xs
xsm
sm
md
lg

มองฉากทัศน์เลือกตั้ง 2569 การแย่งชิงอำนาจของสามก๊กการเมือง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



 หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
การเมืองไทยหลังปี 2566 ไม่ได้เปลี่ยนเพียงรัฐบาล แต่มันเปลี่ยนทั้งรหัสของอำนาจขั้วอนุรักษ์นิยมที่เคยยืนอยู่บนบารมีของสองนายพลพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ—กำลังสลายตัวอย่างเงียบงัน ขณะที่พรรคที่เคยเป็นพาหนะของยุค คสช.กำลังหายไปจากสารบบการเมืองทีละพรรค เหลือเพียงเงาของอดีต

พรรครวมไทยสร้างชาติเป็นหลักฐานชิ้นสำคัญของความล่มสลายนั้น พรรคที่เกิดขึ้นเพื่อเป็นพาหนะให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย กลายเป็นพรรคที่เหลือเพียงเปลือกของอดีต หลังจากประยุทธ์ประกาศวางมือจากการเมือง พรรคก็สูญศูนย์กลางแห่งอำนาจ เมื่อไม่มีเจ้าของบารมี พรรคก็ไร้แรงดึงดูด สุชาติ ชมกลิ่น พา ส.ส. 16 คนออกจากพรรค เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ นำอีกกลุ่มตามไป เหลือเพียงไม่ถึง 20 คนที่ยังอยู่แต่ไม่มีใครกล้าการันตีว่าจะไม่ย้ายตาม

แม้พรรคจะมี พีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค เป็นหัวหน้าพรรค แต่ความจริงที่ทุกคนรู้คือ พีระพันธุ์ไม่มี “บารมีทางการเมือง” เพียงพอที่จะนำคนทั้งพรรคได้ เขาอาจมีภาพของความซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา และเป็น “คนของลุงตู่” ในเชิงสัญลักษณ์ แต่ในโลกการเมืองจริง “ดีเอ็นเอของลุงตู่” ไม่ได้แปลว่า “พลังของลุงตู่” พีระพันธุ์ไม่ใช่แม่เหล็กทางการเมือง ไม่ใช่คนที่มีฐานเสียงส่วนตัว และไม่ใช่ผู้นำที่คนในพรรคพร้อมจะเสี่ยงอนาคตไปกับเขา

​เมื่อหัวหน้าพรรคไม่มีอำนาจคุมคน โครงสร้างที่เคยยึดกันไว้ด้วยความเกรงใจประยุทธ์ก็หลุดออกทีละชั้น สิ่งที่เหลืออยู่ในรทสช. จึงไม่ใช่พรรคการเมืองที่มีชีวิต แต่เป็นเพียงนิติบุคคลทางการเมืองที่ยังไม่ยอมปิดบัญชี

​ในแวดวงการเมือง มีคนพูดกันว่า “พีระพันธุ์คือลุงตู่ที่ไม่มีบารมี” ซึ่งอาจฟังดูแรง แต่ก็ตรงกับความจริงที่สุดในเวลานี้ เพราะแม้แต่ พล.อ.ประยุทธ์ เองก็สร้างอำนาจจากตำแหน่งและกองทัพ เมื่อสองสิ่งนั้นหายไป เหลือแต่ชื่อ—ชื่อที่พีระพันธุ์พยายามสืบทอด แต่ไม่มีสิ่งใดหนุนหลัง มันก็ไม่มีพลังเพียงพอที่จะขับเคลื่อนพรรคได้เลย

​ด้านพลังประชารัฐที่เคยเป็นหัวใจของรัฐบาล คสช.ก็เหลือเพียงชื่อในทะเบียน หลังกลุ่มธรรมนัสพรหมเผ่า ถอนตัว สันติ พร้อมพัฒน์ ก็เดินออกจากปีกพรรค เหลือแต่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ผู้ซึ่งวันนี้ไม่มีทั้งเรี่ยวแรงและคนรายล้อม พรรคที่เคยใช้กลไกของรัฐสร้างเครือข่ายอุปถัมภ์ เมื่อหลุดจากอำนาจก็สูญทุกอย่าง เหมือนเครื่องยนต์ที่หมดน้ำมัน พลังประชารัฐจึงกลายเป็นเพียงซากของยุค คสช. ที่ยังลอยอยู่ด้วยแรงเฉื่อย

​ส่วนประชาธิปัตย์ พรรคเก่าแก่ที่สุดของประเทศ ยังยืนอยู่ แต่ยืนด้วยความอ่อนแรงและบอบช้ำ ฐานเสียงภาคใต้ที่เคยมั่นคงถูกภูมิใจไทยรุกยึดไปทีละจังหวัด บ้านใหญ่ในนครศรีธรรมราช สุราษฎร์ธานี ตรัง พัทลุง ทยอยย้ายข้างไปอยู่กับพรรคที่มีอำนาจรัฐและงบประมาณในมือ กรุงเทพฯ ซึ่งเคยเป็นสนามหลักก็ถูกพรรคประชาชน (สืบทอดจากก้าวไกล) และเพื่อไทย แย่งไปเกือบหมด

​แม้ชื่อของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ จะกลับมาเป็นความหวังของสมาชิกพรรค แต่ในความเป็นจริง เขาเหมือน “เหล้าเก่าในขวดเก่า” แม้รสชาติยังคงความละเมียดแบบเดิม แต่ไม่อาจดึงดูดคนรุ่นใหม่ได้อีก อภิสิทธิ์อาจยังเป็น “คนที่ดีที่สุดเท่าที่พรรคมี” แต่เขาไม่ใช่ “คนที่ดีที่สุดสำหรับยุคนี้” เขาเคยพาพรรคแพ้มาแล้ว และสูญเสียฐานความเชื่อมั่นจากมวลชนฝ่ายอนุรักษ์ ตั้งแต่วันที่เขาแข็งขืนต่อกระแส “ลุงตู่” ในปีที่ประยุทธ์กำลังขึ้นถึงขีดสุดของอำนาจ แม้การไม่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของ คสช. จะเป็นสิ่งที่ถูกต้องในหลักประชาธิปไตย แต่ในเวลานั้น มวลชนสายขวาเชื่อว่าคนเดียวที่จะสู้กับฝ่ายทักษิณและก้าวไกลได้คือ “ลุงตู่” อภิสิทธิ์จึงถูกมองว่าไม่อยู่ข้างเดียวกันกับฝ่ายชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทั้งที่ในเนื้อแท้ เขาเพียงยึดหลักการมากกว่าอารมณ์

​ดังนั้น แม้ในทางทฤษฎี ประชาธิปัตย์อาจฟื้นได้หากอภิสิทธิ์กลับมา แต่ในทางปฏิบัติ มันแทบเป็นไปไม่ได้ เพราะพรรคสูญเสียทั้งฐานชนชั้นกลาง คนรุ่นใหม่ และฝ่ายอนุรักษ์ ในขณะที่ฝ่ายหลังเริ่มจับตา “พรรคไทยก้าวใหม่” ของ ศาสตราจารย์ ดร.สุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ อดีตอธิการบดีที่มีภาพลักษณ์สมัยใหม่ เป็นเทคโนแครตสายวิศวกร และเคยเป็นความหวังของคนรุ่นใหม่ในประชาธิปัตย์ยุคก่อน

​แม้วันนี้ “ไทยก้าวใหม่” ยังเป็นเพียงพรรคเล็กที่เพิ่งเริ่มต้น แต่สิ่งที่สุชัชวีร์มีคือ “ความเป็นคนรุ่นกลาง” ที่ยืนได้ทั้งในโลกเก่าและโลกใหม่ เขาไม่ได้เป็นนักอุดมการณ์จัดจ้านแบบพรรคประชาชน แต่ก็ไม่เชื่องช้าและเก่าคร่ำครึแบบประชาธิปัตย์ และในขณะที่ขั้วอนุรักษ์เดิมไร้ศูนย์กลาง เขาอาจเป็นสะพานเชื่อมระหว่างคนชั้นกลางหัวเมืองกับฝ่ายเทคโนแครตเมืองใหญ่ ซึ่งกำลังหาพรรคที่ “พูดด้วยเหตุผล แต่ทันโลก”

​พรรคไทยก้าวใหม่จึงอาจยังไม่พร้อมสู้ศึกใหญ่ในปี 2569 แต่กำลังวางตัวเป็น “พรรคอนุรักษ์ยุคปรับปรุง” ที่มีโอกาสรับมรดกของฝ่ายขวากลางรุ่นใหม่ในระยะยาว และอาจเป็นคำตอบของคนอนุรักษ์ที่เบื่อทั้งความเก่าของประชาธิปัตย์ และความย่อหย่อนของขั้ว คสช. เดิม

​เมื่อสามพรรคอนุรักษ์เก่าถดถอยพร้อมกัน ขั้ว คสช. ก็สิ้นฤทธิ์อย่างสมบูรณ์ อำนาจที่เคยหล่อเลี้ยงด้วยบารมีและงบประมาณรัฐได้หายไปจากสมการการเมืองไทย สิ่งที่เหลืออยู่แทนคือ “ศึกสามก๊กการเมือง” ที่จะนิยามการเลือกตั้งปี 2569

ก๊กแรกคือพรรคประชาชน แม้คะแนนในโพลลดลง แต่ฐานสนับสนุนยังมั่นคงในหมู่คนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมืองใหญ่ พวกเขายังคงศรัทธาในอุดมการณ์โปร่งใส ตรวจสอบได้ และมองไปข้างหน้า แต่ปัญหาที่เริ่มชัดคือ หัวหน้าพรรคอย่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ยังขาด “คาริสมา” แบบที่ พิธาลิ้มเจริญรัตน์ หรือธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยมี คนเริ่มตั้งคำถามว่า พรรคนี้จะมีความสามารถมากพอจะ “ฝากประเทศไว้ได้หรือไม่” แม้อาจได้รับเลือกตั้งเป็นอันดับหนึ่งเหมือนเดิม แต่จำนวนที่นั่งอาจลดลงจากครั้งก่อน และที่สำคัญคือ ยังมีความเป็นไปได้สูงว่าพรรคจะถูกขัดขวางไม่ให้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลอีก เพราะเป็นที่รู้กันว่า พรรคนี้คือพรรคที่ “ท้าทายระบอบและอุดมการณ์ของรัฐ” มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทยยุคใหม่

​ก๊กที่สองคือพรรคเพื่อไทย ซึ่งยังคงยึดฐานมวลชนชนบทในภาคเหนือและอีสานได้เหนียวแน่น ด้วยเครือข่ายท้องถิ่นที่ฝังรากลึก แต่ต้องยอมรับว่า “บารมีทักษิณ” กำลังเสื่อมคลายลงอย่างเห็นได้ชัด แม้บางคนจะมองว่า การกลับมารับโทษจำคุกจริงๆอาจสร้างคะแนนสงสารให้เขาได้บ้าง แต่ในเชิงโครงสร้างทางการเมือง นั่นไม่อาจฟื้นอำนาจที่สูญไปแล้วได้ เวลานี้ทักษิณกำลังกลายเป็น “ซากหักพังทางการเมือง” ที่เหลือเพียงเงาในอดีต เวลาของเขาเดินถอยหลัง ไม่ใช่เดินหน้าเหมือนในยุคเริ่มต้น ความภักดีของลูกพรรคก็ไม่มั่นคงเหมือนเดิม ส่วนกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ที่เคยเป็นหัวใจของพรรคเพื่อไทย เทใจไปให้พรรคประชาชน เพราะมองว่าพรรคส้มท้าทายอำนาจเดิมได้จริงกว่า ทั้งหมดนี้ทำให้พรรคเพื่อไทยแม้ยังยึดพื้นที่ชนบทได้ แต่กำลังเผชิญกับ “ภาวะบารมีร่วง” ที่จะส่งผลยาวนานต่อการเมืองในอนาคต

​และก๊กสุดท้ายคือพรรคภูมิใจไทย พรรคเดียวที่สามารถรวบฐานอนุรักษ์เดิมได้เกือบทั้งหมด เพราะเมื่อไม่มี รทสช. และ พปชร. ให้เกาะ บ้านใหญ่ทั่วประเทศต่างเทน้ำหนักให้ภูมิใจไทยเป็น “ทางรอดเดียว” พรรคนี้จึงกลายเป็นตัวแทนของอนุรักษ์นิยมเชิงปฏิบัติ ที่ไม่พูดอุดมการณ์แต่ทำให้เห็นผล และกำลังขยายอิทธิพลจากอีสานสู่ภาคใต้ด้วยมือของนักการเมืองระดับจังหวัด






ยิ่งไปกว่านั้น การที่ “เนวิน ชิดชอบ” วางตัวอยู่ “หลังฉาก” อย่างแนบเนียน โดยไม่ถูกตรวจสอบจากอำนาจใด ไม่ว่าจะเป็นสภา หรือ ป.ป.ช. ทำให้เขามีความคล่องตัวมหาศาลในการคุมเกมการเมืองในฐานะ “ครูใหญ่แห่งภูมิใจไทย” ในขณะที่ผู้นำพรรคอย่างอนุทิน ชาญวีรกูล ยังคงวางตัวเป็นนักบริหารเชิงเทคนิค เนวินกลับกลายเป็น “ผู้มีบารมีจริง” ที่ตัดสินใจได้ทุกสิ่งในเงามืด และเพราะไม่ถูกตรวจสอบโดยอำนาจรัฐใด เขาจึงกลายเป็นศูนย์รวมอำนาจทางการเมืองที่อิสระที่สุดในยุคนี้ อิทธิพลของเขาเบ่งบานขึ้นอย่างเงียบแต่ชัดเจน จนเริ่มโดดเด่นเหนือกว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ที่กำลังกลายเป็นตะวันตกดิน ทำให้เกมการเลือกตั้งครั้งหน้าระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทย จะกลายเป็นศึกภาคอีสานที่ร้อนแรงที่สุดในรอบหลายสิบปี และจะเป็นตัววัดสำคัญว่า พรรคใดจะได้เสียงข้างมากในการตั้งรัฐบาลหลังปี 2569

การเลือกตั้งปี 2569 จึงไม่ใช่สงครามระหว่าง “ประชาธิปไตยกับเผด็จการ” แต่เป็นสงครามของ “สามก๊กแห่งยุคใหม่” ก๊กของคนรุ่นใหม่และชนชั้นกลางในเมือง ก๊กของชนชั้นล่างในชนบท และก๊กของอนุรักษ์นิยมเชิงปฏิบัติที่ยังต้องการเสถียรภาพมากกว่าการปฏิรูป

​และในสมรภูมินี้ สิ่งที่แน่นอนที่สุดคือ ยุคของประยุทธ์–ประวิตรได้จบลงโดยสมบูรณ์ พรรคที่เกิดจากอำนาจรัฐได้ตายลงอย่างเงียบงามในประวัติศาสตร์ และสิ่งที่เกิดขึ้นแทน คือการเกิดใหม่ของอำนาจแบบใหม่ อำนาจที่ประชาชนเจ้าของอำนาจจะเป็นผู้ตัดสิน

ปี 2569 จะไม่ใช่เพียงการเลือกตั้ง แต่มันคือพิธีศพของขั้ว คสช. และพิธีรับตำแหน่งของภูมิใจไทย ในฐานะผู้สืบทอดอำนาจอนุรักษ์ยุคใหม่อย่างเต็มรูปแบบ พร้อมกับการปรากฏตัวของ “ไทยก้าวใหม่” ในฐานะเมล็ดพันธุ์เล็ก ๆที่อาจเติบโตขึ้นมาเป็นพรรคขวากลางสายใหม่ในวันข้างหน้า แต่ก็ไม่น่าจะมีพรรคไหนสามารถจัดตั้งรัฐบาลพรรคเดียวสุดท้ายทุกพรรคจะจับมือกัน แล้วผลักพรรคประชาชนที่ท้าทายให้เป็นพรรคฝ่ายค้านเหมือนเดิม

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น