พรรคภูมิใจไทยที่ทราบกันว่า มีผู้นำทางจิตวิญญาณหรือคนในพรรคเรียกกันว่าครูใหญ่ คือเนวิน ชิดชอบ ที่วันนี้ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังทางการเมืองเป็นมันสมองของพรรคและได้ชื่อว่าเป็นผู้มีอำนาจตัวจริงของพรรค เช่นเดียวกับที่ทักษิณ เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย ข้อดีของการเล่นการเมืองแบบนี้ก็คือ การไม่ถูกตรวจสอบด้วยอำนาจรัฐ หรือต้องยื่นบัญชีทรัพย์สินต่อ ป.ป.ช.
วันนี้เนวินไม่ใช่ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” แบบในอดีต แต่เขาคือ ไอดอลและไอคอนของคนบุรีรัมย์ ที่เสมือนเป็นผู้ครอบครองเมืองแห่งนี้ในทางพฤตินัย การที่อดีตผู้ว่าราชการบุรีรัมย์ขึ้นมาเป็นประธานวุฒิสภา และอดีตผู้บังคับการบุรีรัมย์ขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม และทำให้อนุทิน ชาญวีรกูล ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีได้สำเร็จนั้น แสดงให้เห็นถึงอำนาจและพลังแฝงที่แท้จริงของคนโตบุรีรัมย์คนนี้
และเมื่อเป็นรัฐบาลสิ่งที่พรรคภูมิใจไทยหมายมั่นที่สุดก็คือ กระทรวงคมนาคม เพราะเป็นกระทรวงที่ควบคุมการรถไฟแห่งประเทศไทยที่อ้างสิทธิว่า เป็นเจ้าของที่ดิน “เขากระโดง” เรื่องเขากระโดงจึงถูกเก็บซุกเงียบมาเป็นเวลานาน มีการส่งคนของตัวเองเข้าไปนั่งในการกำหนดทิศทางของฝ่ายกฎหมายของการรถไฟฯเรื่องนี้จึงกลายเป็นคดีที่ไม่มีวันจะจบลง หากพรรคภูมิใจไทยยังอยู่ในอำนาจรัฐ
กรณี “เขากระโดง” อาจเป็นเพียงชื่อเรียกพื้นที่เล็กๆ ในจังหวัดบุรีรัมย์ แต่แท้จริงแล้วมันคือมหากาพย์ที่ดินที่ผูกพันทั้งกฎหมาย คำพิพากษาศาล เครือข่ายธุรกิจ และโครงสร้างอำนาจทางการเมือง ที่ทำให้เรื่องนี้ไม่เคยได้ข้อยุติชัดเจน แม้จะถูกหยิบยกขึ้นมาหลายครั้งหลายสมัยรัฐบาล คำถามใหญ่คือ ใครคือเจ้าของที่แท้จริงของที่ดินผืนนี้ และใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการที่คดีถูก “แขวน” เอาไว้
หากมองย้อนกลับไปในมิติทางกฎหมาย ศาลฎีกาได้ตัดสินไว้แล้วในคดีหมายเลขแดงที่ 842–876/2560 และ 8027/2561 ว่าพื้นที่บริเวณทางแยกรถไฟเข้าเขากระโดงเป็นของการรถไฟแห่งประเทศไทย เพราะใช้เป็นทางรถไฟลำเลียงหินสำหรับก่อสร้างทางรถไฟสายหลักมาตั้งแต่แรกเริ่ม ถือเป็นที่ดินของรัฐเพื่อกิจการสาธารณะโดยสมบูรณ์ เอกสารสิทธิที่ออกทับในบริเวณดังกล่าวไม่อาจมีผลผูกพันได้ ศาลจึงสั่งให้เพิกถอนหรือแก้ไขเอกสารสิทธิที่เกี่ยวข้อง และได้มีการดำเนินการแก้ไขไปแล้วในหลายแปลง สิ่งนี้เป็น ชัยชนะที่ชัดเจนของ รฟท.และยืนยันว่ามี “บางส่วน” ของเขากระโดงที่ศาลสูงสุดได้ชี้ขาดไปแล้วว่าเป็นของ รฟท.
ต่อมา ศาลปกครองกลางในคดีแดงที่ 582/2566 ได้พิจารณาคำฟ้องของ รฟท.ที่กล่าวหาว่า กรมที่ดิน “ละเลยต่อหน้าที่” ไม่ดำเนินการเพิกถอนโฉนดที่ออกทับ ศาลได้พิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดินตั้งคณะกรรมการสอบสวนตามมาตรา 61 แห่งประมวลกฎหมายที่ดิน เพื่อไต่สวนและพิสูจน์ทีละแปลง ว่ามีเอกสารสิทธิใดออกทับที่ดินของ รฟท.จริงหรือไม่ ศาลปกครองไม่ได้ชี้ชัดว่าที่ดินทั้งก้อนเป็นของ รฟท.แต่ย้ำว่าต้องเดินกระบวนการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด และผลลัพธ์ต้องขึ้นกับการสอบสวนของคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะกรรมการสอบสวนของกรมที่ดินได้พิจารณาแล้ว กลับมีมติว่า “หลักฐานไม่ชัดเจนเพียงพอ” ที่จะเพิกถอนโฉนดจำนวนมาก จึงมีคำสั่ง “ยุติเรื่อง” ไม่ดำเนินการต่อไปรฟท.จึงต้องกลับไปฟ้องศาลปกครองอีกครั้งเพื่อเพิกถอนคำสั่งดังกล่าว ซึ่งสะท้อนว่าคดีนี้ยังวนเวียนอยู่ในกระบวนการ และยังไม่มีคำตอบสุดท้าย แต่ก็ทำให้เห็นว่าแม้ศาลจะบังคับให้หน่วยงานปฏิบัติหน้าที่ แต่เมื่อเจอแรงกดดันและข้อเท็จจริงที่ทับซ้อน การตัดสินใจขั้นสุดท้ายก็ยังถูก “แขวน” เอาไว้
สิ่งที่ทำให้เรื่องเขากระโดงไม่ใช่เพียงข้อพิพาททางกฎหมายคือเครือข่ายธุรกิจที่ผูกพันกับพื้นที่นี้โดยตรง ตระกูลชิดชอบ โดยเฉพาะเนวิน ชิดชอบ ไม่ได้เป็นเพียงนักการเมือง แต่ยังสร้างอาณาจักรธุรกิจในบุรีรัมย์ที่พัฒนาเมืองจากจังหวัดเล็กๆ กลายเป็นศูนย์กลางกีฬาและการท่องเที่ยวระดับประเทศ
ในบริเวณเขากระโดงและโดยรอบ ปรากฏบริษัทและโครงการที่เชื่อมโยงโดยตรงกับตระกูลชิดชอบอย่างชัดเจน เช่นบริษัท ศิลาชัย บุรีรัมย์ (1991) จำกัด ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจโรงโม่หินในพื้นที่นี้มาช้านาน แม้ปัจจุบันจะไม่มีชื่อสมาชิกตระกูลชิดชอบเป็นผู้ถือหุ้นตรง แต่ก็เป็นธุรกิจดั้งเดิมที่ก่อให้เกิดทุนก้อนแรกของตระกูล นอกจากนี้ยังมี บริษัท เค. มอเตอร์สปอร์ต จำกัด และบริษัท เค 2009 ลิซ จำกัด ซึ่งครอบครองหรือเช่าที่ดินในเขตเขากระโดงเพื่อทำกิจการสนามกีฬา การจัดการแข่งขัน และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง มีข้อมูลว่าตระกูลชิดชอบถือครองที่ดินอยู่ 288 ไร่ในจำนวน 12 แปลง
บนที่ดินผืนเดียวกันนั้นเอง ได้ถูกพัฒนาเป็นโครงการใหญ่ที่สร้างชื่อเสียงให้บุรีรัมย์ ได้แก่ สนามฟุตบอลช้างอารีนา ของสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ที่กลายเป็นแลนด์มาร์กด้านกีฬาและวัฒนธรรม, สนามแข่งรถช้าง อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต ที่ลงทุนมหาศาลระดับพันล้านเพื่อดึงการแข่งขันระดับโลกเข้ามา และโรงแรมบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด สปอร์ตโฮเต็ล ที่รองรับการท่องเที่ยวเชิงกีฬา ทั้งหมดนี้ผูกโยงเข้าด้วยกันจนกลายเป็นจักรวาลธุรกิจที่สร้างทั้งรายได้และอำนาจทางสังคมการเมืองให้ตระกูลชิดชอบ
รายงานทางการเงินบางฉบับชี้ว่าเพียง 4 บริษัทที่ตั้งอยู่ในเขตเขากระโดงนี้ มีรายได้รวมกว่าหลายร้อยล้านบาทต่อปี มีกำไรสุทธิสูงนับร้อยล้าน และยังมีศักยภาพต่อยอดอีกมากเมื่อรวมกับการเติบโตของธุรกิจกีฬาและการท่องเที่ยวในภูมิภาคอีสาน ข้อเท็จจริงนี้ทำให้เข้าใจได้ว่าเหตุใดการเพิกถอนโฉนดจึงไม่ใช่แค่การแก้ไขเอกสารสิทธิ แต่หมายถึงการสั่นคลอนจักรวาลธุรกิจทั้งหมดที่ตระกูลนี้สร้างขึ้น
เมื่อหันมามองโครงสร้างอำนาจการเมืองปัจจุบัน ภาพก็ยิ่งชัดเจน พรรคภูมิใจไทยที่เนวินเป็นผู้กุมบังเหียนทางความคิด ก้าวขึ้นมาเป็นแกนนำรัฐบาล และมีอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรี พร้อมกับนั่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ซึ่งกำกับดูแลกรมที่ดินโดยตรง นี่คือ “จุดเชื่อม” ที่ทำให้การตัดสินใจของกรมที่ดินสอดคล้องกับอำนาจทางการเมืองไม่ใช่เพียงหลักกฎหมาย เพราะการแถลง “ยุติเรื่อง” ของกรมที่ดินเกิดขึ้นทันที ก่อนที่รัฐบาลอนุทินจะเข้ามาเต็มตัวในทางการเมืองยิ่งสะท้อนว่านี่คือการวางเกมล่วงหน้าเพื่อสร้างเกราะป้องกัน
แม้ว่าตอนที่ภูมิธรรม เวชยชัย นั่งเป็นรัฐมนตรีมหาดไทย และมีเดชอิศม์ ขาวทองเป็นรัฐมนตรีช่วยดูแลกรมที่ดินนั้น เคยสั่งการให้กรมที่ดินเพิกถอนโฉนดเขากระโดงโดยยืนยันว่า เป็นที่ดินของรัฐ แต่รัฐบาลของพรรคเพื่อไทยก็ล่มสลายไปเสียก่อน แล้ววันนี้กรมที่ดินก็รู้ว่าทิศทางลมกำลังพัดไปทางไหน
เมื่อกฎหมายพูดอย่างหนึ่ง ศาลวินิจฉัยอย่างหนึ่ง แต่ธุรกิจและอำนาจการเมืองพูดอีกอย่างหนึ่ง คำตอบสุดท้ายของที่ดินเขากระโดงจึงไม่ได้อยู่ที่ตัวบท แต่ขึ้นกับว่าผู้มีอำนาจในประเทศเลือกจะให้มันจบอย่างไร ตราบใดที่พรรคภูมิใจไทยยังเป็นแกนนำรัฐบาล และอนุทินยังเป็นผู้กำกับกรมที่ดินโดยตรง เรื่องนี้ก็จะถูก“แช่แข็ง” ไว้ในแฟ้มเอกสารราชการ ถูกทำให้เลือนหายไปจากความสนใจสาธารณะ และไม่มีใครกล้าแตะต้องธุรกิจที่ตั้งอยู่บนผืนดินพิพาทเหล่านั้น
อนาคตของเขากระโดงจึงไม่ได้อยู่ในมือศาลเพียงอย่างเดียวหากขึ้นอยู่กับการเปลี่ยนขั้วอำนาจรัฐ เมื่อใดที่อำนาจการเมืองพลิกผัน กฎหมายที่ถูกแช่แข็งอาจถูกปลุกขึ้นมาใช้อีกครั้ง และเรื่องเขากระโดงอาจกลับมาสั่นสะเทือนทั้งระบบธุรกิจและการเมืองไทยอีกครั้ง.
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan