xs
xsm
sm
md
lg

หยุดก่อน“อรรถจักร-พวงทอง” ชาตินิยมต่างหากที่จะนำไทยไปรอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์
หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ


เวลานี้ยังมีนักวิชาการบางคนพยายามบอกว่าชาตินิยมเป็นสิ่งล้าหลัง เป็นความคิดแบบโบราณที่เราควรทิ้งไป ศาสตราจารย์กิตติคุณ ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ จากคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ออกมาให้ความเห็นผ่านเครือมติชนในทำนองนั้น ว่ากระแสชาตินิยมคือการย้อนกลับไปสมัยสฤษดิ์ ติดอยู่กับเงาของพระวิหารและข้อพิพาทชายแดนที่ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาอีก แต่โลกความจริงกลับกำลังตบหน้าแนวคิดนี้อย่างจัง เพราะหากมองรอบตัวเราจะพบว่าชาตินิยมกำลังกลับมาเป็นกระแสหลักทั่วโลก

ในสหรัฐอเมริกา โดนัลด์ ทรัมป์ปลุกคำขวัญ America First จนกลายเป็นพลังการเมืองหลัก ยุโรปกำลังเห็นพรรคขวาจัดกวาดที่นั่งในสภาอย่างต่อเนื่อง ฝรั่งเศส อิตาลี เยอรมนี ล้วนสะท้อนกระแสประชาชนที่ต้องการปกป้องอัตลักษณ์ของชาติ จีนสร้าง Chinese Dream เพื่อปลุกพลังเอกภาพ รัสเซียใช้ชาตินิยมเป็นธงนำในการบุกยูเครน ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ชาตินิยมไม่ใช่สิ่งล้าหลัง แต่คือเครื่องมือเอาตัวรอดของรัฐในโลกที่โหดร้ายและแข่งขันกันอย่างดุเดือด


หากย้อนมามอง “ตัวตนทางความคิด” ของอรรถจักร จะเห็นว่าเขายืนอยู่ในขั้วเสรีนิยมชัดเจน เขาวิเคราะห์ว่าชาตินิยมไทยคือสิ่งที่รัฐและสถาบันประกอบสร้างขึ้นมาเพื่อค้ำยันอำนาจ เป็น “ราชาชาตินิยม” ที่ผูกพันกับโครงสร้างรัฐ–พุทธ–สถาบัน และถูกผลิตซ้ำจนกลายเป็นสามัญสำนึกในสังคมไทย การวิพากษ์เช่นนี้สะท้อนชัดว่าเขายืนอยู่ตรงข้ามฝ่ายอนุรักษนิยม ไม่เชื่อว่าชาตินิยมคือภูมิคุ้มกัน แต่กลับมองว่าเป็นเครื่องมือของรัฐในการควบคุมประชาชน

ในอีกฟากหนึ่ง ศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เสนอว่าไทยควรเปิดด่านชายแดนกับกัมพูชาเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ความคิดเช่นนี้ตั้งอยู่บนกรอบเสรีนิยมใหม่ ที่เชื่อว่าการค้าและความร่วมมือจะสร้างสันติภาพ (Commercial Peace Theory) แต่โลกความจริงไม่ได้เดินด้วยเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศยังมีมิติของอธิปไตย ความมั่นคง และความปลอดภัยของประชาชนเป็นแกนหลัก ฝ่ายเรียลลิสม์บอกชัดว่า การดำรงอยู่คือเงื่อนไขแรกสุด หากไทยเปิดด่านโดยไม่สนใจว่ากัมพูชายังแข็งกร้าวเรื่องเขตแดน หรือมีพฤติกรรมที่ทำให้ทหารและพลเรือนของเราต้องสูญเสีย เท่ากับเรา “เติมเชื้อไฟ” ให้เขามีกำลังกลับมาท้าทายเราในอนาคต

ข้อเท็จจริงคือ กัมพูชาไม่สามารถพึ่งพาตนเองได้ในสินค้าอุปโภค–บริโภคขั้นพื้นฐาน หากไทยเปิดด่านโดยไม่วางเงื่อนไข ก็เท่ากับยกแต้มต่อให้เขาโดยไม่คำนึงถึงความมั่นคงของตัวเอง นี่คือข้อบกพร่องของแนวคิดซ้ายเสรีนิยมใหม่ ที่มักมองทุกอย่างผ่านแว่น “เศรษฐกิจ–สิทธิ–เสรีภาพ” แต่ละเลย “อธิปไตย–ความมั่นคง–การเอาตัวรอด” ของรัฐชาติ

และนี่คือสิ่งที่เสรีนิยมมักมองข้าม พวกเขามักพูดว่าเส้นเขตแดนไม่สำคัญ โลกไร้พรมแดน การค้าเสรีจะทำให้ประเทศอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติ พรมแดนก็เป็นเพียงเส้นสมมติ แต่ข้อเท็จจริงกลับตรงข้าม สงครามใหญ่ที่เกิดขึ้นทุกวันนี้ล้วนปะทุเพราะพรมแดนทั้งสิ้น ยูเครนกับรัสเซียเริ่มรบเพราะแย่งชิงไครเมียและเส้นแบ่งตะวันออก จีนกับอินเดียยังปะทะกันในหิมาลัย อิสราเอลกับปาเลสไตน์สู้กันเพราะสิทธิในแผ่นดิน ส่วนทะเลจีนใต้ก็เต็มไปด้วยเรือรบที่ปักธงอ้างสิทธิ์เหนือพรมแดนทางทะเล สัจธรรมที่ไม่อาจปฏิเสธได้คือ พรมแดนยังคงเป็นเส้นชีวิตของรัฐ ใครก็ตามที่หลงเชื่อว่าเส้นเขตแดนไม่สำคัญ กำลังเพิกเฉยต่อเลือดเนื้อที่ยังหลั่งไหลอยู่ทุกวันเพราะพรมแดนนั้นเอง

สำหรับรัฐเล็กอย่างไทย พรมแดนไม่ใช่เส้นบนแผนที่ แต่คือเส้นชีวิตของชาติที่แลกด้วยชีวิตของบรรพบุรุษและทหารหาญ ถ้าเราหลงเชื่อคำพูดโลกสวยว่าเส้นเขตแดนไม่สำคัญ แล้วเลือกเปิดด่านโดยไม่คิดถึงความมั่นคง ก็ไม่ต่างอะไรจากการยื่นเช็คเปล่าให้คู่แข่ง เอาทรัพยากรของเราไปเสริมกำลังให้เขากลับมาท้าทายเราในวันหน้า

บทเรียนจากต่างประเทศก็ตอกย้ำ ญี่ปุ่นในอดีตเคยขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจจนถึงขั้นกรีฑาทัพรุกรานเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และจีน ภายใต้ข้ออ้างการ “แสวงหาตลาดและทรัพยากร” วันนี้แม้ญี่ปุ่นจะมาในฐานะคู่ค้าและนักลงทุน แต่การแสดงท่าทีเข้ามาสอดแทรกความขัดแย้งไทย–กัมพูชา เหมือนกับญี่ปุ่นไม่ได้คิดว่า “ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างเดียวไม่สามารถเป็นหลักประกันสันติภาพได้” และเมื่อเห็นช่องพร้อมใช้อำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเข้าแทรกแซงทันที

จีนเคยถูกเรียกว่า “คนป่วยแห่งเอเชีย” ในศตวรรษที่ 19–ต้นศตวรรษที่ 20 เพราะถูกรุกราน แบ่งแยกดินแดน และถูกมหาอำนาจตะวันตกกับญี่ปุ่นกดขี่จนแทบไร้ศักดิ์ศรี แต่จีนไม่ได้ยอมรับชะตากรรมดังกล่าว การสร้างชาติของจีนหลังสมัยปฏิวัติ โดยเฉพาะภายใต้พรรคคอมมิวนิสต์ กลับหยิบเอา ชาตินิยม มาเป็นแกนกลางของการปลุกพลังประชาชน

จีนบ่มเพาะความทรงจำร่วมของ “ศตวรรษแห่งความอัปยศ” เพื่อให้คนทั้งชาติไม่ลืมความพ่ายแพ้ในอดีต และใช้มันเป็นเชื้อไฟในการสร้าง “เอกภาพแห่งชาติ” ภายใต้คำขวัญอย่าง Chinese Dream ที่ย้ำความภาคภูมิใจ ความยิ่งใหญ่ และการทวงศักดิ์ศรีคืน ชาตินิยมจึงไม่ใช่แค่เครื่องมือทางการเมือง แต่เป็นพลังทางสังคมที่รวมคนจีน 1,400 ล้านคนเข้าด้วยกัน

ผลก็คือ จีนสามารถระดมพลังทางเศรษฐกิจ เทคโนโลยี และการทหาร จนก้าวขึ้นมาเป็นประเทศแถวหน้าของโลกในเวลาเพียงไม่กี่ทศวรรษ จากคนป่วยแห่งเอเชีย กลายเป็นผู้ท้าทายอำนาจตะวันตก และยืนบนเวทีโลกอย่างสง่างาม การเติบโตนี้ยืนยันว่า ชาตินิยมไม่ได้เป็นเพียงอุดมการณ์ล้าสมัย แต่คือพลังสร้างชาติและสร้างศักดิ์ศรีให้รัฐ โดยเฉพาะรัฐที่เคยถูกกดขี่และต้องการทวงความยิ่งใหญ่คืนมา

สำหรับพวงทองเมื่อมองลึกลงไปในตัวตนทางความคิด พวงทองไม่เพียงเสนอให้เปิดด่าน แต่ตลอดงานวิชาการของเธอคือการตั้งคำถามต่อกองทัพไทยและชาตินิยมแบบอนุรักษนิยม เธอมักชี้ให้เห็นว่าทหารไทยแทรกซึมสังคม การเมือง เศรษฐกิจ อย่างไร และผลลบที่ตามมาคือสิทธิเสรีภาพของประชาชนถูกกัดกร่อน จึงไม่น่าแปลกที่เธอจะผลักดันกรอบเศรษฐกิจ–ความร่วมมือแทนความมั่นคง–อธิปไตย ท่าทีนี้สะท้อนการยืนอยู่ฝั่งเสรีนิยมใหม่เต็มตัว และตรงข้ามฝ่ายอนุรักษนิยมที่เชื่อว่าความมั่นคงของชาติและอธิปไตยต้องมาก่อน

ศาสตราจารย์ ดร.พวงทอง ภวัครพันธุ์
ถ้าพูดกันตรงๆ เธออาจจะเกลียดทหารที่ทำการรัฐประหารโค่นล้มประชาธิปไตย ที่ส่วนใหญ่มีเหตุผลมาจากสภาพการเมืองที่กำลังล้มเหลว และประชาชนออกมาต่อต้าน จนทำให้เธอมองทหารด้วยสายตาที่อคติเสมอมา และกำลังกลัวว่า กระแสของทหารกำลังจะทำลายความฝันและอุดมการณ์ของเธอที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ที่เธอเคยสนับสนุนคนรุ่นใหม่ให้ออกมาท้าทายอำนาจและสถาบันดั้งเดิมของสังคมไทยแบบไม่ลืมหูลืมตา

เสรีนิยมใหม่ในไทยไม่ได้อยู่เพียงในห้องเรียน แต่มันเคยออกมาเป็นพลังการเมืองจริง พรรคอนาคตใหม่ของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เคยปลุกคนรุ่นใหม่ให้ทลายเพดานของสังคมไทยในปี 2563 จนหลายคนต้องเผชิญคดีมาตรา 112 หลายคนต้องหนีออกนอกประเทศ พวกเขาเคยถามว่า “มีทหารไว้ทำไม” ราวกับว่าทหารเป็นเพียงเครื่องมือของระบอบ แต่วันนี้เมื่อชายแดนเริ่มมีเสียงปืน คนรุ่นใหม่กำลังเข้าใจเองว่า “มีทหารไว้ทำไม” ก็เพื่อปกป้องบ้านเมืองนี่แหละ สิ่งที่เคยถูกยกว่าจะเป็นพายุใหญ่ทลายสถาบันดั้งเดิม กำลังกลายเป็นเพียงคลื่นที่ซัดฝั่งแล้วจางหาย ขณะที่คลื่นลูกใหม่ที่กำลังผงาดคือ “กระแสรักษาชาติ”

เหตุผลที่กระแสขวา–ชาตินิยมกำลังกลายเป็นกระแสหลัก ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ หากแต่เป็นเพราะเสรีนิยมใหม่ตลอดสามทศวรรษที่ผ่านมาสร้างแต่ความเหลื่อมล้ำ คนชั้นกลางและชั้นล่างจำนวนมหาศาลถูกทิ้งไว้ข้างหลัง แรงงานรู้สึกสูญเสียงาน สูญเสียอัตลักษณ์ให้ทุนข้ามชาติ ความรุ่งเรืองที่เสรีนิยมใหม่สัญญาไว้ไม่เคยมาถึงพวกเขา ตรงกันข้าม กลับมีเพียงคนส่วนน้อยที่ร่ำรวยล้นฟ้า ความโกรธและความไม่เป็นธรรมเหล่านี้คือเชื้อไฟที่ผลักดันให้ประชาชนหันกลับไปหาชาตินิยม เพราะมันคือสิ่งที่ทำให้พวกเขายังรู้สึกว่ามีตัวตน มีชาติให้ปกป้อง และเสียงของพวกเขายังมีความหมาย

แล้วมันจะพาโลกไปทางไหน? แน่นอนว่าความขัดแย้งจะเพิ่มขึ้น เพราะเมื่อแต่ละประเทศหันมาเน้นปกป้องผลประโยชน์ตัวเองมากขึ้น ความร่วมมือแบบเสรีนิยมจะหดตัวลง โลกจะเต็มไปด้วยการเจรจาแบบต่อรองเข้มข้นแทนการสมานฉันท์สวยหรู แต่ก็ใช่ว่าจะเป็นหายนะเสียทีเดียว เพราะมันคือการกลับไปสู่โลกจริงที่รัฐเล็กต้องรู้จักสร้างอำนาจต่อรองของตัวเอง ไม่ใช่ฝากความหวังไว้กับอุดมคติที่ไม่เคยทำงาน

ดังนั้น ชาตินิยมไม่ใช่ความล้าหลัง แต่คือภูมิคุ้มกันของรัฐเล็กอย่างไทยที่ต้องใช้อย่างมีวุฒิภาวะ ใช้เพื่อสร้างเอกภาพ ไม่ใช่สร้างศัตรู ใช้เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง ไม่ใช่เพื่อปิดประเทศ หากเรายังหลงเชื่อว่าการค้าเสรีจะแก้ข้อพิพาทได้ล้วนๆ ก็เท่ากับยื่นเช็คเปล่าให้คู่แข่ง และเตรียมรอให้ไฟลามมือ ในวันที่ไฟลามนั้นจะไม่เผาใครอื่น แต่เผาตัวเราเอง


กำลังโหลดความคิดเห็น