คนแคระบนบ่ายักษ์
ไชยันต์ ไชยพร
ในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน นอกจากความโดดเด่นประการแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว คือชาวนาสวีเดนไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) และเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด และมีสิทธิ์เสรีภาพในการปกครองตนเองผ่านที่ประชุมท้องถิ่นตามประเพณีการปกครองที่เรียกว่า ting อีกทั้งยังมีตัวแทนในสภาฐานันดรมีบทบาทสำคัญทั้งการทัดทานและการสนับสนุนอำนาจของฐานันดรอภิชนหรือพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญต่าง ๆ
ความโดดเด่นประการที่สองคือ สวีเดนเป็นประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ในปี ค.ศ. 1680 หลังเดนมาร์กราว 20 ปี และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติในสภาฐานันดร (Riksdag) และในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง
ความโดดเด่นประการที่สาม คือ การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนมีอายุเพียง 38 ปี (ค.ศ. 1680 – 1718) นับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรปหรือแม้แต่กับประเทศไทยเอง หากนับว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2435-2475 ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กมีอายุถึง 189 ปี (ค.ศ. 1660 – 1849)
อะไรคือ สาเหตุของที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนมีอายุขัยเพียง 38 ปี ?
สาเหตุหลักประการหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศต่างๆโดยทั่วไปคือ สงคราม อันได้แก่ การพ่ายแพ้สงคราม หรือ การวิตกกังวลว่าจะพ่ายแพ้สงคราม และการพ่ายแพ้สงครามหรือการวิตกกังวลว่าจะแพ้สงครามอาจจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกรองหรือเป็นเพียงเปลี่ยน แปลงตัวผู้ปกครองก็ได้
ปรากฏการณ์ที่การพ่ายแพ้สงครามเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการปกครองหรือตัวบุคคลปรากฎให้เห็นชัดเจนในยุคกรีกและโรมันโบราณ ที่ในช่วงเวลานั้น นครรัฐต่างๆ มิได้อยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองเดียวกันเหมือนอย่างในช่วงยุคกลางจนถึงต้นยุคสมัยใหม่ในยุโรปที่ประเทศส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะปกครองภายใต้รูปแบบราชาธิปไตย ซึ่งการพ่ายแพ้สงครามของประเทศในยุโรปในช่วงระหว่างยุคกลางจนถึงต้นสมัยใหม่ ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบหรือรูปแบบการปกครอง แต่จะเปลี่ยนเพียงตัวบุคคลเท่านั้น แต่หลังจากยุคต้นสมัยใหม่เป็นต้นไป ได้เกิดรูปแบบการปกครองที่ขึ้นมาท้าทายราชาธิปไตย อันได้แก่ รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐสมัยใหม่และการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้การพ่ายแพ้สงครามในช่วงดังกล่าวนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้
แต่ในกรณีของนครรัฐกรีกและโรมันโบราณ ในช่วงศตวรรษที่เจ็ดและหกก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ยังไม่ปรากฏว่า มีรูปแบบการปกครองใดที่เป็นที่นิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ดังนั้น นครรัฐต่างๆ ในขณะนั้นจะมีประสบการณ์ที่เข้มข้นเกี่ยวกับความขัดแย้งแตกต่างในเรื่องรูปแบบการปกครอง นครรัฐต่างๆ จะปกครองภายใต้รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันที่สามารถจำแนกได้ดังนี้คือ ราชาธิปไตย การปกครองของทรราช คณาธิปไตย อภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตย ดังนั้น เมื่อนครรัฐใดที่มีรูปแบบการปกครองแบบหนึ่งพ่ายแพ้สงครามแก่อีกนครรัฐหนึ่งที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างไป ผลลัพธ์ที่มักจะเกิดขึ้นคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในนครรัฐที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ปรากฎการณ์ดังกล่าวจะพบได้ในงานของ Herodotus และ Thucydides โดยในงานของ Herodotus จะกล่าวถึงการทำสงครามระหว่างกรีซทั้งหลายกับเปอร์เซีย ซึ่งชาวกรีกในนครรัฐต่างๆได้รวมตัวกันต่อสู้กับเปอร์เซีย นอกจากจะมีปัจจัยอื่น เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยสำคัญคือปัจจัยทางการเมืองที่เปอร์เซียมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างจากไปจากของชาวกรีก โดยชาวกรีกในนครัฐต่างๆที่แม้นว่าจะมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ก็เห็นพ้องกันว่า รูปแบบการปกครองของเปอร์เซียเป็นรูปแบบการปกครองของทรราช ซึ่งแม้นว่านครรัฐกรีกจำนวนไม่น้อยได้ผ่านประสบการณ์การปกครองภายใต้ทรราชมาก่อนในศตวรรษที่เจ็ดและหกก่อนคริสตกาล และในช่วงเริ่มแรก การปกครองของทรราชยังไม่ได้ความหมายในแง่ลบสำหรับชาวกรีกโบราณ
แต่ต่อมาหลังจากผ่านประสบการณ์การปกครองของทรราชไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง และการปกครองของทรราชเริ่มเสื่อมลง ชาวกรีกในนครรัฐต่างๆ เริ่มมีแนวคิดที่เห็นว่า การปกครองของทรราชเป็นการปกครองที่เลวร้าย ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างชาวกรีกกับเปอร์เซียคือ ปัจจัยเรื่องรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน อีกทั้งในงานของ Herodotus ยังได้กล่าวถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองต่างๆ (the constitutional debate) ที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลานั้น สะท้อนให้เห็นถึงปรากฎการณ์ของการมีรูปแบบการปกครองที่หลากหลาย และยังไม่ได้มีเอกภาพในค่านิยมที่มีต่อรูปแบบบการปกครองใดรูปแบบการปกครองหนึ่ง
ส่วนงานของ Thucydides เป็นบันทึกเรื่องราวการทำสงครามระหว่างชาวกรีกด้วยกันเองหลังจากที่ได้ร่วมกันรบต่อสู้กับเปอร์เซียแล้ว นั่นคือ สงครามระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตา และเช่นกัน นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยด้านรูปแบบการปกครองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกือบสามสิบปี โดยเอเธนส์ปกครองด้วยรูปแบบประชาธิปไตย ส่วนสปาร์ตาปกครองด้วยรูปแบบการปกครองที่โน้มเอียงไปในแบบอภิชนาธิปไตย โดยทั้งสองนครรัฐต่างช่วงชิงกันเป็นมหาอำนาจในหมู่นครรัฐกรีกทั้งหลาย ที่แต่เดิมสปาร์ตาเคยเป็นผู้นำของนครรัฐกรีกในการต่อสู้กับเปอร์เซีย
การทำสงครามระหว่างเอเธนส์และสปาร์ตาได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในนครรัฐต่างๆ จากการที่แต่ละฝ่ายพยายามขยายอำนาจของตนไปยังนครรัฐอื่นๆเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและครองความเป็นเจ้า (hegemony) และโดยส่วนใหญ่แล้ว นครรัฐใดที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างไปจากเอเธนส์หรือสปาร์ตา ก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองให้เป็นรูปแบบการปกครองของฝ่ายที่สามารถพิชิตได้
อย่างไรก็ตาม การวิตกกังวลว่าจะพ่ายแพ้สงครามก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของนครรัฐกรีกโบราณได้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่านครรัฐกรีกโบราณไม่ได้อยู่ภายใต้อุดมการณ์ของรูปแบบการปกครองแบบเดียวกัน แต่ปกครองภายใต้รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน และจากการที่มีรูปแบบการปกครองหลากหลายดังที่ได้กล่าวไป ผู้คนทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ในแต่ละนครรัฐก็ไม่ได้มีเอกภาพในความนิยมต่อรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่นครรัฐของตน แต่มักจะมีความเห็นต่างภายในนครรัฐอยู่เสมอ
ดังนั้น ในยามที่มีศึกสงคราม หากนครรัฐของตนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และโน้มเอียงที่จะแพ้สงคราม ก็มักจะมีกลุ่มคนในนครรัฐนั้นที่คิดว่า การแพ้สงครามมาจากปัจจัยข้อบกพร่องที่เกิดจากตัวรูปแบบการปกครอง คนกลุ่มนี้ก็มักจะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ไปสู่รูปแบบการปกครองอื่น และแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปกครองอยู่ขณะนั้นและจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศด้วย หรือไม่ก็มีกลุ่มคนในนครรัฐที่ไม่พอใจรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ที่นำไปสู่ความขัดแย้งกับอีกนครรัฐหนึ่งที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันแต่เป็นรูปแบบการปกครองที่กลุ่มคนในนครรัฐนิยม ส่งผลให้กลุ่มคนดังกล่าวทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ในนครรัฐของตนไปเป็นรูปแบบการปกครองแบบเดียวกันกับนครรัฐที่กำลังทำสงครามด้วย
โดยหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามที่กำลังในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของสวีเดน ค.ศ. 1718 สงครามเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สงครามที่ว่านี้คือ “มหาสงครามทางเหนือ” (the Great Northern War) ที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1700-1721 อันเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศที่รวมตัวกันภายใต้การนำของรัสเซียทำสงครามกับสวีเดน และฝ่ายต่อต้านสวีเดนประสบความสำเร็จในการท้าทายจักรวรรดิสวีเดนที่ครองอำนาจสูงสุดเหนือยุโรปกลาง เหนือและตะวันออก โดยประเทศที่รวมตัวกันโค่นจักรวรรดิสวีเดน ได้แก่ รัสเซีย เดนมาร์ก-นอร์เวย์ โปแลนด์-ลิทัวเนีย บริเตนใหญ่ ฯ และการตัดสินใจทำสงครามภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นอยู่กับเอกบุคคลผู้เป็นพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญและไม่มีผู้ใดจะทัดทานได้
แต่จากการวมตัวกันของหลายประเทศภายใต้การนำของรัสเซีย การตัดสินใจเข้าสู่มหาสงครามทางเหนือของสวีเดนนั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงและทะเยอทะยานอย่างยิ่ง และ พระมหากษัตริย์ผู้ตัดสินใจนำสวีเดนเข้าสู่สงครามดังกล่าวคือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองพระมหากษัตริย์สวีเดนผู้ทรงเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่และไม่สนพระทัยในชีวิตสมรสหรือความเพลิดเพลินต่างๆ ตามที่ผู้อยู่ในสถานะของพระมหากษัตริย์ทั่วไปจะสามารถทำได้ตามปรารถนา แต่ตลอดชีวิตของพระองค์ ทรงมุ่งมั่นกับการทำสงครามเพื่อความยิ่งใหญ่ของสวีเดน ในการเข้ามหาสงครามทางเหนือ พระองค์ทรงต้องการจะบูรณการและขยายความเป็นจักรวรรดิของสวีเดนออกไป จนมีผู้กล่าวว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะให้คาบสมุทรบอลติก (the Baltic) เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งของสวีเดน
แต่ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วยความหายนะอย่างใหญ่หลวง สวีเดนต้องสูญเสียผู้คนไปถึงหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด เศรษฐกิจต้องย่อยยับต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ สูญเสียดินแดนในแถบทะเลบอลติกไปทั้งหมดยกเว้นฟินแลนด์ และเมื่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองเสด็จสวรรคตในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1718 การพ่ายแพ้สงครามของสวีเดนได้นำมาซึ่งความหน่ายแหนงต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชสิทธิ์และพระราชอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจนำพาประเทศเข้าสู่สงคราม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนจึงตกอยู่ในสภาพที่ไร้ความนิยมอย่างถึงที่สุด
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังไม่ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์ด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
ไชยันต์ ไชยพร
ในการทำความเข้าใจวิวัฒนาการระบอบพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญของสวีเดน นอกจากความโดดเด่นประการแรกที่ได้กล่าวไปแล้ว คือชาวนาสวีเดนไม่เคยตกเป็นทาสติดที่ดิน (serfdom) และเป็นชาวนาเสรีมาโดยตลอด และมีสิทธิ์เสรีภาพในการปกครองตนเองผ่านที่ประชุมท้องถิ่นตามประเพณีการปกครองที่เรียกว่า ting อีกทั้งยังมีตัวแทนในสภาฐานันดรมีบทบาทสำคัญทั้งการทัดทานและการสนับสนุนอำนาจของฐานันดรอภิชนหรือพระมหากษัตริย์ในเหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญต่าง ๆ
ความโดดเด่นประการที่สองคือ สวีเดนเป็นประเทศที่เปลี่ยนแปลงไปสู่ “สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ในปี ค.ศ. 1680 หลังเดนมาร์กราว 20 ปี และเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ไม่มีการใช้ความรุนแรงเสียเลือดเนื้อแต่อย่างใด โดยเป็นการเปลี่ยนแปลงผ่านทางกระบวนการนิติบัญญัติในสภาฐานันดร (Riksdag) และในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดน ยังคงให้สภาฐานันดรมีอำนาจนิติบัญญัติอยู่บ้าง
ความโดดเด่นประการที่สาม คือ การปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของสวีเดนมีอายุเพียง 38 ปี (ค.ศ. 1680 – 1718) นับว่าสั้นมากเมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในยุโรปหรือแม้แต่กับประเทศไทยเอง หากนับว่าประเทศไทยมีการปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ตั้งแต่ พ.ศ. 2435-2475 ในขณะที่ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ของเดนมาร์กมีอายุถึง 189 ปี (ค.ศ. 1660 – 1849)
อะไรคือ สาเหตุของที่ทำให้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนมีอายุขัยเพียง 38 ปี ?
สาเหตุหลักประการหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงการปกครองของประเทศต่างๆโดยทั่วไปคือ สงคราม อันได้แก่ การพ่ายแพ้สงคราม หรือ การวิตกกังวลว่าจะพ่ายแพ้สงคราม และการพ่ายแพ้สงครามหรือการวิตกกังวลว่าจะแพ้สงครามอาจจะเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกรองหรือเป็นเพียงเปลี่ยน แปลงตัวผู้ปกครองก็ได้
ปรากฏการณ์ที่การพ่ายแพ้สงครามเป็นปัจจัยที่นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครอง ไม่ว่าจะเป็นรูปแบบการปกครองหรือตัวบุคคลปรากฎให้เห็นชัดเจนในยุคกรีกและโรมันโบราณ ที่ในช่วงเวลานั้น นครรัฐต่างๆ มิได้อยู่ภายใต้รูปแบบการปกครองเดียวกันเหมือนอย่างในช่วงยุคกลางจนถึงต้นยุคสมัยใหม่ในยุโรปที่ประเทศส่วนใหญ่หรือเกือบทั้งหมดจะปกครองภายใต้รูปแบบราชาธิปไตย ซึ่งการพ่ายแพ้สงครามของประเทศในยุโรปในช่วงระหว่างยุคกลางจนถึงต้นสมัยใหม่ ไม่ได้นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงระบอบหรือรูปแบบการปกครอง แต่จะเปลี่ยนเพียงตัวบุคคลเท่านั้น แต่หลังจากยุคต้นสมัยใหม่เป็นต้นไป ได้เกิดรูปแบบการปกครองที่ขึ้นมาท้าทายราชาธิปไตย อันได้แก่ รูปแบบการปกครองแบบสาธารณรัฐสมัยใหม่และการปกครองที่พระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทำให้การพ่ายแพ้สงครามในช่วงดังกล่าวนี้ นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองได้
แต่ในกรณีของนครรัฐกรีกและโรมันโบราณ ในช่วงศตวรรษที่เจ็ดและหกก่อนคริสตกาลเป็นต้นมา ยังไม่ปรากฏว่า มีรูปแบบการปกครองใดที่เป็นที่นิยมและมีอิทธิพลมากที่สุดที่เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ดังนั้น นครรัฐต่างๆ ในขณะนั้นจะมีประสบการณ์ที่เข้มข้นเกี่ยวกับความขัดแย้งแตกต่างในเรื่องรูปแบบการปกครอง นครรัฐต่างๆ จะปกครองภายใต้รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันที่สามารถจำแนกได้ดังนี้คือ ราชาธิปไตย การปกครองของทรราช คณาธิปไตย อภิชนาธิปไตยและประชาธิปไตย ดังนั้น เมื่อนครรัฐใดที่มีรูปแบบการปกครองแบบหนึ่งพ่ายแพ้สงครามแก่อีกนครรัฐหนึ่งที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างไป ผลลัพธ์ที่มักจะเกิดขึ้นคือ เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในนครรัฐที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้
ปรากฎการณ์ดังกล่าวจะพบได้ในงานของ Herodotus และ Thucydides โดยในงานของ Herodotus จะกล่าวถึงการทำสงครามระหว่างกรีซทั้งหลายกับเปอร์เซีย ซึ่งชาวกรีกในนครรัฐต่างๆได้รวมตัวกันต่อสู้กับเปอร์เซีย นอกจากจะมีปัจจัยอื่น เช่น ปัจจัยทางเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยสำคัญคือปัจจัยทางการเมืองที่เปอร์เซียมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างจากไปจากของชาวกรีก โดยชาวกรีกในนครัฐต่างๆที่แม้นว่าจะมีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน แต่ก็เห็นพ้องกันว่า รูปแบบการปกครองของเปอร์เซียเป็นรูปแบบการปกครองของทรราช ซึ่งแม้นว่านครรัฐกรีกจำนวนไม่น้อยได้ผ่านประสบการณ์การปกครองภายใต้ทรราชมาก่อนในศตวรรษที่เจ็ดและหกก่อนคริสตกาล และในช่วงเริ่มแรก การปกครองของทรราชยังไม่ได้ความหมายในแง่ลบสำหรับชาวกรีกโบราณ
แต่ต่อมาหลังจากผ่านประสบการณ์การปกครองของทรราชไปได้ช่วงเวลาหนึ่ง และการปกครองของทรราชเริ่มเสื่อมลง ชาวกรีกในนครรัฐต่างๆ เริ่มมีแนวคิดที่เห็นว่า การปกครองของทรราชเป็นการปกครองที่เลวร้าย ดังนั้น ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามระหว่างชาวกรีกกับเปอร์เซียคือ ปัจจัยเรื่องรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน อีกทั้งในงานของ Herodotus ยังได้กล่าวถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับรูปแบบการปกครองต่างๆ (the constitutional debate) ที่ดำรงอยู่ในช่วงเวลานั้น สะท้อนให้เห็นถึงปรากฎการณ์ของการมีรูปแบบการปกครองที่หลากหลาย และยังไม่ได้มีเอกภาพในค่านิยมที่มีต่อรูปแบบบการปกครองใดรูปแบบการปกครองหนึ่ง
ส่วนงานของ Thucydides เป็นบันทึกเรื่องราวการทำสงครามระหว่างชาวกรีกด้วยกันเองหลังจากที่ได้ร่วมกันรบต่อสู้กับเปอร์เซียแล้ว นั่นคือ สงครามระหว่างเอเธนส์กับสปาร์ตา และเช่นกัน นอกจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจแล้ว ปัจจัยด้านรูปแบบการปกครองก็เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามที่ยืดเยื้อยาวนานเกือบสามสิบปี โดยเอเธนส์ปกครองด้วยรูปแบบประชาธิปไตย ส่วนสปาร์ตาปกครองด้วยรูปแบบการปกครองที่โน้มเอียงไปในแบบอภิชนาธิปไตย โดยทั้งสองนครรัฐต่างช่วงชิงกันเป็นมหาอำนาจในหมู่นครรัฐกรีกทั้งหลาย ที่แต่เดิมสปาร์ตาเคยเป็นผู้นำของนครรัฐกรีกในการต่อสู้กับเปอร์เซีย
การทำสงครามระหว่างเอเธนส์และสปาร์ตาได้ส่งผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองในนครรัฐต่างๆ จากการที่แต่ละฝ่ายพยายามขยายอำนาจของตนไปยังนครรัฐอื่นๆเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบและครองความเป็นเจ้า (hegemony) และโดยส่วนใหญ่แล้ว นครรัฐใดที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างไปจากเอเธนส์หรือสปาร์ตา ก็มักจะเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองให้เป็นรูปแบบการปกครองของฝ่ายที่สามารถพิชิตได้
อย่างไรก็ตาม การวิตกกังวลว่าจะพ่ายแพ้สงครามก็นำไปสู่การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองของนครรัฐกรีกโบราณได้ด้วยเช่นกัน เพราะอย่างที่กล่าวไปแล้วว่านครรัฐกรีกโบราณไม่ได้อยู่ภายใต้อุดมการณ์ของรูปแบบการปกครองแบบเดียวกัน แต่ปกครองภายใต้รูปแบบการปกครองที่แตกต่างกัน และจากการที่มีรูปแบบการปกครองหลากหลายดังที่ได้กล่าวไป ผู้คนทั้งหมดหรือส่วนใหญ่ในแต่ละนครรัฐก็ไม่ได้มีเอกภาพในความนิยมต่อรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่นครรัฐของตน แต่มักจะมีความเห็นต่างภายในนครรัฐอยู่เสมอ
ดังนั้น ในยามที่มีศึกสงคราม หากนครรัฐของตนอยู่ในสภาพที่ย่ำแย่และโน้มเอียงที่จะแพ้สงคราม ก็มักจะมีกลุ่มคนในนครรัฐนั้นที่คิดว่า การแพ้สงครามมาจากปัจจัยข้อบกพร่องที่เกิดจากตัวรูปแบบการปกครอง คนกลุ่มนี้ก็มักจะพยายามเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ไปสู่รูปแบบการปกครองอื่น และแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองย่อมนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลหรือคณะบุคคลที่ทำการปกครองอยู่ขณะนั้นและจะนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศด้วย หรือไม่ก็มีกลุ่มคนในนครรัฐที่ไม่พอใจรูปแบบการปกครองที่ดำรงอยู่ที่นำไปสู่ความขัดแย้งกับอีกนครรัฐหนึ่งที่มีรูปแบบการปกครองที่แตกต่างกันแต่เป็นรูปแบบการปกครองที่กลุ่มคนในนครรัฐนิยม ส่งผลให้กลุ่มคนดังกล่าวทำการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองที่ใช้อยู่ในนครรัฐของตนไปเป็นรูปแบบการปกครองแบบเดียวกันกับนครรัฐที่กำลังทำสงครามด้วย
โดยหวังว่าจะนำมาซึ่งการยุติสงครามที่กำลังในการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองการปกครองของสวีเดน ค.ศ. 1718 สงครามเป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญของการสิ้นสุดระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ สงครามที่ว่านี้คือ “มหาสงครามทางเหนือ” (the Great Northern War) ที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1700-1721 อันเป็นความขัดแย้งระหว่างกลุ่มประเทศที่รวมตัวกันภายใต้การนำของรัสเซียทำสงครามกับสวีเดน และฝ่ายต่อต้านสวีเดนประสบความสำเร็จในการท้าทายจักรวรรดิสวีเดนที่ครองอำนาจสูงสุดเหนือยุโรปกลาง เหนือและตะวันออก โดยประเทศที่รวมตัวกันโค่นจักรวรรดิสวีเดน ได้แก่ รัสเซีย เดนมาร์ก-นอร์เวย์ โปแลนด์-ลิทัวเนีย บริเตนใหญ่ ฯ และการตัดสินใจทำสงครามภายใต้ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นอยู่กับเอกบุคคลผู้เป็นพระมหากษัตริย์เป็นสำคัญและไม่มีผู้ใดจะทัดทานได้
แต่จากการวมตัวกันของหลายประเทศภายใต้การนำของรัสเซีย การตัดสินใจเข้าสู่มหาสงครามทางเหนือของสวีเดนนั้น ถือเป็นการตัดสินใจที่สุ่มเสี่ยงและทะเยอทะยานอย่างยิ่ง และ พระมหากษัตริย์ผู้ตัดสินใจนำสวีเดนเข้าสู่สงครามดังกล่าวคือ พระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองพระมหากษัตริย์สวีเดนผู้ทรงเป็นนักรบที่ยิ่งใหญ่และไม่สนพระทัยในชีวิตสมรสหรือความเพลิดเพลินต่างๆ ตามที่ผู้อยู่ในสถานะของพระมหากษัตริย์ทั่วไปจะสามารถทำได้ตามปรารถนา แต่ตลอดชีวิตของพระองค์ ทรงมุ่งมั่นกับการทำสงครามเพื่อความยิ่งใหญ่ของสวีเดน ในการเข้ามหาสงครามทางเหนือ พระองค์ทรงต้องการจะบูรณการและขยายความเป็นจักรวรรดิของสวีเดนออกไป จนมีผู้กล่าวว่า พระองค์ทรงปรารถนาจะให้คาบสมุทรบอลติก (the Baltic) เป็นทะเลสาบแห่งหนึ่งของสวีเดน
แต่ผลลัพธ์กลับลงเอยด้วยความหายนะอย่างใหญ่หลวง สวีเดนต้องสูญเสียผู้คนไปถึงหนึ่งในสามของประชากรทั้งหมด เศรษฐกิจต้องย่อยยับต่อเนื่องเป็นเวลาหลายทศวรรษ สูญเสียดินแดนในแถบทะเลบอลติกไปทั้งหมดยกเว้นฟินแลนด์ และเมื่อพระเจ้าชาร์ลสที่สิบสองเสด็จสวรรคตในวันที่ 30 พฤศจิกายน ค.ศ. 1718 การพ่ายแพ้สงครามของสวีเดนได้นำมาซึ่งความหน่ายแหนงต่อระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่พระมหากษัตริย์ทรงพระราชสิทธิ์และพระราชอำนาจเด็ดขาดในการตัดสินใจนำพาประเทศเข้าสู่สงคราม ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์สวีเดนจึงตกอยู่ในสภาพที่ไร้ความนิยมอย่างถึงที่สุด
ยิ่งกว่านั้น พระองค์ยังไม่ทรงมีพระราชโอรสและพระราชธิดาที่จะสืบราชสันตติวงศ์ด้วย
(โปรดติดตามตอนต่อไป)