โดยอากัปกิริยาของผู้นำรัสเซีย...ประธานาธิบดี “ปูติน”ระหว่างการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติรัสเซีย เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (22 ก.ย.) ถ้าว่ากันตามภาษามวย...หรือที่เรียกว่า “รูปมวย” แล้ว ก็น่าจะประมาณจรดหมัดซ้ายนำหน้า ส่วนหมัดขวา “เกร็งไว้รอสวน” เต็มที่!!! อะไรทำนองนั้นโดยเฉพาะคำพูด คำจา ที่ย้ำไว้กับบรรดาผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหลาย ว่ารัสเซียพร้อมแล้ว...ที่จะตอบสนองต่อภัยคุกคามใดๆ แม้จะยังคงสนับสนุนหนทางทางการทูตในการระงับยับยั้งความตึงเครียดทั้งหลาย หรือ... “ไม่ต้องสงสัยเลยว่า รัสเซียมีขีดความสามารถในการตอบสนองต่อภัยคุกคามใหม่ๆ ที่กำลังปรากฏตัวอยู่ในขณะนี้ และการตอบสนองของเราคงไม่ใช่แค่คำพูด แต่โดยส่วนเสริมที่สำคัญ นั่นก็คือเทคนิคทางทหารที่เรามีอยู่ในมือ...” นี่...อันนี้ต้องเรียกว่า บรรดาประเทศยุโรปที่กำลังคิดสวมหน้ากาก“กองกำลังสันติภาพ” เพื่อเข้าไปสร้างหลักประกันความมั่นคงในดินแดนประเทศยูเครน คิดประกาศ “เขตห้ามบิน” หรือ “จัดซ้อมรบ” โชว์พาว หลังประเทศโปแลนด์เอะอะโวยวาย ว่าโดนละเมิดน่านฟ้าคงต้องเร่งยกการ์ด สวมหมวกกันน็อก จะไปลอยหน้า-ลอยตา แลบลิ้นปลิ้นตาหลอก แบบพวก“อยากลองของ” คงไม่น่าจะเข้าท่าโดยเด็ดขาด เพราะก่อนหน้านั้นบรรดาทหารหมีขาว เขาก็ได้ออกมาป่าวประกาศไว้แล้วว่า ทหารจากประเทศยุโรปรายใดก็ตามที่เข้าไปประจำการในดินแดนยูเครน ย่อมถือเป็น “เป้าหมายอันชอบธรรม” ของรัสเซีย ที่จะขจัดกวาดล้างให้สิ้นสูญ สิ้นซาก โดยมิจำเป็นต้องบันยะ-บันยังใดๆ เอาเลยแม้แต่น้อย!!!
แต่ก็นั่นแหละ...บรรดาชาติยุโรป ประเภทอยากลองของ ลองดี ก็น่าจะยังมีอยู่มิใช่น้อย อย่างเช่นผู้นำฟินแลนด์ ประธานาธิบดี “Alexander Stubb” ที่ออกมาเรียกร้องให้บรรดาชาติยุโรปเตรียมสู้กับรัสเซีย ถ้าหากอยากจะส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าไปในยูเครนจริงๆ หรือประธานเสนาธิการทหารเยอรมนี “พลเอกCarsten Breuer” ที่ออกมาประกาศให้ทหารเยอรมนีเตรียมรบกับทหารรัสเซียภายในปีค.ศ. 2029 รวมไปถึงรัฐมนตรีกลาโหม “Boris Pistorius” ที่บอกว่าทหารเยอรมนีพร้อมเสมอที่จะสังหารทหารรัสเซีย ถ้าต้องเผชิญหน้าขึ้นมาเมื่อไหร่ แต่ก็อย่างว่า...บรรดา “ไส้กรอกเยอรมัน” ช่วงนี้ ไม่ว่าประเภทไหน ขนาดไหน ชนิดไหน ล้วนแต่น่าจะเหี่ยวๆ แห้งๆ ไม่ได้เต่งตึง แข็งโด่ เหมือนอย่างยุค “นาซี-ฮิตเลอร์” อีกต่อไปแล้ว แถมผู้ที่ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเมื่อไม่นานนี้ อย่าง “นายFriedrich Merz” ล่าสุด...ถ้าว่ากันตาม“ผลโพล” ของ “INSA survey commissioned” ความเชื่อมั่นของชาวเยอรมันต่อผู้นำตัวเอง ก็เหลืออยู่แค่ 26 เปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง ที่ไม่เชื่อ หรือที่ออกอาการชิงชัง รังเกียจ ปาเข้าไปถึง 62 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้น...ก็คือความแตกต่าง แตกแยกระหว่างมหาอำนาจสูงสุดอย่างคุณพ่ออเมริกากับบรรดาพันธมิตร “พรมเช็ดเท้า” ในประเทศยุโรปในบางเรื่อง บางประเด็น ที่ออกอาการ “เจ๊งกะบ๊ง” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน อันเนื่องมาจากหลายต่อหลายประเทศ ต่างออกอาการ “รับไม่ได้”ต่อความเหี้ยม ความโหด ที่พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกา อย่างอิสราเอลกระทำย่ำยีต่อบรรดาชาวปาเลสไตน์ทั้งหลาย แบบคราวแล้ว-คราวเล่า ส่งผลให้แม้กระทั่งประเทศที่เคยได้ชื่อว่า “สุนัขพูเดิลของอเมริกา” อย่างอังกฤษ รวมไปถึงโปรตุเกส แคนาดา ออสเตรเลียต่างออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (21 ก.ย.) ว่าพร้อมที่จะรับรองความเป็น “ประเทศปาเลสไตน์” ตามแนวทางที่เรียกว่า “The Two State Solution” อันมีประเทศเกือบ 140 ประเทศให้การรับรองไปก่อนหน้านี้ และน่าจะตามมาด้วยประเทศเบลเยียม ลักเซมเบิร์ก มอลตา อันดอรา ซานมาริโน ฯลฯ ที่คาดว่าพร้อมจะเดินตามข้อเสนอของฝรั่งเศส และซาอุดีอาระเบีย ที่เป็นไปในแนวเดียวกัน ภายในอีกไม่กี่วันนับจากนี้...
นี่...อันนี้นี่แหละที่จะทำให้ความเป็นผู้นำโลก ประมุขโลก ของมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา ต้องกลายสภาพไปเป็น“โดดเดี่ยวผู้น่าเกลียด-น่าชัง” ตามพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของตัวเองไปด้วยอย่างช่วยอะไรไม่ได้ แม้ว่าผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” จะพยายามอธิบายว่าการรับรองรัฐปาเลสไตน์ อันเป็นสิ่งที่อเมริกาและอิสราเอลร่วมคัดค้านกันแบบชนิดหัวชนฝา ของพันธมิตรที่เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่มาโดยตลอดอย่างอังกฤษนั้น...“เป็นหนึ่งในไม่กี่สิ่งที่พวกเราแตกต่างกัน” แต่ก็นั่นแหละ...สิ่งเหล่านี้มันได้สะท้อนให้เห็นถึงความสั่นไหว สั่นคลอน ของสิ่งที่เรียกว่า “The Transatlantic unity” หรือ “เอกภาพแห่งสองฟากฝั่งแอตแลนติก” ว่าไม่ได้เหมือนเดิม ไม่ได้เป็นไปเช่นเดิม อีกต่อไปแล้ว!!!
ยิ่งไปกว่านั้น...บรรดาพันธมิตรของอเมริกาในตะวันออกกลางที่นับวันจะเหลือน้อยลงไปทุกที ยังน่าจะหดๆหายๆ แทบไม่เหลือติดไม้ ติดมือ ต่อไปอีกเลยนับจากนี้ อย่างที่ “Andre Benoit” ที่ปรึกษาด้านธุรกิจและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศชาวฝรั่งเศสและนักคิด นักวิชาการ จากสถาบัน “European and International Studies” เขาได้ร่ายเรียงไว้ในข้อเขียน บทความเรื่อง “Israel’s actions brought US dominance in the Middle East to an end” หรือการกระทำของอิสราเอล ส่งผลให้การครอบงำตะวันออกกลางของอเมริกา อาจต้องถึงกาลอวสานเอาเลยก็ไม่แน่!!!
หรือด้วยเหตุเพราะ “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” ของ“ทรัมป์บ้า” เองนั่นแหละ ที่เอาไม่อยู่ รั้งไม่หยุด ฉุดไม่อยู่ ไม่สามารถถ่วงรั้ง ห้ามปรามต่อการกระทำใดๆ ของพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลได้เลย ถึงขั้นผู้นำอเมริกาต้องออกมาโพสต์ไว้ใน “Truth Social” หลังอิสราเอลบุกเล่นงานพวก“Hamas” ในดินแดนกาตาร์ว่า... “นี่คือการตัดสินใจของ Netanyahu ไม่ใช่ของผม การตัดสินใจฝ่ายเดียวในการโจมตีกาตาร์ประเทศที่มีอธิปไตยและใกล้ชิดกับอเมริกา ไม่ได้สร้างความก้าวหน้าใดๆให้กับจุดมุ่งหมายทั้งของอิสราเอลและอเมริกา” แต่นั่น...คงไม่ได้ช่วยให้อเมริกายังคงสามารถดำรงสถานะ “ผู้ที่เคยให้หลักประกัน” ต่อบรรดาประเทศในตะวันออกกลางได้อีกต่อไปแล้ว อันจะส่งผลให้อำนาจและอิทธิพลของอเมริกา ที่เคย “ครอบงำ” ภูมิภาคนี้มาโดยตลอด อาจมีอันต้องสิ้นสุด ยุติ กันในอีกไม่ช้า-ไม่นาน นับจากนี้...
ขณะที่บรรดาพันธมิตรทั้งใน “แนวรบยุโรปตะวันออก”และ “แนวรบตะวันออกกลาง” ชักจะหดๆ หายๆ ยิ่งเข้าไปทุกที อันเนื่องมาจากพันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์อย่างอิสราเอลนั่นแหละเป็นสาเหตุ ส่วน “แนวรบทะเลจีนใต้” นั้น...คงต้องยอมรับอย่างมิอาจปฏิเสธได้นั่นแหละว่า นับวันพันธมิตรของอเมริกาชักเริ่มลดน้อยถอยลง แบบชนิดสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลง ไปตามลำดับ แม้แต่พันธมิตรที่คิดจะเอาไว้ “ปิดล้อมจีน” เป็นการเฉพาะ อย่างคุณปู่อินตะระเดีย เป็นต้น ที่หันไปจูบปากกับจีนกับรัสเซีย แถมไซร้คอ ไซร้คาง หลังจากถูก “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” ของ“ทรัมป์บ้า” หรือเจอกับ “มาตรการภาษีศุลกากร” หวดเอาหนักๆ...
แต่ที่น่าสนใจยิ่งไปกว่านั้น...คือเมื่อช่วงไม่กี่วันมานี้ ก็อิสราเอลอีกนั่นแหละ ที่ช่วยเติมเชื้อ เติมไฟ ให้อะไรต่อมิอะไรร้อนฉ่าโดยใช่เหตุ นั่นก็คือ...การเดินไปทางเยือนไต้หวันของสมาชิกสภา “Knesset” “นายBoaz Toporovsky” ที่ไม่เพียงแต่ไปพบปะกับประธานาธิบดีไต้หวัน อย่าง “นายLai Ching-te”เท่านั้น แต่ยังป่าวประกาศในฐานะ “ตัวแทนของประชาชนชาวอิสราเอล” ซะอีกด้วย ในการสนับสนุนให้ไต้หวันเข้าร่วมเป็นสมาชิกถาวรในองค์กรต่างๆ ของสหประชาชาติ หลังจากที่ไต้หวันสนับสนุนการจัดตั้งศูนย์สาธารณสุขของอิสราเอลในดินแดน “West Bank” ส่งผลให้คุณพี่จีนเกิดอาการเปรี้ยวมือ เปรี้ยวเท้า อันเนื่องจากถูกบีบมะนาวใส่หัวแม่เท้าเอาดื้อๆ...
จะด้วยเหตุเพราะต้องการฉุดกระชากลากถู ให้คุณพ่ออเมริกาต้องเผชิญหน้ากับจีนในแนวรบด้านนี้ให้หนักๆ เข้าไว้หรือเพราะเหตุผลกลใดก็ยากที่จะสรุปได้ แต่ด้วยเหตุเพราะ “รัฐบาลอเมริกัน” ในแต่ละยุค แต่ละสมัย หนีไม่พ้นต้องกลายสภาพเป็น “รัฐบาลอเมริกันเชื้อสายยิว” มาโดยตลอดนั่นเอง ที่ทำให้พันธมิตรอันศักดิ์สิทธิ์ของอเมริกาอย่างอิสราเอลเกิดความมั่นอก-มั่นใจ ที่จะทำอะไรต่อมิอะไรตามใจตัวเอง แม้แต่การ “โดดเดี่ยวตัวเอง” จากโลกทั้งโลก และนั่นย่อมส่งผลให้ผู้ที่หวังจะให้ “America Great Again” หรือต้องการให้อเมริกายังคงดำรงความเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกต่อไปให้จงได้ เลยน่าจะมีอันต้อง “เจ๊ง-กับ-เจ๊ง” ต้อง “ลงนรก” ตามอิสราเอลไปด้วยอย่างช่วยอะไรไม่ได้...