ในทันทีที่ข่าวนางสาวแพทองธาร ชินวัตร ถูกศาลถอดถอนออกจากตำแหน่งนายกฯ เนื่องจากทำผิดจริยธรรมอย่างร้ายแรง พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยวิ่งเข้าหาพรรคโน้นพรรคนี้ เพื่อรวบรวมเสียงให้ได้เกินครึ่ง และเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาล
แต่พรรคภูมิใจไทยหรือพรรคเพื่อไทยจะเป็นแกนนำได้จะต้องได้รับเสียงสนับสนุนจากพรรคประชาชน เนื่องจากพรรคนี้มีเสียงมากที่สุดคือ 143 เสียง จึงเป็นตัวชี้ขาดในการตั้งรัฐบาล
ดังนั้น ทั้งพรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยจึงต้องอาศัยเสียงของพรรคนี้
ด้วยเหตุนี้ พรรคภูมิใจไทยและพรรคเพื่อไทยจึงต้องเข้าหาเพื่อขอเสียงสนับสนุน
พรรคประชาชนได้ประชุมกันและเลือกสนับสนุนพรรคภูมิใจไทยโดยมีเงื่อนไข 5 ประการคือ
1. แก้ปัญหาเฉพาะหน้า
2. จัดทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ
3. ไม่ดูดเสียงไปเป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก
4. สร้างหลักประกันยุบสภาฯ ใน 4 เดือน
5. ไม่เข้าร่วมรัฐบาลและไม่ส่งคนไปเป็นรัฐมนตรี
ต่อมานายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้แถลงยอมรับเงื่อนไขของพรรคประชาชน และเตรียมตั้งรัฐบาล
ในทันทีที่พรรคประชาชนประกาศหนุนนายอนุทิน เป็นนายกฯ ทางพรรคเพื่อไทยโดยนายภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรี ได้ประกาศว่า พรรคเพื่อไทยได้ทำหนังสือทูลเกล้าฯ ยุบสภาฯ แล้ว แต่ต่อมาทางสำนักองคมนตรีได้ตีกลับหนังสือทูลเกล้าฯ ยุบสภาฯ โดยให้เหตุผลว่าไม่ถูกขั้นตอนจึงเป็นอันว่ายุบสภาฯ ทำไม่ได้
ดังนั้น การแต่งตั้งนายกฯ ก็ดำเนินต่อไปในวันที่ 5 กันยายน
ถึงกระนั้นพรรคเพื่อไทยก็ยังไม่ยอมถอยเดินหน้าต่อไปด้วยการเสนอนายชัยเกษม นิติสิริ เข้าแข่งกับนายอนุทิน โดยเสนอเงื่อนไขว่า ถ้าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลจะยุบสภาฯ ทันที หลังจากได้แถลงนโยบายต่อสภาฯ แล้ว
จากผลของการเลือกนายกฯ ในวันที่ 5 กันยายน ปรากฏว่านายอนุทินได้รับเลือกด้วยคะแนน 311 เสียง ส่วนนายชัยเกษม ได้ 152 เสียง จึงเป็นอันว่านายอนุทิน ชาญวีรกูล ได้รับเลือกเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 32
ต่อจากนี้ไปรัฐบาลภายใต้การนำของนายอนุทิน จะบริหารประเทศตามนโยบายที่แถลงต่อสภาฯ ในกรอบเวลา 4 เดือนตามเงื่อนไขที่ตกลงไว้กับพรรคประชาชน
ส่วนว่าจะทำตามเงื่อนไขของพรรคประชาชนได้ทุกข้อหรือไม่ เป็นเรื่องของอนาคต และถ้าทำไม่ได้พรรคประชาชนจะทำอย่างไร ทั้งนี้เนื่องจากมีตัวแปรทางการเมืองมากมายหลายประการอนุมานได้ดังต่อไปนี้
1. ถ้าพรรคเพื่อไทยถูกยุบในข้อหาปล่อยให้คนนอกครอบงำพรรคตามที่มีผู้ร้องไว้ต่อ กกต.และถ้า กกต.ส่งศาลรัฐธรรมนูญและศาลรับไว้พิจารณาวินิจฉัยแล้วมีความผิด และให้ยุบพรรคพร้อมกับลงโทษกรรมการบริหารพรรค ส่วน สส.ที่เหลือต้องหาพรรคสังกัดใหม่ และ สส.ที่ว่านี้ไปเข้าพรรคภูมิใจไทยหรือพรรคร่วมรัฐบาล ทำให้เสียงรัฐบาลเพิ่มขึ้นจะเข้าข่ายผิดเงื่อนไขตามข้อ 4 หรือไม่
2. ถ้า 44 สส.ของพรรคประชาชนที่มีผู้ร้องว่ากระทำผิดมาตรา 112 ในกรณีลงชื่อแก้มาตรา 112 และผลปรากฏออกมาว่ามีความผิดตามที่มีผู้ร้อง ทำให้จำนวน สส.ของพรรคประชาชนลดลงส่งผลให้การต่อรองกับรัฐบาลในการทำตามเงื่อนไขหรือไม่
3. ถ้าคดีมาตรา 144 ซึ่งค้างอยู่ที่ ป.ป.ช.ถูกส่งต่อไปยังศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรับไว้พิจารณาและผลออกมาว่ามีความผิดทำให้ ครม.ทั้งของนายเศรษฐา ทวีสิน และของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร รวมไปถึง สส., สว.ที่ให้ความเห็นชอบกับการเปลี่ยนแปลงงบประมาณ ซึ่งเป็นมูลแห่งความผิดจะต้องพักจากตำแหน่ง สส.และ สว.จะทำให้เกิดสุญญากาศทางการเมือง รัฐบาลชุดนี้ก็จะได้ผลกระทบด้วย
โดยสรุปรัฐบาลของนายอนุทิน มีโอกาสจะอยู่ไม่ถึง 4 เดือน และเงื่อนไขที่พรรคประชาชนทำไว้ก็มีอันต้องเป็นหมันไปด้วย