อย่างที่ได้หยิบเอาความคิด ความเห็น ของนักยุทธศาสตร์ชาวรัสเซีย “นายKonstantin Sivkov” มาสะท้อนเอาไว้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมานั่นแหละว่า...สำหรับ “สงครามโลกครั้งที่ 3” อันเป็นสงครามที่น่าจะมีความผิดแผกแตกต่างไปจากสงครามโลกครั้งที่ 1 และครั้งที่ 2 อยู่พอสมควร คือเป็นสงครามแบบลูกผสม (Hybrid War) ที่จะต้องสู้กันในทางการเมือง เศรษฐกิจการเงิน-การทอง ไปจนข้อมูล-ข่าวสาร ข่าวลือ ข่าวลวง ฯลฯ ที่มีความสำคัญต่อวิธีคิด วิถีชีวิต ต่อค่านิยมทางสังคมไม่ใช่เพียงแต่จะอาศัย “พลังอำนาจทางทหาร” ในการยึดพื้นที่ ยึดดินแดน ครอบครองน่านฟ้า น่านน้ำ หรือจุดยุทธศาสตร์แห่งใด-แห่งหนึ่ง ได้มาก-น้อยไปกว่ากัน จนอาจขึ้นอยู่กับว่าใครจะ“ยืนระยะ” หรือไม่ “พัง” ลงไปเสียก่อน โดยเฉพาะเมื่อต้องเจอกับปัญหาภายใน หรือแรงกดดันภายใน...
แต่ถึงกระนั้นก็ตาม...ในแง่ของศักยภาพ หรือ “แสนยานุภาพทางทหาร” ของแต่ละฝ่าย ไม่เพียงแต่จะเป็นตัวสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายตรงข้ามได้อย่างหนักหน่วงรุนแรงแต่เพียงเท่านั้น แต่ยังถือเป็นตัว “ป้องปราม” หรือเป็นตัวสร้างความเกรงขามที่จะช่วยสะกดความกระเหี้ยนกระหือรือ ความกระหายสงคราม ให้มันลดน้อยถอยลงไปได้มั่ง ชนิดอาจถือเป็น“เครื่องมือ” ชิ้นหนึ่งและชิ้นสำคัญ ของกระบวนการที่อาจก่อให้เกิด “สันติภาพ” ขึ้นมาแทนที่ก็ย่อมได้ ด้วยเหตุนี้...ปิดท้ายสัปดาห์นี้ เลยคงต้องขออนุญาตลองไป “วัดช่วงชก” ไปสำรวจตรวจสอบ พลังอำนาจทางทหารของผู้ที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับผู้ที่คิดจะครอบโลก ครองโลก หรือบรรดาพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” ทั้งหลาย นั่นคือ “มหาอำนาจคู่แข่ง” ของคุณพ่ออเมริกา อย่างจีนและรัสเซีย 2 หุ้นส่วนยุทธศาสตร์ที่ไร้ขีดจำกัด ผู้มุ่งที่จะปรับเปลี่ยนทุกสิ่งทุกอย่าง ให้เป็นไปในแบบ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ขึ้นมาให้จงได้!!!
เพราะช่วงหลังๆ นี้...ไม่เพียงแต่บรรดาพวก “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” ของอเมริกาในยุโรป อย่างอียู-อีย้วยหรือพวกพันธมิตรในองค์กรทหารอย่าง “NATO” เท่านั้น ที่ออกอาการกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ ในการเปิด “ศึกนรกแตก” หรือเปิดฉากสงครามโดยตรง กับรัสเซีย วัน-สองวันก่อน...ยังมีข่าวแปลกๆ อย่างข่าวเรื่องการเรียกประชุมบรรดานายพลจำนวน 838 คน จากจำนวนกองพลทั่วโลกของคุณพ่ออเมริกาที่เมือง “Quantico” รัฐเวอร์จิเนีย โดยรัฐมนตรีกลาโหม “นายPete Hegseth” เพื่อให้มาฟังอะไรต่อมิอะไร จากผู้ที่กระหายจะได้รางวัล “โนเบลสันติภาพ” อย่าง “ทรัมป์บ้า” อย่างเป็นระบบและกิจการ รวมทั้งรายงานข่าวล่าสุดของ “The Wall Street Journal” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ 29 ก.ย.ที่ผ่านมานี่เอง ถึงการระดมบรรดาผู้ผลิตขีปนาวุธรายสำคัญๆ ของอเมริกา ให้มาร่วมหาหนทางที่จะผลิตอาวุธและกระสุนให้กับกองทัพอเมริกันเพิ่มขึ้นอีกเป็น 2 เท่า หรือ 4 เท่า ชนิดถึงกับต้องจัดตั้งขึ้นเป็น “คณะกรรมการเร่งรัดผลิตกระสุน” เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ถึงแม้จะทุ่มทุน ทุ่มเท กันถึงขนาดไหน เห็นว่า...ราวๆ25,000 ล้านดอลลาร์ภายใน 5 ปี เพื่อให้พอมีจรวด มีกระสุน เอาไว้ใช้ในการทำ “สงคราม” ในอนาคตเบื้องหน้า แต่ถ้าฟังจากน้ำเสียงของเลขาธิการ “NATO” อย่าง “นายMark Rutte”แล้ว โอกาสที่จะวิ่งไล่กวด ไล่ตาม พลังอำนาจทางทหารของรัสเซียในเรื่องนี้ก็ดูจะยากเย็นแสนเข็ญอยู่พอประมาณ โดยเฉพาะจากคำพูดที่ว่า... “อาวุธที่รัสเซียผลิตได้ภายใน 3 เดือน แต่สำหรับ NATO แล้ว ไม่ว่าเราจะระดมผลิต ชนิดตั้งแต่ลอสแอนเจลิสไปจนถึงแองการาเอาเลยก็ตาม เรายังจะต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปีขึ้นไป” นี่...เพียงเท่านี้ ก็น่าจะถือเป็น “คำตอบ”ให้กับบรรดาผู้กระหายสงครามทั้งหลาย ได้พอรู้สึก สำนึก ว่าน่าจะหันมาแสวงหา “(รางวัล)สันติภาพ” มากกว่าที่คิดจะกระเหี้ยนกระหือรือใดๆ อีกต่อไป...
ยิ่งถ้าลองไปสำรวจตรวจสอบบรรดา “ขีปนาวุธ” ที่ฝ่ายรัสเซียเขาติดตั้งประจำการ หรือกำเอาไว้ในมือเพื่อใช้เป็นเครื่อง “ป้องปราม” ให้ทุกๆ ฝ่ายต้องหันมาเดินในแนวทางสันติภาพด้วยแล้ว ยิ่งน่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งขึ้นไปใหญ่สำหรับบรรดาผู้กระหายสงครามทั้งหลาย เพราะเพียงแค่หัวรบนิวเคลียร์ที่ถูกติดตั้งประจำการไว้ในดินแดนหมีขาว ที่มีจำนวนมากถึง 1,710 หัวรบ และที่สะสมเอาไว้รอประจำการอีกถึง 2,670 หัวรบ เพียงเท่านี้...ก็แทบไม่ต้องเสียเวลาวิเคราะห์ สังเคราะห์ใดๆ เอาเลยว่าใครจะเป็น “ฝ่ายชนะ” มีแต่จะต้องตายโหง-ตายห่า ไปด้วยกันทุกฝ่ายนั่นแล โดยเฉพาะเมื่อคำนึงถึง “ขีดความสามารถ” ของจรวดรัสเซีย อย่างเช่น “Avangard”ขีปนาวุธระดับ “ICBMs” หรือระดับ “จรวดข้ามทวีป” ที่มีความเร็วถึงขั้น “Mach 28” หรือเร็วกว่าเสียงถึง 28 เท่า โอกาสที่พื้นที่แต่ละซีกโลกจะถล่มทลายภายในช่วงระยะเวลาแค่ไม่เกิน30 นาที ย่อมมีความเป็นไปได้อยู่แล้วแน่ๆ...
หรือแม้แต่จรวด “Iskander” ที่กองสุมๆ เอาไว้ในดินแดนต่อเนื่องไปจากรัสเซีย อย่างเมือง Kaliningrad ว่ากันว่าสามารถใช้ถล่มดินแดนลิทัวเนีย ลัตเวีย เอสโตเนีย เยอรมนี โปแลนด์ ได้ในชั่วเวลาแค่เพียง 1 นาทีเท่านั้น โดยมีข้อพิสูจน์ ยืนยัน จากการทดสอบ หรือการซ้อมรบ “Zapad” ระหว่างรัสเซียกับพันธมิตรเบลารุสมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2021 โน่นเลย ยิ่งหลังๆนี้...รัสเซียเขาดันมีขีปนาวุธ “Hypersonic” รุ่นใหม่ล่าสุด ที่รู้จักกันในนาม “Oreshnik” ด้วยแล้ว ยิ่ง...โกบิ๊ก!!! ไปกันใหญ่ยิ่งขึ้นไปเท่านั้น เพราะสามารถใช้ถล่มกองบัญชาการ “NATO” ที่กรุงบรัสเซลส์ ภายในเวลาประมาณ 17 นาทีเท่านั้นเอง สามารถถล่มฐานทัพอากาศ“Ramstein” ในเยอรมนี ภายในเวลาแค่ 15 นาที ถล่มฐานทัพอากาศ “Redzikowo” ในโปแลนด์ ในเวลาแค่ 11 นาที ฯลฯ แถมยังเป็นขีปนาวุธที่ผู้นำรัสเซีย อย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านเคยแสดงความมั่นอก-มั่นใจ ว่ามีความเร็วและความแม่นยำในระดับที่...“ไม่มีระบบป้องกันภัยทางอากาศใดๆ ในศตวรรษที่ 21 ที่จะสามารถหยุดยั้งอาวุธชนิดนี้ได้” เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
ส่วนพญามังกรอย่างคุณพี่จีนนั้น...ยิ่งน่าขนหัวลุก ขนคอตั้ง ยิ่งขึ้นไปอีก โดยเฉพาะเมื่อมีการงัดเอาขีปนาวุธในแต่ละรุ่น ออกมาอวด ออกมาโชว์ ในช่วงการสวนสนามวันแห่งชัยชนะ เมื่อวันที่ 3 ก.ย.ที่ผ่านมา ถึงขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญอาวุธชาวรัสเซีย อย่าง “นายDmitry Kornev” ผู้ก่อตั้งโครงการ “The Military Russia Project” ต้องร่ายเรียงไว้เป็นข้อเขียน บทความ เอาเลยว่า... “The might of the Dragon : Why China’s missile keep US admirals awake at night” หรือต้อง “สะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก”เมื่อนึกถึงบรรดาขีปนาวุธรุ่นต่างๆ ที่คุณพี่จีนท่านควักมาอวด มาโชว์ ในช่วงวาระดังกล่าวอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้...
คือแค่เฉพาะจรวด “DF-5C” ที่ถูกเรียกว่า “Global Missile” หรือจรวดแห่งโลก ที่มีพิสัยทำการระดับ 20,000 กม.ขึ้นไป แค่นี้ก็ “หลับไม่ลง” พอสมควรแล้ว แต่ยังแถมมี“DF-26”, “DF-31”, “DF-41” ไปจนถึง “DF-61” โน่นเลย โดยแต่ละรุ่น แต่ละราย ล้วนแล้วแต่ทำให้ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก เหงื่อแตกพลั่กๆๆ ไปด้วยกันทั้งสิ้น ทั้งปวง ไม่ว่าตั้งแต่ “DF-26” ที่ถูกเรียกขานในนาม “carrier killer” หรือ “นักฆ่าเรือบรรทุกเครื่องบิน” โดยเฉพาะ ที่มีพิสัยทำการยาวไกลถึง 4,000 กม. แถมยังเป็นประเภท “Hypersonic” หรือความเร็วเหนือเสียงอีกซะล่วย!!! ขณะที่ “DF-31 AG” พิสัยทำการปาเข้าไปถึง 8,000-10,000 กม.น้อยกว่า “DF-41” ไม่เท่าไหร่ และยังสามารถแตกเป็นหัวรบออกได้ถึง 8 หัวรบ ชนิดระบบป้องกันไม่รู้จะสกัดกั้นหัวรบหัวไหนกันก่อนดี...
ยิ่ง “DF-61” ยิ่งไปไกลแบบไปไม่กลับ-หลับไม่ตื่น-ฟื้นไม่มี-หนีไม่พ้น อย่างมิพึงต้องสงสัย หรือถึงขั้นถูกยกให้เป็นขีปนาวุธระดับ “ผู้เปลี่ยนเกม” หรือสามารถเปลี่ยนฉากสถานการณ์สงครามจากหลังตีนเป็นหน้ามือ หรือหน้ามือเป็นหลังตีนก็แล้วแต่จะว่ากันไป เพราะนอกจากจะเป็นขีปนาวุธที่มีพิสัยทำการครอบคลุมไปในระดับทั่วทั้งโลก หรือไม่ต่ำกว่า 20,000 กม.เป็นอย่างน้อย ยังเป็นจรวด “Hypersonic” ที่มีระดับความเร็วสูงถึง “Mach 55” เอาเลยถึงขั้นนั้น แถมยังสามารถแตกหัวรบออกได้ถึง 18 หัวรบ นำร่องด้วยระบบ “QPS” (Quantum Positioning System) สามารถปรับเปลี่ยนเส้นทางด้วยปัญญาประดิษฐ์ หรือ “AI” จนทำให้มีโอกาสหลบหลีกการตรวจจับของเรดาร์แทบทุกชนิด ก่อให้เกิดความแม่นยำในการถล่มเป้าหมายที่ถูกกำหนดเอาไว้ แค่ไม่เกิน 50 เมตร...
นี่...พญามังกรจีนท่านไปไกล ไปเร็ว ไปแรงถึงขั้นนั้น!!! หรือถึงขั้นที่ผู้เชี่ยวชาญอาวุธอย่าง “นายDmitry Kornev” ต้องสรุปเอาไว้ว่า... “วันที่ 3 ก.ย. 2025 (วันแห่งชัยชนะ) ไม่ใช่เป็นเพียงแค่วันเฉลิมฉลองในพิธีสวนสนามของกองทัพประชาชนจีนเท่านั้น แต่เป็นการ...ส่งสัญญาณ...ของจีน ที่แสดงให้เห็นถึงความพร้อมในการตอบโต้ต่อการถูกโจมตีในสงครามนิวเคลียร์ รวมทั้งยังแสดงให้เห็นถึงขีดความสามารถในการปกป้องพื้นที่โดยรอบทะเลจีนใต้ได้เป็นอย่างดี” และอาจด้วยข้อสรุปเช่นนี้นี่เอง...ที่ทำให้บรรดาทวยทหารของคุณพี่จีน เขาจึงพร้อมใจกันกู่ตะโกนระหว่างพิธีตรวจพลสวนสนามของผู้นำประเทศ ประธานาธิบดี “สี จิ้นผิง” ด้วยคำพูดที่ว่า...ประชาชนจงเจริญ!!! ความยุติธรรมจงเจริญ!!! และสันติภาพจงเจริญ!!!