รัฐบาลพรรคภูมิใจไทยซึ่งเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขยุบสภาฯ ใน 4 เดือน ยังไม่ทันได้รับการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณสาบานตนเพื่อเข้ารับตำแหน่ง นักการเมืองได้เคลื่อนไหวย้ายจากพรรคที่มีแนวโน้มว่าจะได้รับเลือกตั้งน้อยลง เช่น พรรคเพื่อไทย และพรรครวมไทยสร้างชาติ เป็นต้น ไปสังกัดพรรคที่มีแนวโน้มว่าจะได้เลือกตั้งเพิ่มขึ้น เช่น พรรคภูมิใจไทย เนื่องจากมีข้อได้เปรียบทางการเมืองจากเป็นรัฐบาลก่อนเลือกตั้งมีโอกาสทำผลงาน และรักษาการในขณะเลือกตั้งมีอำนาจเกื้อหนุน เนื่องจากมีนายทุนกระเป๋าหนักเกื้อหนุน เป็นต้น
ส่วนผลการเลือกตั้งซึ่งจะเกิดขึ้นจริงถ้ามีการยุบสภาฯ ภายใน 4 เดือนตามเงื่อนไขที่พรรคภูมิใจไทยตกลงไว้กับพรรคประชาชนจะเป็นอย่างไร พรรคไหนจะได้รับเลือกเข้ามาเป็นอันดับหนึ่งนั้น ถ้าพิจารณาจากเหตุปัจจัยทางการเมืองที่เป็นอยู่ในขณะนี้ ประกอบกับข้อดีและข้อด้อยของแต่ละพรรค โดยเฉพาะ 3 พรรคใหญ่คือ พรรคประชาชน, พรรคภูมิใจไทย และพรรคเพื่อไทย อนุมานได้ดังนี้คือ
1. พรรคประชาชนซึ่งเป็นพรรคที่มีกระแสตอบรับจากคนรุ่นใหม่ และได้รับชัยชนะอันดับหนึ่งเนื่องจากเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา และในครั้งนี้ถ้าดูจากผลโพลสำนักต่างๆ ก็ยังคงมีแนวโน้มว่าจะได้รับเลือกเป็นอันดับหนึ่ง แต่จำนวน สส.ที่ได้ลดลงจากครั้งที่แล้ว เนื่องจากพฤติกรรมองค์กรไม่เป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่ โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันเบื้องสูงและกองทัพ รวมไปถึงพฤติกรรมอันเป็นปัจเจกของ สส.บางคนของพรรคที่แสดงออกด้วยคำพูด เช่น ทหารมีไว้ทำไม, กองทัพส้นตีน ซึ่งประชาชนได้ฟังแล้วรับไม่ได้ รวมไปถึงคำพูดที่เกี่ยวกับองค์กรพุทธศาสนาที่ชาวพุทธได้ฟังแล้วยอมรับไม่ได้ในทำนองเดียวกัน
จากพฤติกรรมดังกล่าวข้างต้น ทำให้พรรคประชาชนเป็นองค์กรที่ด้อยค่าในสายตาของกลุ่มอนุรักษนิยม
2. พรรคภูมิใจไทยในฐานะรัฐบาลก่อนการเลือกตั้งมีโอกาสสร้างผลงาน ถ้าทำได้เข้าตาประชาชน เชื่อได้ว่ามีคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นแน่นอน ประกอบกับเป็นรัฐบาลรักษาการหลังยุบสภาฯ ย่อมได้เปรียบทางการเมือง เนื่องจากมีอำนาจรัฐอยู่ในมือ จึงอนุมานได้ว่ามีโอกาสได้รับเลือกเพิ่มขึ้น ถึงแม้ว่าไม่ชนะพรรคประชาชนแต่เชื่อว่าจำนวนใกล้เคียงกัน ประกอบกับเป็นพรรคในกลุ่มอนุรักษนิยม จึงง่ายต่อการหาพันธมิตรในการจัดตั้งรัฐบาล เมื่อเทียบกับพรรคประชาชนจึงเป็นจุดขายทางการเมืองให้นักการเมืองวิ่งเข้าหาก่อนการเลือกตั้ง และบรรดาพรรคการเมืองขนาดกลางและขนาดเล็กวิ่งเข้าหาหลังเลือกตั้งจึงง่ายต่อการรวบรวมเสียงเพื่อเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลมากกว่าพรรคประชาชน
3. พรรคเพื่อไทยนับจากที่นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถูกถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ถูกศาลฎีกาพิพากษาให้กลับไปติดคุกจึงประสบภาวะตกต่ำทางการเมือง ทำให้ สส.หลายคนตีตัวออกห่างจากพรรค จึงอนุมานได้ว่าเลือกตั้งครั้งต่อไปได้รับเลือกน้อยลงเหลือไม่ถึงร้อยแน่นอน ดังนั้น พรรคเพื่อไทยจากนี้ไปจึงมิใช่คู่แข่งของพรรคประชาชน และพรรคภูมิใจไทย แต่จะลดชั้นลงไปแข่งกับพรรคขนาดกลางเพื่อชิงอันดับ 3 และอาจไม่ได้เข้าร่วมเป็นรัฐบาลด้วยซ้ำไป
นอกจาก 3 พรรคข้างต้นเป็นได้แค่ตัวประกอบ และรอการรับเชิญเข้าร่วมรัฐบาลเท่านั้น
ดังนั้น ในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ถ้าอนุมานจากปัจจัยแวดล้อมแล้ว พรรคประชาชนหรือพรรคภูมิใจไทยเท่านั้นที่จะมีโอกาสเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล และในสองพรรคนี้พรรคภูมิใจไทยมีโอกาสมากกว่าพรรคประชาชน