xs
xsm
sm
md
lg

สิ่งที่นักการเมืองกลัวรัฐธรรมนูญ2560 คือความเข้มข้นด้านจริยธรรม

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



  หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


 ความจริงแล้วรัฐธรรมนูญ 2560 เป็นฉบับที่ผมไม่เคยเห็นด้วยตั้งแต่แรก เพราะผมเห็นว่ามันถูกออกแบบมาเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการ คสช. ผ่านบทเฉพาะกาลที่ให้อำนาจวุฒิสภาซึ่ง คสช. แต่งตั้งขึ้นมาเลือกนายกรัฐมนตรีได้โดยตรง เหตุผลนี้ชัดเจนที่สุดที่ทำให้ผมไม่รับร่าง เพราะไม่อาจยอมรับกติกาที่ปลอมตัวเผด็จการมาอยู่ในระบบประชาธิปไตยได้ และในเวลาต่อมาเราก็เห็นจริงว่ากลไกนี้ถูกนำมาใช้เพื่อยืดอำนาจ คสช. ต่อไปอย่างที่คาดไว้

แต่เมื่อเสียงประชาชนข้างมากเห็นด้วยกับรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผมก็ต้องยอมรับ และเห็นว่าเมื่อเวลาผ่านไป บทเฉพาะกาลนั้นได้หมดอายุลงไปแล้ว คำถามจึงเกิดขึ้นว่า รัฐธรรมนูญฉบับนี้ในปัจจุบันยังมีตรงไหนที่ไม่เป็นประชาธิปไตย คำตอบตรงไปตรงมาคือแทบไม่มีอีกแล้ว สิ่งที่ยังคงอยู่และทำให้นักการเมืองเดือดร้อน ไม่ใช่บทเฉพาะกาล แต่คือ  “มาตรฐานจริยธรรม” ที่ถูกเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญอย่างเข้มข้นและมีผลบังคับจริง

ในความเป็นจริง นักการเมืองไทยจำนวนมากไม่เคยมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่พร้อมรับผิดชอบต่อข้อครหา หากถูกกล่าวหาว่าผิดจริยธรรม ก็มักจะยึดเก้าอี้แน่น ต่างจากญี่ปุ่นที่รัฐมนตรีหรือนักการเมืองพร้อมลาออกเพียงเพราะมีข้อครหาแม้จะไม่ถึงขั้นเป็นคดีอาญา หรืออังกฤษที่มีระบบจรรยาบรรณสมาชิกสภาที่เข้มงวด หากใครใช้อำนาจในตำแหน่งเอื้อประโยชน์ส่วนตัวก็จะถูกลงโทษจากสภาและแรงกดดันจากสังคมจนไม่สามารถอยู่ในตำแหน่งต่อไปได้ นี่คือความต่างระหว่างประเทศที่มีวัฒนธรรมทางการเมืองเข้มแข็ง กับประเทศไทยที่ไม่มีใครลาออกเองถ้าไม่มีกฎหมายบังคับ

 ด้วยเหตุนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 จึงยก “มาตรฐานจริยธรรม” ขึ้นมาเป็นกลไกสูงสุด และเมื่อบังคับใช้จริง มันได้สร้างแรงสั่นสะเทือนทางการเมืองหลายครั้ง ปารีณา ไกรคุปต์ ถูกตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิตจากคดีรุกป่า ธณิกานต์ พรพงษาโรจน์ ถูกเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งจากคดีเสียบบัตรแทนกัน พรรณิการ์ วานิช ถูกเพิกถอนสิทธิการเมืองเพราะโพสต์พาดพิงสถาบัน เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย ถูกถอดออกจากตำแหน่งเพราะแต่งตั้งผู้ที่เคยต้องโทษคดีอาญาเป็นรัฐมนตรี และแพทองธาร ชินวัตร ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเพราะกรณีโทรศัพท์รั่วที่ถูกตีความว่าเป็นการละเมิดจริยธรรมร้ายแรง ทั้งหมดนี้เป็นหลักฐานชัดเจนว่ามาตรฐานจริยธรรมตามรัฐธรรมนูญ 2560 มี “เขี้ยวเล็บ” ที่กัดนักการเมืองได้จริง

ผลสืบเนื่องอีกด้านคือ กระบวนการตรวจสอบคุณสมบัติและประวัติของผู้ที่จะเป็นรัฐมนตรีก่อนเข้ารับตำแหน่งกลายเป็นสิ่งที่เข้มข้นมากขึ้น ไม่ใช่เพียงตรวจสอบคุณสมบัติทางกฎหมาย แต่ยังตรวจสอบถึงพฤติกรรมและประวัติด้านจริยธรรม เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ที่มีมลทินเข้าสู่ตำแหน่งรัฐมนตรี ผลลัพธ์คือผู้ที่ถูกเสนอชื่อจะถูกตรวจสอบตั้งแต่คดีเก่า ความโปร่งใสในทรัพย์สิน ไปจนถึงพฤติกรรมในชีวิตส่วนตัว กระบวนการตรวจสอบแบบเข้มข้นนี้ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนี่คือผลลัพธ์โดยตรงจากการเขียนมาตรฐานจริยธรรมไว้ในรัฐธรรมนูญ

เมื่อกลไกนี้เริ่มทำงานจริง พรรคการเมืองใหญ่จึงพากันดิ้นรน พรรคเพื่อไทยเจ็บตัวมาแล้วทั้งเศรษฐาและแพทองธาร ย่อมต้องหาทางปลดล็อกเพื่อความอยู่รอด พรรคประชาชนเองก็มี ส.ส. หลายสิบคนที่อาจถูกตรวจสอบจริยธรรม จึงผลักดันในทิศทางเดียวกัน สิ่งที่พวกเขาพูดต่อสังคมคือ  “แก้เพื่อประชาธิปไตย” แต่สิ่งที่พวกเขากำลังทำจริง ๆ คือ  “แก้เพื่อตัวเอง”

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการเตรียมการทำประชามติ เพราะมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญกำหนดว่า หากจะแก้ไขหมวดที่เกี่ยวกับองค์กรอิสระหรือศาล ต้องผ่านการทำประชามติ พรรคการเมืองจึงพยายามบรรจุประเด็นจริยธรรมเข้าไปในชุดการแก้ไขนั้นด้วย เพื่อให้สามารถใช้เสียงประชาชนเป็นเกราะป้องกันตนเอง แต่คำถามคือ ประชาชนจะยอมเสียเงินและเวลาทำประชามติ เพียงเพื่อให้นักการเมืองปลดล็อกจริยธรรมเพื่อความอยู่รอดของพวกเขาหรือไม่

เพราะแม้ว่าจะทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้งใหญ่เพื่อประหยัดงบประมาณ แต่เราต้องทำประชามติอย่างน้อย 2 ครั้งจากที่ศาลรัฐธรรมนูญระบุไว้ว่าต้องทำทั้งหมด 3 ครั้ง แต่ครั้งแรกและครั้งที่สองสามารถรวมไว้ในครั้งเดียวกันได้ ดังนั้นจึงเห็นว่าอย่างน้อยเราต้องทำประชามติแยกในครั้งที่สามอย่างน้อยหนึ่งครั้ง ก่อนหน้านี้คณะรัฐมนตรีเคยเห็นชอบหลักการเบื้องต้น โดยประเมินค่าใช้จ่ายไว้ที่ ประมาณ 3,200 ล้านบาท ส่วนครั้งที่ทำพร้อมเลือกตั้งใหญ่แม้จะประหยัดเงินไปได้บ้าง อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมก็มีอยู่ดี เช่น การพิมพ์บัตรประชามติ, การรณรงค์ให้ประชาชนรู้เรื่องประชามติ, ค่าใช้จ่ายในการจัดการความปลอดภัย, การตรวจสอบร้องเรียน ฯลฯ

ศาลรัฐธรรมนูญเคยยืนยันว่า มาตรฐานจริยธรรมในรัฐธรรมนูญมีเจตนารมณ์ชัดเพื่อยกระดับคุณธรรมของผู้ดำรงตำแหน่ง และการที่ศาลใช้อำนาจตามมาตรฐานนี้ถอดถอนนักการเมืองหลายราย ก็สะท้อนว่าไม่ใช่เครื่องมือกลั่นแกล้ง แต่เป็นกลไกคุ้มครองสาธารณประโยชน์

ความเห็นของ ศาสตราจารย์ไชยันต์ ไชยพร ยิ่งตอกย้ำประเด็นนี้ เขาชี้ว่า หากนักการเมืองไทยมีวัฒนธรรมการเมืองที่เข้มแข็งพอจะลาออกเองเมื่อมีข้อครหา ก็ไม่จำเป็นต้องเขียนมาตรฐานจริยธรรมไว้ในรัฐธรรมนูญ แต่เพราะนักการเมืองไทยไม่เคยทำ จึงต้องมีกฎหมายบังคับ เขายังเตือนด้วยว่าจริยธรรมต้องมีกรอบตีความที่ชัด ไม่เช่นนั้นจะถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองในการเล่นงานฝ่ายตรงข้ามโดยไม่ยึดหลักการ แต่ถึงอย่างไร เขาก็ยืนยันว่าการมีมาตรฐานจริยธรรมเป็นสิ่งที่เลี่ยงไม่ได้ เพราะมันเป็นเครื่องมือสำคัญในการบังคับให้นักการเมืองต้องรับผิดชอบต่อสังคม และเป็นรากฐานของการสร้างวัฒนธรรมการเมืองใหม่ที่ไม่เคยมีในสังคมไทย

ในทางกลับกัน ฝ่ายที่เรียกร้องให้แก้รัฐธรรมนูญหรือเขียนใหม่ เช่นเครือข่ายภาคประชาชนอย่าง iLaw ยกเหตุผลว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้เป็น “มรดก คสช.” ไม่มีความชอบธรรม ไม่ได้มาจากการมีส่วนร่วมของประชาชน และหลายหมวดเขียนซับซ้อนเกินไป กระทบเสรีภาพ ขัดหลักประชาธิปไตย พวกเขาเสนอว่าการแก้ทีละมาตราอาจไม่พอ ต้องเขียนใหม่ทั้งฉบับจึงจะตอบโจทย์จริง ข้อเรียกร้องเหล่านี้มีน้ำหนักในมิติความชอบธรรม แต่เมื่อวกมาเรื่อง “จริยธรรม” สิ่งที่พวกเขามองข้ามไปคือ หากถอดมาตรฐานจริยธรรมออกจากรัฐธรรมนูญ ก็เท่ากับถอด  “ดาบของประชาชน” ที่ใช้ควบคุมนักการเมืองออกไปด้วย การอ้างว่ากฎจริยธรรมถูกใช้เป็นอาวุธทางการเมืองนั้นอาจมีตัวอย่าง แต่ทางแก้คือทำให้กฎมีกรอบชัดเจนและใช้มาตรฐานเดียว ไม่ใช่รื้อออกไปทั้งหมด เพราะนั่นเท่ากับเปิดประตูให้นักการเมืองกลับไปไร้จริยธรรมดังเดิม

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศอื่น ญี่ปุ่นและอังกฤษแสดงให้เห็นว่า การเมืองที่เข้มแข็งต้องตั้งอยู่บนจริยธรรมที่จริงจัง นักการเมืองพร้อมรับผิดชอบโดยไม่ต้องให้ศาลหรือตุลาการมาบังคับ แต่ไทยกลับตรงข้าม ไม่มีใครยอมลาออกเอง เราจึงต้องมีบทบัญญัติที่เข้มข้นในรัฐธรรมนูญเพื่อทำหน้าที่แทนวัฒนธรรมทางการเมืองที่ยังไม่เกิด

ในเชิงทฤษฎีรัฐศาสตร์ นักคิดอย่างอริสโตเติลชี้ว่า การปกครองที่ดีต้องไม่เพียงแต่อาศัยกติกา แต่ต้องอาศัย “คุณธรรมของผู้ปกครอง” (virtue of rulers) เพราะกฎหมายไม่อาจเขียนกำกับทุกเรื่องได้ หากผู้ปกครองไร้คุณธรรม กฎหมายก็กลายเป็นเพียงเครื่องมือของผู้มีอำนาจ ฮันนาห์ อาเรนท์ ยังกล่าวถึง “ความชอบธรรม” (legitimacy) ว่าไม่ใช่เพียงมาจากการเลือกตั้ง แต่จากความไว้วางใจของสังคม ซึ่งยืนอยู่บนพื้นฐานของจริยธรรมและความรับผิดชอบ

ในทางพุทธศาสนา หลัก “ทศพิธราชธรรม” คือกรอบคิดว่าผู้ปกครองต้องมีธรรมะสิบประการ เช่น ทาน, ศีล, ความซื่อตรง, ความอ่อนโยน, ความเพียร, ความไม่โกรธ, ความไม่เบียดเบียน สิ่งเหล่านี้สะท้อนว่าอำนาจทางการเมืองไม่อาจดำรงอยู่อย่างมั่นคงหากขาดจริยธรรม ในมุมนี้ รัฐธรรมนูญ 2560 ที่ยกจริยธรรมขึ้นเป็นกฎหมายสูงสุด จึงไม่ใช่การบั่นทอนประชาธิปไตย แต่กลับเป็นการยึดหลักการเดียวกับที่ปรัชญาตะวันตกและพระพุทธศาสนาต่างชี้ตรงกันว่า ผู้นำต้องมีจริยธรรม

ดังนั้น เหตุผลที่ผมไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2560 แต่แรกคือบทเฉพาะกาลที่สืบทอดอำนาจเผด็จการ แต่เมื่อบทเฉพาะกาลหมดไปแล้ว สิ่งที่เหลือคือรัฐธรรมนูญที่มีมาตรฐานจริยธรรมเข้มข้นและบังคับใช้อย่างแท้จริง ซึ่งไม่เพียงไม่ทำลายประชาธิปไตย แต่กลับเสริมความรับผิดชอบในทางการเมืองมากกว่าที่เคยมีมา ปัญหาอยู่ที่นักการเมืองไม่อยากอยู่ใต้กฎเหล็กนี้ พวกเขาจึงพยายามหาทางแก้รัฐธรรมนูญโดยอ้างประชาธิปไตย ทั้งที่เป้าหมายจริงคือการปลดพันธนาการของตนเอง

 บทสรุปก็คือ รัฐธรรมนูญ 2560 ไม่ได้เป็นปัญหาของประชาธิปไตยอีกต่อไป แต่เป็นปัญหาของนักการเมืองที่ไม่อยากอยู่ใต้โซ่ตรวนของมาตรฐานจริยธรรม การอ้างประชาธิปไตยจึงเป็นเพียงม่านควันบังตา ความจริงคือการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้คือการหาทางทำให้กฎเหล็กทางจริยธรรมหมดเขี้ยวเล็บ เพื่อให้นักการเมืองกลับไปอยู่ในพื้นที่ปลอดภัยที่ไร้การตรวจสอบอีกครั้ง และนี่คือความจริงที่ประชาชนต้องมองให้ทะลุ ไม่ให้ถูกหลอกด้วยวาทกรรมสวยหรู เพราะแท้จริงแล้วเป้าหมายไม่ใช่การคืนอำนาจให้ประชาชน แต่คือการคืนเสรีภาพให้นักการเมืองหลุดพ้นจากพันธนาการแห่งจริยธรรมต่างหาก

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น