xs
xsm
sm
md
lg

ความหวังในกาลเวลาของพรรคส้ม หรือจะเป็นเพียงคลื่นที่ซัดฝั่ง

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

พรรคประชาชนกำลังเดินบนเส้นลวดบาง ๆ ที่ทั้งอันตรายและท้าทาย พวกเขายกมือให้อนุทิน ชาญวีรกุล จากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรีภายใต้เงื่อนไข MOA ห้าข้อ แต่ประกาศตัวเป็นฝ่ายค้านในเวลาเดียวกัน มันคือการเดินเกมการเมืองที่ไม่เคยมีใครทำมาก่อน เสมือนยื่นมือไปสัมผัสอำนาจแต่ยังยืนอยู่ในตำแหน่งของผู้ต่อต้าน การทำเช่นนี้อาจถูกมองว่าเป็นการเก็บทุนทางศีลธรรมและรักษาความเป็นฝ่ายค้านผู้ตรวจสอบ แต่ในอีกด้านกลับเสี่ยงถูกฐานเสียงตั้งคำถามว่าพรรคกำลังปล่อยให้รัฐบาลเสียงข้างน้อยซื้อเวลาของการเมืองที่กำลังอ่อนล้า


เสียงวิพากษ์จากผู้สนับสนุนสะท้อนความไม่แน่ใจ หลายคนกังวลว่าข้อตกลงเหล่านี้เป็นเพียงหมุดหมายบนปฏิทินที่จะถูกเลี่ยงไปเมื่อถึงเวลา หากรัฐบาลไม่ยุบสภาหรือไม่แตะรัฐธรรมนูญจริง พรรคจะเสียความน่าเชื่อถืออย่างร้ายแรง ความเชื่อมั่นที่เคยมีว่าเป็นพรรคของคนรุ่นใหม่ที่กล้าชนกับโครงสร้าง จะกลับกลายเป็นพรรคที่ถูก establishment ใช้ประโยชน์โดยไม่รู้ตัว

ในทางรัฐศาสตร์ ทฤษฎีของซามูเอล ฮันติงตัน เคยเตือนว่าหากสถาบันใหม่เติบโตเร็วเกินไปโดยที่สถาบันเก่าไม่สามารถปรับตัวให้สอดรับได้ จะนำไปสู่ความไม่มั่นคงและการโต้กลับของฝ่ายอำนาจเดิม ขณะที่สตีเวน ลีวิตสกี ศาสตราจารย์ด้านรัฐศาสตร์ จากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และดาเนียล ซีบลัต จากมหาวิทยาลัยเดียวกัน บอกว่า “ราง” ของประชาธิปไตยถูกออกแบบเพื่อปกป้องระบบมากกว่าปกป้องผู้ท้าทาย และเมื่อผู้เล่นใหม่ถูกมองว่าอยู่นอกวง ระบบจะปิดกั้นโดยสัญชาตญาณ เพื่อรักษาสิ่งที่เรียกว่าเสถียรภาพของระบอบ

ในสายตาของนักวิชาการไทยที่มีจุดยืนสนับสนุนพรรคประชาชนอย่าง ปวิณ ชัชวาลย์พงษ์พันธ์ เคยชี้ว่าการเมืองไทยอยู่ภายใต้ “deep state” ที่ไม่ยอมให้พลังการเมืองแบบพรรคประชาชนก้าวขึ้นมาบริหารประเทศได้จริง ต่อให้ชนะเลือกตั้งกี่ครั้งก็จะถูกกันออกไปจากอำนาจ ข้อตกลง MOA ครั้งนี้จึงเสี่ยงกลายเป็นเพียงการประคับประคองตัวเอง ไม่ใช่การเปิดพื้นที่ใหม่ในเชิงโครงสร้าง

ส่วนธงชัย วินิจจะกูล นักวิชาการเชื้อสายไทยที่เป็นพลเมืองสหรัฐและสนับสนุนพรรคประชาชน เตือนว่าพรรคการเมืองแบบนี้กำลังเล่นเกมกับโครงสร้างที่แข็งตัวอย่างยาวนาน เหมือนคนเดินอยู่บนผืนประวัติศาสตร์ที่ถูกกำหนดให้ปิดกั้นการเปลี่ยนผ่านทุกครั้งที่ใกล้จะสำเร็จ การยื่นมือเข้าหาอำนาจเดิมอาจถูกใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่าท้ายที่สุดแล้ว การเมืองแบบก้าวหน้าไม่อาจข้ามกำแพงที่สร้างไว้ตั้งแต่เหตุการณ์พฤษภา 35 จนถึงปัจจุบัน


ใบตองแห้ง หรืออธึกกิต แสวงสุข ซึ่งเป็นหนึ่งในนายแบกพรรคประชาชนและพยายามทำตัวเป็นผู้นำทางความคิด มองในอีกแง่ เขาเคยวิจารณ์ว่าพรรคแบบนี้อาจ “ถูกบีบจนไม่มีทางเลือก” การทำ MOA กับภูมิใจไทยจึงเป็นการหาทางรอดในสนามที่ไม่เป็นธรรม และอาจเป็นวิธีเดียวที่จะรักษาพื้นที่ทางการเมืองเอาไว้ เขายอมรับว่าเสี่ยง แต่ถ้าไม่เสี่ยงก็จะถูกบีบให้ออกจากเกมอยู่ดี ปัญหาคือเสี่ยงแล้วต้องมี “ทางถอย” ที่ทำให้คนเชื่อว่าพรรคยังคงรักษาหลักการไว้ได้ หากผิดสัญญาก็ต้องกล้าถอนตัวอย่างชัดเจน

หากมองย้อนจากสายตาของผม พรรคนี้เป็นเส้นทางต่อเนื่องจากอนาคตใหม่ ก้าวไกล จนถึงประชาชน คือการเมืองที่ประกาศตัวว่าจะชนกับเพดานอำนาจและโครงสร้างรัฐ เมื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เจ้าของพรรค พูดเรื่องการแยกรัฐออกจากศาสนา เมื่อปิยบุตร แสงกนกกุล ผู้ร่วมก่อตั้งพรรค ท้าทายการตีความบทบาทของกษัตริย์ในทางการเมือง เมื่อพรรณิการ์ วาณิช แม้ถูกตัดสิทธิทางการเมืองแต่ยังคงส่งเสียงในโลกออนไลน์ หรือเมื่อพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ กับชัยธวัช ตุลาธน แบกบทบาทผู้นำฝ่ายค้าน ทั้งหมดนี้คือการวางแนวทางการเมืองที่ไม่อยู่ในกรอบเดิม และเมื่อไม่อยู่ในกรอบเดิมก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ก้าวสู่การเป็นรัฐบาล

นี่คือสมการที่เห็นได้ชัด พรรคประชาชนอาจชนะเลือกตั้งได้จริง ได้ที่นั่งมากที่สุดในสภา แต่จะไม่มีวันจัดตั้งรัฐบาลได้เต็มรูปแบบ เพราะอำนาจดั้งเดิมไม่มีวันเปิดประตูให้พรรคที่ถูกมองว่าเป็นภัยต่ออุดมการณ์ของรัฐ ทฤษฎีการเมืองก็บอกไว้แล้ว เมื่อสถาบันใหม่เติบโตเร็วเกินไป ระบบจะหวนกลับไปพึ่งสถาบันเดิมเพื่อค้ำยันเสถียรภาพ จึงไม่ใช่เรื่องบังเอิญที่บรรทัดฐานและขนบทางการเมืองทั้งหมดในสังคมไทยจะกดพรรคนี้ไว้ให้อยู่ในตำแหน่งฝ่ายค้านตลอดเวลา

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนเมื่อเกิดวิกฤตชายแดนไทย–กัมพูชา กระแสชาตินิยมถูกปลุกขึ้นอีกครั้ง ท้องถนนเต็มไปด้วยเสียงเรียกร้องให้ปกป้องเอกราช กระแสแบบนี้สวนทางกับวาทกรรมเสรีนิยมของพรรคประชาชนทันที เมื่อคนจำนวนมากหันไปให้ความสำคัญกับความมั่นคงและดินแดน วาทกรรมเรื่องปฏิรูปโครงสร้างรัฐดูห่างไกลและไม่ตอบโจทย์ปากท้อง ความเสี่ยงคือพรรคอาจถูกตีตราว่าเป็นพรรคที่ไม่เข้มแข็งเรื่องชาติ แม้จะไม่เป็นความจริงทั้งหมด แต่การรับรู้ของสังคมคือความจริงในทางการเมือง

คนรุ่นใหม่แห่ไปชื่นชมบทบาทของทหารที่ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติ ทั้งที่ย้อนไป 4-5 ปี ก่อน ธนาธร พ่อของฟ้า หรือแด๊ดดี้พิธา สามารถหล่อมหลอมคนรุ่นใหม่จำนวนมากให้เดินตามความคิดของพวกเขา และทำให้คนรุ่นใหม่ออกมาทลายเพดานของสังคม ออกมาชุมนุมบนท้องถนนเรียกร้องให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ด้วยถ้อยคำที่หยาบคาย รุนแรง และท้าทาย ล้ำเส้นของกฎหมายปกป้องสถาบันกษัตริย์ มาตรา 112 ทำให้มีคนรุ่นใหม่ถูกดำเนินคดีและถูกจำคุกจำนวนมาก รวมถึงคนที่เป็นส.ส.ของพรรคประชาชนในปัจจุบันด้วย และคนรุ่นใหม่จำนวนมากหลบหนีคดีไปเผชิญวิบากรรมในต่างประเทศ

ต้องยอมรับว่าธนาธรประสบความสำเร็จมากในการปลุกปั่นคนรุ่นใหม่ ในฐานะศาสดาคนหนี่งที่ทำให้คนรุ่นหนึ่งคลั่งไคล้ เขาสร้างสำนักพิมพ์ฟ้าเดียวกันออกมาเพื่อเผยแพร่แนวคิดในการลิดรอนบทบาทและสถานะของสถาบันกษัตริย์ และสามารถครอบงำความคิดของคนรุ่นใหม่ได้

ธนาธรบอกว่า “ผมคิดว่าทุกคนมีพระเจ้าของตัวเอง แล้วคุณก็คุยกับพระเจ้าของคุณเองได้โดยไม่ต้องผ่านวัด โบสถ์ หรือมัสยิด คุณคุยกับพระเจ้าของตัวคุณได้ แม้กระทั่งระหว่างการวิ่ง คุณก็คุยกับพระเจ้าได้ คุณไม่ต้องไปตักบาตร ไปมิสซา หรือละหมาดเพื่อจะคุยกับพระเจ้า สิ่งที่ผมเชื่อก็คือศรัทธาทางศาสนาควรจะเป็นศรัทธาที่เปิดกว้าง และไม่ควรมีวัดหรือศาสนา หรือองค์กรใดมาบังคับหรือเชิดชูความเชื่อใดความเชื่อหนึ่งให้มากกว่าความเชื่ออื่นๆ”

ส่วนปิยะบุตร กล่าวว่า รัฐแบบสมัยใหม่คืออะไร หนึ่ง คุณต้องแยกเรื่องส่วนตัวกับเรื่องสาธารณะออกจากกัน แต่ประเด็นปัญหาของสถาบันพระมหากษัตริย์คือไม่สามารถแยกเรื่องนี้ได้ เพราะการสืบทอดตำแหน่งนั้นมาทางสายเลือด ถ้าเรื่องนี้เป็นเรื่องส่วนตัว คุณเป็นลูกของนักธุรกิจหมื่นล้าน พ่อคุณเสียชีวิตไป ทำพินัยกรรมให้คุณเอาธุรกิจไปบริหารต่อ ก็คงไม่มีใครว่า เพราะเป็นธุรกิจบ้านคุณ ถึงกระนั้น รัฐยังตามไปเก็บภาษีมรดกเลย ถึงกระนั้น พ่อแม่บางคนยังบอกว่า ลูกเราไม่ได้เรื่องว่ะ เราไม่ให้มันว่ะ ให้มันเป็นผู้ถือหุ้นก่อน แล้วเราไปเอาผู้บริหารมืออาชีพเข้ามาบริหารแทน แต่นี่มันเป็นเรื่องส่วนตัวที่คนฟังแล้วรู้สึกโอเค แต่ตำแหน่งประมุขของรัฐ มันเป็นเรื่องสาธารณะ แล้วทำไมโลกแบบใหม่ถึงยอมให้สถาบันกษัตริย์สืบทอดทางสายโลหิต ถ้าเราบอกว่านายกรัฐมนตรีคนนี้ตาย เอาลูกตัวเองมาเป็นต่อ ก็คงไม่มีใครยอม เพราะฉะนั้น ปทัสถาน (norm) แบบที่เป็นอยู่ของสถาบันพระมหากษัตริย์นี้ ไม่มีทางปรับให้เข้ากับระบบแบบใหม่ได้แน่ๆ

คำถามใหญ่ที่หลายคนรอคอยคือ ถ้าวันหนึ่งธนาธรกลับคืนสนามการเมือง ภาพจะเป็นอย่างไร คำตอบอาจไม่สดใสเท่าที่คาด แม้เขายังมีฐานชนชั้นกลาง แฟนคลับคนรุ่นใหม่ในเมือง แต่กระแสชาตินิยมที่กำลังพุ่งแรงอาจกลายเป็นลมสวนที่ทำให้วาทกรรมเดิมของเขาไม่สามารถขยายฐานไปยังชนบทหรือคนชั้นกลางที่เริ่มกังวลเรื่องความมั่นคงได้ หากธนาธรกลับมาช้าเกินไป เขาอาจกลายเป็นเพียงสัญลักษณ์ในอดีต มากกว่าจะเป็นพลังนำในอนาคต

ทั้งหมดนี้ทำให้ภาพการเมืองไทยชัดเจนขึ้น พรรคประชาชนยังคงเป็นพรรคที่ชนะในสนามวาทกรรม ชนะในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่จะยังติดล็อกไม่ให้ก้าวสู่การเป็นรัฐบาลเต็มรูปแบบ พวกเขากำลังเดิมพันด้วยสูตรที่อันตราย ยกมือให้รัฐบาลแต่ประกาศเป็นฝ่ายค้าน หากสำเร็จจะสร้างประวัติศาสตร์เป็นฝ่ายค้านที่ขับเคลื่อนการเมืองไทยจริง แต่หากพลาดจะถูกจารึกว่าเป็นพรรคที่ถูกใช้เพื่อยืดอายุอำนาจของคนอื่น

นี่ไม่ใช่การต่อสู้ธรรมดาระหว่างพรรคส้มกับอำนาจเก่า แต่คือการต่อสู้ระหว่างความเร็วของความฝันกับรากลึกของสถาบัน หากความฝันวิ่งเร็วเกินไปโดยไม่เหลียวหลังดูจังหวะของสังคม ก็อาจสะดุดล้มลงกลางทาง และเมื่อถึงวันนั้น พรรคประชาชนจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า ตัวเองยังเป็นความหวัง หรือเป็นเพียงบทเรียนของการเมืองไทยที่กลายเป็นคลื่นที่สลายไปตามกาลเวลา

ติดตามผู้เขียนได้ที่https://www.facebook.com/surawich.verawan




กำลังโหลดความคิดเห็น