ไหนๆ...ได้ไปว่ากันถึงคุณพี่จีนไปแล้ว เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดท้ายสัปดาห์นี้เลยคงต้องขออนุญาตแวะไปดูคุณพ่ออเมริกาเขาไว้สักหน่อย เพื่อไม่ให้เสียน้ำใจ โดยเฉพาะในแง่ของการที่จะยื้อ จะยืนระยะ ในความเป็นมหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลกเอาไว้ได้อีกนานแค่ไหน? หรือไม่?อย่างไร? เพราะเมื่อช่วงวัน-สองวันก่อน หรือช่วงวันศุกร์ที่ 5 ก.ย.ที่ผ่านมา ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ท่านก็ได้สร้าง “มุก” ใหม่ ซึ่งจะดูเก๋ ดูเท่ ดูดีหรือ “ดูเว่อร์” ก็แล้วแต่จะว่ากันไป นั่นคือการลงนามในคำสั่งประธานาธิบดีให้เปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหม หรือกระทรวงป้องกันอเมริกา ให้กลายมาเป็น “กระทรวงสงคราม”(Department of Defense to the Department of War) แบบชนิดฐานทัพอเมริกาเกือบ 800 แห่งทั่วทั้งโลก หรือตั้งแต่เวอร์จิเนียไปยันเกาะกวมโน่นเลย มีอันต้องเปลี่ยนป้าย เปลี่ยนโลโก เสียเงิน-เสียทองกันเป็นร้อยล้าน พันล้าน เพราะมุกใหม่ที่ว่า ไม่ใช่เรื่องล้อเหล้นน์น์น์ หรือเรื่องประเภทก่อนบ่ายคลายเครียดซะที่ไหน...
คือการเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมอเมริกาคราวนี้...แม้จะดูเป็นเรื่องเล็กๆ แบบเอาเก๋ เอาเท่ เข้าว่า แต่ถ้าลองมองให้ลึกๆแล้ว ก็อาจถือเป็นการ “สะท้อน” อะไรต่อมิอะไรในความรู้สึกนึกคิดของผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้พอสมควรเหมือนกัน เพราะเมื่อลองย้อนกลับไปสำรวจตรวจสอบประวัติศาสตร์อเมริกา นับแต่ปี ค.ศ. 1789 เป็นต้นมา หรือนับแต่ประเทศอเมริกาเริ่มเป็นตัว เป็นตน กระทรวงที่ทำหน้าที่ในลักษณะดังกล่าวก็ถูกเรียกขานในนาม “กระทรวงสงคราม” มาตั้งแต่สมัยประธานาธิบดี “George Washington” โน่นเลย เพิ่งจะเปลี่ยนชื่อเป็นกระทรวงป้องกันประเทศ หรือกระทรวงกลาโหม ก็เมื่อช่วง “สงครามโลกครั้งที่ 2” ผ่านพ้นไปแล้ว หรือเมื่อช่วงปี ค.ศ. 1947 สมัยประธานาธิบดี “Harry Truman” นั่นเอง ด้วยเหตุนี้....การที่ “ทรัมป์บ้า” คิดหวนกลับไปใช้ชื่อเดิมแบบจริงๆ จังๆไม่ได้คิดแต่เพียงว่า “ชื่อ...นั้นสำคัญไฉน” อันนี้นี่แหละ...ที่อาจถือเป็นสะท้อนอะไรต่อมิอะไรในความรู้สึกนึกคิดของประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ได้บ้างไม่มาก-ก็น้อย...
หรือช่วงที่กระทรวงแห่งนี้ถูกเรียกว่า “กระทรวงสงคราม”ยาวนานนับเป็นร้อยๆ ปี เกือบๆ 200 ปี อาจถือเป็นช่วงที่ประเทศอเมริกากำลังอยู่ในภาวะแห่งความห้าว ความกร้าว อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย คือต้องทำสงครามกับทั้งอังกฤษ สเปน เม็กซิโก ฟิลิปปินส์ ฯลฯ ตลอดไปจนถึงพวกเจ้าของดินแดนดั้งเดิมอย่างพวกอเมริกัน-อินเดียน หรืออินเดียนแดง จนสามารถขยายอาณาเขต ขยายประเทศ ขยายดินแดน จากฝั่งตะวันตกไปตะวันออก จากมหาสมุทรแอตแลนติกไปยันมหาสมุทรแปซิฟิก รวมทั้งเริ่มต้นคิดจะครองโลก คิดยึดดินแดนต่างๆ มาเป็นของตัวเองตามแบบฉบับประเทศยุโรป หรือพวก “อดีตนักล่าอาณานิคม”ทั้งหลาย คำว่า “กระทรวงสงคราม” มันจึงไม่ใช่เป็นเพียงช่วงแห่งความรุ่งโรจน์ ยิ่งใหญ่ เกรียงไกรของอเมริกาเท่านั้น แต่ยังเป็นตัวสะท้อนให้เห็นถึงความกระหายใคร่อยาก ของการที่จะยึดโลก ครอบครองโลก ไปจนถึงการกีดกันใครต่อใครไม่ให้เข้ามายุ่งกับ “สวนหลังบ้าน” ของอเมริกา ตามแบบที่เรียกว่า“ลัทธิมอนโร” อะไรทำนองนั้น...
ดังนั้น...ไม่ว่า “ทรัมป์บ้า” กำลังคิดอะไรอยู่ในใจ แต่การเสียเงิน-เสียทองระดับเป็นร้อยล้าน พันล้าน เพื่อเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมให้กลายมาเป็น “กระทรวงสงคราม” คราวนี้ น่าจะส่อให้เห็นถึงความกระหายใคร่อยาก ในแบบไม่น่าจะต่างไปจากเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว โดยเฉพาะความกระหายใคร่อยาก ที่อยากจะได้ประเทศแคนาดามาเป็นรัฐที่ 51 ของอเมริกา อยากได้เกาะกรีนแลนด์ หรืออาจอยากบุกเข้าไปยึดดินแดนเพิ่มเติมในเม็กซิโกแบบเดียวกับที่กำลังบุกประเทศเวเนซุเอลา โดยอาศัย “ข้ออ้าง” เรื่องการกวาดล้างเครือข่ายยาเสพติดเป็นสำคัญ ฯลฯ ส่วนจะ “เป็นไปได้” ตามความอยาก ความใคร่ หรือความปรารถนาของ “ตัวกูเอง” หรือไม่? เพียงใด? นั้น อันนี้นี่แหละที่คงต้องลองมาวิเคราะห์ สังเคราะห์ ให้เป็นเรื่อง-เป็นราว ว่าจะสมอยาก สมปรารถนา หรือจะต้อง “แห้วกระป๋อง”อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ โดยเฉพาะเมื่อโลกยุคนี้รวมทั้งสังคมอเมริกันเองมันต่างไปจากยุคเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้วแบบคนละเรื่อง-คนละม้วน...
หรืออย่างที่ว่าไว้แล้วนั่นแหละว่า...โลกยุคนี้ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ” ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และยากส์ส์ส์เอามากๆ ที่จะให้หวนกลับคืนมาสู่จุดเดิมๆ ได้ง่ายๆ แค่เห็นภาพการ “สวนสนาม” ในวันแห่งชัยชนะของประเทศจีน ประเทศที่เมื่อช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19 กองทหารและเรือรบตะวันตกแค่ไม่กี่ลำ ก็สามารถยึดเมืองท่า ยึดบางส่วนของประเทศได้แบบแทบไม่มีความผิดใดๆ แต่มาถึงยุคนี้...ไม่ใช่แค่กองทัพอเมริกันจะต้องรบแบบ “นองเลือด” เหมือนเมื่อครั้ง “สงครามเกาหลี”เท่านั้น แต่ฐานทัพอเมริกันบางแห่ง อย่างเช่นที่เกาะกวม เผลอๆ...อาจหายวับไปกับตาในแค่ชั่วไม่กี่นาที เมื่อต้องเจอกับจรวด “DF-26D” ของจีน ที่ได้ชื่อ ฉายา ว่า “Guam Killer”เอาเลยก็ไม่แน่!!! นั่นยังไม่รวมไปถึงอาวุธร้ายๆ ในมือ “มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกา” และ “พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดของจีน” อย่างรัสเซีย ไปจนถึงการผนึกกำลัง รวมตัว ระหว่างมหาอำนาจเศรษฐกิจอันดับต้นๆ ของโลกอย่าง “รัสเซีย-จีน-อินเดีย” หรือ “RIC” ที่ปรากฏโฉมหน้าให้เห็นอย่างเป็นที่ประจักษ์ ในการประชุมสุดยอดกลุ่มประเทศ “SCO” เมื่อไม่กี่วันมานี้...
ด้วยเหตุนี้...การเปลี่ยนชื่อกระทรวงกลาโหมเป็น“กระทรวงสงคราม” ของอเมริกา ก็เลยอาจเพียงแค่พอสร้างความ “ขนหัวลุก” ให้กับบรรดาอเมริกันชนด้วยกันเองนั่นแหละเป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่คิดจะส่ง “กำลังทหาร” เข้าไปควบคุมเมืองชิคาโก ดันไปโพสต์ข้อความ หรือไปขู่ใครต่อใคร ไว้ใน “Truth Social” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (6 ก.ย.) ถึงขั้นว่า...“ชิคาโกจะพบว่า...ทำไมรัฐบาลของเราถึงได้เปลี่ยนชื่อกระทรวงป้องกันเป็นกระทรวงสงคราม” อันนี้...ก็เลยกลายเป็นอย่างที่ผู้ว่าฯ รัฐชิคาโก “นายJ.B. Pritzker” ท่านว่าเอาไว้นั่นแหละว่า “นี่...คือการขู่ที่จะทำสงครามกับเมืองต่างๆ ของชาวอเมริกัน” โดยจะถึงขั้นขนหัวลุก ขนคอตั้ง ไปถึงขั้นไหนคงต้อง “รออีกจั๊กกู้” หรือต้องรอดูว่า “ทรัมป์บ้า” จะบ้ามาก-บ้าน้อย กันในแบบไหน? อย่างไร?
แต่ก็นั่นแหละ...ไม่ว่าเมืองต่างๆ หรือรัฐต่างๆ ในอเมริกาจะถูกกระทำย่ำยีโดย “กระทรวงสงคราม” หรือไม่? อย่างไร? แนวโน้มที่รัฐหลายต่อหลายรัฐ กำลังจะยอบแยบ ยับเยิน ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล ยิ่งน่าจะมีความเป็นไปได้สูงยิ่งเข้าไปทุกที ดังเช่นที่หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของ “Moody’s Analytics” อย่าง“นายMark Zandi” ได้ออกมาเตือนๆ ใครต่อใครเอาไว้ล่วงหน้า เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา (8 ก.ย.) นั่นแหละว่า บรรดารัฐต่างๆ ในอเมริกา ไม่ว่าเวอร์จิเนีย คอนเนตทิคัต เดลาแวร์ ฯลฯ หรือรัฐที่เคยมีส่วนสร้าง “GDP” ให้กับประเทศอเมริกาถึง 3 ส่วน ต่างกำลังตกอยู่ใน “อันตราย” อันเนื่องมาจากแนวโน้มที่ต้องเจอกับภาวะ “เศรษฐกิจถดถอย” สูงเอามากๆ หรือทำให้แม้ไม่ต้องเจอกับการไล่ทุบ ไล่กระทืบ จากบรรดาทวยทหารอเมริกันแห่ง “กระทรวงสงคราม” แต่ยังไงๆ...ก็น่าจะมีแต่ตายกับตาย หรือแม้ไม่ตายก็คงเลี้ยงไม่โตไปอีกนานเท่านาน...
สรุปง่ายๆ ว่า...แม้ว่าผู้นำอเมริกา อย่าง “ทรัมป์บ้า” คิดจะพยายามเคี่ยวเข็ญ ชักชวนให้บรรดาอเมริกันชนทั้งหลายหวนกลับไปคิดถึงวันอันรุ่งโรจน์ วันที่ “กระทรวงสงคราม” ได้สร้างความยิ่งใหญ่เกรียงไกรให้กับ “จักรวรรดิอเมริกัน” จนสามารถครอบงำโลกทั้งโลกได้จนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ในเมื่อโลกทั้งโลกรวมทั้งสังคมอเมริกันได้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อเกือบ 200 ปีที่แล้ว แบบชนิดจำหน้า-จำตาแทบไม่ได้ โลกที่ “กองทัพอเมริกัน” ไม่ได้มีศักยภาพพอที่จะเป็นผู้กำหนด “สงครามและสันติภาพ” อีกต่อไป โลกที่ “เงินดอลลาร์อเมริกัน” ได้ลดอิทธิพลลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ หรืออย่างที่บทวิเคราะห์ของ “Foreign Central Bank” โดยประธานบริหารการลงทุนสัญชาตสวิส “Syz Group” ได้ออกมาระบุไว้ช่วงล่าสุดนั่นแหละว่า โลกได้เกิดปรากฏการณ์ที่เรียกว่า “Global Rebalancing”หรือการปรับสมดุลเศรษฐกิจโลกครั้งใหญ่ ที่บรรดา “ธนาคารกลาง” ทั่วทั้งโลกได้ปรับเปลี่ยนการถือครองทุนสำรองจากเงินดอลลาร์อเมริกันมาเป็นทองคำ จนแซงหน้าพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ เป็นครั้งแรกในรอบ 30 ปี ส่วน “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” เท่าที่ยังเหลืออยู่ในการแสดงออกถึงอำนาจ อิทธิพล ของอเมริกา นั่นก็คือ “มาตรการภาษี” ก็กำลังถูกศาลอเมริกา“เตะตัดขา” ดื้อๆ เอาเลยก็ไม่แน่ อันอาจส่งผลให้ประเทศอเมริกาอาจต้องกลายเป็น “ประเทศโลกที่สาม” ดังที่ผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ได้สรุปเอาไว้ โอกาสที่ความหวัง ความปรารถนา อยากจะให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่” หรือ“America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” จึงไม่ต่างไปจาก“ความฝันในฤดูแล้ง” หรือน่าจะ “แห้วรับประทาน” ไปด้วยประการละฉะนี้...แล...เทอญ!!!