”กันลูกเดียว อันนี้นี่แหละ...เลยทำให้ “ความเห็นแก่ตัว”ของ “ทรัมป์บ้า” กลายเป็นตัวช่วยถ่วง ช่วยรั้ง ความกระเหี้ยนกระหือรือ ความกระหายสงครามของบรรดาผู้นำชาติยุโรป ให้ต้องติดๆ ขัดๆ ไม่ลื่นๆ ไหลๆ เหมือนยุค “โจ ซึมเซา”หรือทำให้แนวโน้ม “สงคราม”ใน “แนวรบยุโรปตะวันออก” ไม่ถึงกับไปไกลระดับไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี แม้ว่ายังไม่อาจนำไปสู่ “สันติภาพ” ภายใน 24 ชั่วโมง อย่างที่ตัวเองได้เคย “สมรักษ์ คำสิงห์”เอาไว้ก่อนหน้านี้...
ไม่ต่างไปจาก “แนวรบตะวันออกกลาง” ที่แม้ว่า “ทรัมป์บ้า”พยายามหลับตาไว้ทั้งสองข้าง พยายามมองไม่เห็นความเจ็บปวดรวดร้าวทรมาณของบรรดาชาวปาเลสไตน์ที่ล้มตายกันเป็นหมื่นๆ ไม่ว่าเด็ก ผู้หญิง คนชรา ด้วยการหันไปแบก ไปอุ้ม “ไอ้เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์” อย่างอิสราเอล ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ผู้คนในฉนวนกาซา รวมทั้งยังร่วมโจมตีโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านคราวล่าสุด
แต่การยั้งมือ-ยั้งตีน...ไม่คิดจะแลกหมัด แลกจรวดกับพวกนักรบ “Houthi”แห่งเยเมนจะด้วยเหตุเพราะกลัว “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ของตัวเองอาจต้องจมทะเลแดง หรือเพราะไม่ได้ “บ้าสงคราม” ก็แล้วแต่การตกลงหยุดยิงกับเยเมนเอาดื้อๆ หรือการถล่มโรงงานนิวเคลียร์อิหร่านโดยที่ไม่มีกัมมันตรังสีใดๆ เล็ดรอดออกมาเอาเลยแม้แต่นิด อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้...ได้ทำให้บุคลิกลักษณะของ “ทรัมป์บ้า”แตกต่างไปจากผู้นำอิสราเอลที่แม้จะเป็น “พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์” ของตัวเองก็ตาม แบบคนละเรื่อง-คนละม้วน...
คืออย่างน้อย...ไม่ได้คิด “บริโภคสงครามเป็นภักษาหาร”เหมือนอย่าง “นายBenjamin Netanyahu”แต่อย่างใด ยิ่งช่วงที่พยายามจะให้ผู้นำอิสราเอลยอมตกลงหยุดยิง หยุดฆ่า กับพวกนักรบ “Hamas” ในฉนวนกาซา ตามแผนสันติภาพ20 ข้อ ถ้าว่ากันตามรายงานข่าวของสำนักข่าว “Axios”ถึงคำพูด คำจา ของ “ทรัมป์บ้า”ต่อผู้นำอิสราเอลถึงขั้นว่า...“I don’t know why you’re f---ing negative”ก็ยิ่งสะท้อนให้เห็นความแตกต่างระหว่างคนทั้งสองได้เป็นอย่างดี หรือเพราะด้วยความที่ไม่คิดจะ “บ้าสงคราม”แบบเดียวกับผู้นำอิสราเอลนั่นเอง เลยทำให้ “ม.ม้า” ยังพอมีโอกาสไล่ทันความ “เหี้ยย์ย์ย์...มม์ม์ม์”ของ
“นายBenjamin Netanyahu”ได้มั่ง จนไม่ถึงกับต้อง “วรนุส”มากมายเกินไปกว่านี้ แม้ว่ากระบวนการสันติภาพระหว่าง “อิสราเอล-Hamas”จะยังคง “เปราะบาง” อยู่บ้างก็ตาม แต่อย่างน้อย...ก็พอช่วยให้เด็กผู้หญิง คนชรา บรรดาพลเรือนชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย ไม่ถึงกับต้องตายโหง-ตายห่าอีกวันละเป็นสิบเป็นร้อย ไปอีกนานเท่าไหร่ก็ยังมิอาจสรุปได้ หรือพอช่วยให้ “แนวรบในตะวันออกกลาง” เกิดความผ่อนคลายลงมาได้มั่งไม่มาก-ก็น้อย อันถือเป็นสิ่งที่น่ายกย่อง ชื่นชม อย่างมิอาจปฏิเสธ...
ส่วนใน “แนวรบทะเลจีนใต้” แม้ว่าล่าสุด...ทำท่าว่าอาจ “ปะ-ฉะ-ดะ” กันขึ้นมาอีกซะแล้ว ระหว่างคุณพี่จีนกับคุณพ่ออเมริกา อันเนื่องมาจากการควบคุม จำหน่าย “แร่หายาก” (Rare Earth) ของจีนในตลาดโลก แต่ยังไงๆ...คงต้องยอมรับว่าก่อนหน้านั้น บรรยากาศการผ่อนคลายได้ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องไปตามลำดับ ไม่ว่าการยืดเวลาหาข้อยุติเรื่อง “สงครามภาษี”ระหว่างประเทศทั้งสอง การพบจุดลงตัวในการแย่งยื้อ ซื้อขาย กิจการอภิมหาสื่อสารอย่าง “TikTok” ที่เกิดขึ้นบนความยินยอมพร้อมใจของทั้งสองฝ่าย ไปจนกำหนดการพบปะแบบตัวต่อตัวระหว่าง “ทรัมป์บ้า”ผู้นำอเมริกากับ “สีทนได้” ผู้นำจีน ที่อาจช่วยลดความตึงเครียดในแนวรบด้านนี้ลงมาได้มั่ง ฯลฯ แม้ว่าการเอาแพ้-เอาชนะระหว่าง “โลกขั้วอำนาจเดียว”กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ยังคงความเข้มข้น ดุเดือดเลือดพล่านเพียงใดก็ตามที...
แต่ก็นั่นแหละ...การที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” อาจจะบ้าอย่างอื่น ไม่ได้ถึงกับ “บ้าสงคราม”เหมือน “โจซึมเซา” ผู้นำคนก่อนแห่งพรรคเดโมแครต พรรคเดียวกับ “โอมาบ้า” (โอบามา) ที่ได้รับรางวัลโนเบลไปแล้วก่อนหน้านั้น ทั้งที่เคยแสดงความกระหายเลือด ระหว่างนั่งลุ้น นั่งเชียร์ การลอบฆ่า ลอบสังหาร “อุซามะห์ บิน ลาดิน” แบบติดหน้าจอเรดาร์เอาเลยถึงขั้นนั้น การทุ่มทุน ทุ่มเท เพื่อให้ได้มาซึ่ง “รางวัลโนเบลสันติภาพ”ของ “ทรัมป์บ้า”จึงกลายเป็นสิ่งที่ไม่ได้ “เข้าตากรรมการ” อย่างคณะกรรมการรางวัลโนเบลเอาดื้อๆ หรืออย่างที่หัวหน้ากองบรรณาธิการวารสาร “Russia in Global Affairs” “นายFyodor Lukyanov” เขาได้ตั้งข้อสังเกตเอาไว้นั่นแหละว่า อาจด้วยเหตุเพราะบรรดาคณะกรรมการรางวัลโนเบลนั้น จัดอยู่ในประเภทพวก “เสรีนิยมใหม่” หรือ “เสรีนิยมโลก” มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกหรือออกไปทางพวก “The Global liberal order”หรือ “Liberal internationalism”ที่ไม่ได้ให้ความสนใจใดๆ ต่อ “อำนาจอธิปไตย” ของประเทศต่างๆ เอาเลยแม้แต่น้อย หนักไปทางพวกที่ต้องการให้โลกใบนี้ปราศจากพรมแดนเส้นเขตแดน โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นอุปสรรคขัดขวางต่อการเจริญเติบโตของ “ทุนนิยมเสรี”ทั้งหลาย อันเป็นสิ่งที่พวก “อีลีทโลก”หรือ “รัฐบาลโลก” ที่กำลังกระหายสงครามอยู่ในช่วงระหว่างนี้ต่างเห็นพ้องไปแนวเดียวกัน...
ด้วยเหตุนี้...การที่พวก “ชาตินิยม”อย่าง “ทรัมป์บ้า”ดันกระหายใคร่อยากที่จะได้รับ “รางวัลโนเบลสันติภาพ” เสียเหลือเกิน จึงไม่ต่างไปจากการไปให้ค่า ให้ราคาต่อรางวัลดังกล่าวโดยใช่เหตุ คณะกรรมการรางวัลโนเบลจึงได้จังหวะ “ยกตีนลูบหน้า”ผู้นำอเมริกา แบบชนิดเสียมวย เสียหมา เสียสุนัข อย่างน่าสงสาร น่าเวทนา เป็นอันมาก...