xs
xsm
sm
md
lg

ประชาธิปัตย์ที่เหลือแค่ตำนาน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ 



ผมต้องกลับมาพูดถึงพรรคประชาธิปัตย์อีกครั้ง และอาจจะเป็นคนหนึ่งที่พูดถึงพรรคประชาธิปัตย์บ่อยที่สุด อาจเพราะผมเป็นคนที่สนใจการเมืองมาตั้งแต่เด็กและติดใจหลากหลายขุนพลฝีปากกล้าของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต 

ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองที่มีอายุยืนยาวที่สุดในประวัติศาสตร์ไทย ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ยุคหลัง 2475 เพื่อยืนข้างสถาบันและกลายเป็นตัวแทนของฝ่ายกษัตริย์นิยมที่ต่อสู้กับคณะราษฎร พรรคนี้เคยยืนอยู่ตรงกลางสนามการเมืองในฐานะสถาบันที่มั่นคง ไม่ใช่แค่พรรคการเมืองธรรมดา ฐานเสียงเคยเหนียวแน่นทั้งในกรุงเทพฯ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในภาคใต้ จนมีคำพูดว่า“แม้ส่งเสาไฟฟ้าลงคนใต้ก็เลือก” และยังครองใจชนชั้นกลางปัญญาชน ที่เชื่อในความสุภาพ ซื่อสัตย์ และวิชาการของพรรค แต่เสาหลักที่เคยมั่นคงกำลังพังทลายกลายเป็นเพียงซากอนุสรณ์ให้ระลึกถึง 

ประวัติศาสตร์ของพรรคประชาธิปัตย์สะท้อนชัดว่าผู้นำแต่ละยุคที่ก้าวขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี มักไม่เคยจบลงอย่างสวยงาม ควงอภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกฯ สามครั้ง แต่สุดท้ายถูกกลืนด้วยรัฐประหาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช ที่เคยเป็นความหวัง กลับพ่ายแพ้ต่อวิกฤตการเมืองปี 2519 และจบลงพร้อมภาพจำของโศกนาฏกรรม 6 ตุลา ชวน หลีกภัย แม้จะขึ้นถึงสองสมัยและได้รับการยอมรับเรื่องความซื่อสัตย์สุจริต แต่ก็ถูกวิจารณ์ว่าเป็นผู้นำที่“เชื่องช้า” จนมีคนเปรียบเปรยว่าเป็นเพียงปลัดประเทศ ขาดพลังผลักดันนโยบายใหญ่ จนจบลงท่ามกลางวิกฤตการเงินและปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ส่วนอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แม้ขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ ในปี 2551 แต่ก็ถูกตราหน้าว่ามาจาก “เกมจัดตั้งในค่ายทหาร” มากกว่าพลังประชาชน และพ่ายแพ้เลือกตั้ง 2554 อย่างยับเยิน 

ฐานเสียงภาคใต้ที่เคยเหนียวแน่นกำลังถูกกัดกร่อนต่อเนื่องพรรคไม่สามารถตอบโจทย์ปัญหาราคายาง หนี้สิน และความเหลื่อมล้ำได้ คนใต้จำนวนมากทิ้งความภักดีไปหาตัวเลือกใหม่ท่ามกลางเสียงที่ไล่ตามหลังมาว่า เลือกพรรคประชาธิปัตย์ไปก็ไม่เคยทำอะไรให้ภาคใต้ดีขึ้น ขณะที่คู่แข่งอย่างภูมิใจไทยสามารถเจาะพื้นที่ได้ด้วยนโยบายจับต้องได้ และกำลังกลายเป็นคู่แข่งสำคัญที่จะโค่นแชมป์ภาคใต้ของพรรคประชาธิปัตย์ลงได้  

ในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ พรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนก็ช่วงชิงหัวใจชนชั้นกลางรุ่นใหม่ไปหมด เพราะนำเสนอนโยบายชัดเจนและยืนข้างขั้วการเมืองที่คนอยากเห็น ขณะที่ประชาธิปัตย์กลายเป็นพรรค “ไม่ชัด” จะอนุรักษ์ก็ไม่สุด จะเสรีนิยมก็ไม่จริง 

บาดแผลที่ทำลายศรัทธาหนักที่สุดคือการนำโดยเฉลิมชัย ศรีอ่อน และเดชอิศม์ ขาวทอง ที่พาพรรคเข้าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยทั้งที่เคยเป็นคู่ปรับตลอดกาล ภาพนั้นถูกตีความว่าเป็นการหักหลังอุดมการณ์ แลกเก้าอี้กับศัตรูเก่า พรรคที่เคยประกาศสู้เพื่อหลักการ กลายเป็นพรรคที่ยอมทำทุกอย่างเพื่อความอยู่รอด และผู้นำทั้งสองก็ไม่มีคาริสม่ามากพอจะสร้างความเชื่อมั่นทดแทนได้ 

ในยามวิกฤตเมื่อเฉลิมชัยลาออกไป เสียงเรียกร้องให้อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ กลับมาเป็นหัวหน้าพรรคดังขึ้นอีกครั้ง เพราะเขายังเป็น “ภาพจำ” ที่ดีที่สุดในบรรดาแกนนำประชาธิปัตย์ ภาพนักการเมืองหนุ่ม สุภาพ พูดภาษาอังกฤษได้คล่อง มีความรู้ และไม่ถูกครหาด้วยเรื่องคอร์รัปชัน แต่ความจริงก็คือ อภิสิทธิ์เต็มไปด้วยจุดอ่อนที่กลายเป็นรอยแผลลึกในเส้นทางการเมือง 

เขาถูกวิจารณ์ตั้งแต่ภาพลักษณ์ “นักเรียนอังกฤษ” ที่ทำให้ถูกมองว่าห่างไกลจากประชาชน ไม่สามารถเข้าถึงรากหญ้าได้ ขาดความเป็นผู้นำ แม้จะมีความรู้ แต่ไม่สามารถสร้างแรงศรัทธาหรือดึงมวลชนให้เชื่อมั่นได้ เหมือนทีมนิวคาสเซิลที่เขาเชียร์ที่เกือบเก่งแต่ไปไม่ถึงฝัน เหตุการณ์ที่เขาขึ้นเป็นนายกฯ ปี 2551 ผ่านการย้ายขั้วและแรงหนุนจากอำนาจนอกระบบ กลายเป็นตราประทับว่า“ไม่ได้มาจากชัยชนะของประชาชน” 

การประกาศไม่เอาพล.อ.ประยุทธ์ ก่อนเลือกตั้งปี 2562 แม้เป็นจุดยืนที่ชัดเจนที่สุดของเขาในการเป็นนักการเมืองที่มีจุดยืนเรื่องประชาธิปไตย แต่กลับกลายเป็นการอ่านเกมผิด เพราะทำให้ฐานอนุรักษนิยมจำนวนมากตีตัวออกห่างจากพรรค ผลการเลือกตั้งสะท้อนทันที พรรคประชาธิปัตย์เหลือเพียง 53 ที่นั่ง และลดลงอีกในการเลือกตั้ง 2566 ที่นำโดยจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ เหลือแค่25 ที่นั่ง และมีคำถามว่าจะตกต่ำลงกว่านี้อีกไหม 

จริงอยู่ว่า ตัวผู้เล่นที่มีอยู่นี้ไม่มีตัวเลือกไหนที่ดีไปกว่า อภิสิทธิ์ เหมือนที่นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ที่ทิ้งพรรคไปแล้วเช่นกันบอกว่าเหมือนกับไฮโลที่เปิดถ้วยแทง แต่ก็ต้องวัดใจคนอย่างเดชอิศม์ที่คุมเสียงของ สส.ว่าจะเห็นด้วยกับความคิดนี้ไหม เพราะการเลือกหัวหน้าพรรคของประชาธิปัตย์นั้นให้น้ำหนักกับคนที่เป็นสส.ปัจจุบันมาก แต่นั่นแหละอภิสิทธิ์ก็เป็นเพียงตัวเลือกที่ถูกมองว่าดีที่สุดเท่านั้น  

แม้ในอดีตพรรคประชาธิปัตย์จะเคยรุ่งเรืองแล้วตกต่ำกลับมารุ่งเรืองแล้วตกต่ำและกลับมาอีกได้ในหลายครั้ง แต่ปัจจัยในปัจจุบันนั้นได้เปลี่ยนไปแล้ว เพราะพรรคประชาธิปัตย์ไม่สามารถเอาชนะใจคนในปัจจุบัน และสร้างความภักดีต่อแบรนด์ให้กลับมาได้อย่างในอดีตที่เคยเป็นพรรคที่มีฐานมวลชนเหนียวแน่น คนจำนวนไม่น้อยมองว่า พรรคประชาธิปัตย์เป็นเพียงสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ เหมือนแก้วที่แตกสลายไปแล้ว 

อีกโจทย์ใหญ่ที่กดทับประชาธิปัตย์ไม่แพ้อภิสิทธิ์คือ “เงาของชวน หลีกภัย” แม้พ้นจากหัวหน้าพรรคมานาน แต่ยังครอบงำพรรคในฐานะผู้เฒ่าที่คุมเกม ทำให้ไม่สามารถสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่มีเสน่ห์สาธารณะพอจะขึ้นแท่นได้ และยิ่งย้อนรอยกลับไปผูกกับมรดกสมัยชวนที่ยังคาราคาซังอย่าง MOU 2543 ไทย–กัมพูชา แต่ทุกครั้งที่ชายแดนมีเหตุปะทะ กระแสอนุรักษนิยมจะหยิบขึ้นมาเป็น“ของร้อน” เรียกร้องให้ยกเลิก และชื่อของประชาธิปัตย์ก็ถูกลากกลับเข้าสู่สมรภูมิการเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า 

เมื่อมองภาพรวม ประชาธิปัตย์ในวันนี้จึงเหมือนเรือเก่าที่รั่วเต็มลำ อดีตสมาชิกคนสำคัญของพรรคพากันทิ้งพรรคไปสร้างดาวดวงใหม่ ต่อให้เอาอภิสิทธิ์กลับมานั่งกัปตัน ก็ได้เพียงต่อท่อออกซิเจนให้ลอยไปอีกระยะ ไม่ใช่หัวใจใหม่ที่จะพาออกจากพายุฐานอนุรักษนิยมไม่ศรัทธาเหมือนเดิม ฐานชนชั้นกลาง ปัญญาชนก็ย้ายไปหาพรรคก้าวไกลและพรรคประชาชนแล้ว การกลับมาของอภิสิทธิ์จึงแทบไม่มีทางกอบกู้พรรคให้กลับมารุ่งเรือง 

ทางรอดเดียวของประชาธิปัตย์คือการผ่าตัดใหญ่ ต้องกล้าปลดเงาของชวน หลีกภัย เลิกเอาบรรดาผู้เฒ่ามาอยู่หัวแถวในบัญชีปาร์ตี้ลิสต์ และสร้างผู้นำรุ่นใหม่ที่เปล่งประกาย มีเสน่ห์บุคลิกที่ดึงดูด และมีความรู้ความสามารถพอจะสร้างความเชื่อมั่นพร้อมทั้งปักธงนโยบายที่ชัดและตอบโจทย์จริง เช่น การแก้หนี้ครัวเรือน การปฏิรูปการศึกษา การสร้างเศรษฐกิจใหม่ด้วยดิจิทัลและพลังงานสะอาด รวมถึงยอมรับความผิดพลาดจาก MOU 2543 หากยังเลือกจะยืนอยู่ในพื้นที่ก้ำกึ่ง ไม่ชัด ไม่กล้า พรรคนี้ก็อาจเหลือเพียง “ภาพถ่ายเก่า” ที่สวยงามในพิพิธภัณฑ์การเมือง แต่ขายไม่ได้ในตลาดจริง 

ประชาธิปัตย์กำลังยืนอยู่ตรงทางแยกสำคัญ จะสามารถสร้างชีวิตใหม่ให้ตัวเองได้ไหม หรือจะกลายเป็นเพียงตำนานที่มีเพียงรอยเท้าในประวัติศาสตร์ แต่ไร้ความหมายต่ออนาคตแล้วค่อยๆถูกลบชื่อหายไปจากการเมืองไทย 
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น