สัปดาห์ที่แล้วผมเขียนบทความเรื่อง “เดิมพันสุดท้ายทักษิณหนีหรือสู้” และฟันธงว่า ศาลจะพิจารณาให้ทักษิณกลับไปรับโทษบังคับคดีใหม่ ถ้าจะว่าไปแล้วความคิดนั้นไม่ใช่การใช้หลักกฎหมายอะไรเลย แต่เกิดจากสามัญสำนึกและหลักของเหตุและผลล้วนๆ ว่า คนทำผิดต้องรับโทษ
เช้าวันที่ 9 กันยายน 2568 ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดปมหัวใจคดี “ชั้น 14” แบบไม่เหลือพื้นที่ตีความ ศาลชี้ชัดว่าการนำตัวจำเลยไปพักรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจมิได้เป็นไปตามขั้นตอนของกฎหมาย และไม่นับระยะเวลา 181 วันที่นอนโรงพยาบาลเป็นการรับโทษตามคำพิพากษา
ผลลัพธ์ตรงไปตรงมาคือศาลสั่ง “นำตัวทักษิณกลับไปจำคุก 1 ปี” เพื่อบังคับโทษให้เป็นไปตามคำพิพากษาเดิม นี่คือคำสั่งที่ส่งเสียงดังพอจะได้ยินไปทั้งประเทศ และดังพอจะสั่นสะเทือนความเชื่อแบบเก่าๆ ที่ว่า “กฎหมายมีไว้ปรับใช้กับคนธรรมดาเท่านั้น” เพราะศาลบอกเองว่าไม่ใช่ และวันนี้กฎหมายกำลังเดินด้วยเท้าของมันเองอีกครั้งหนึ่ง
กว่าจะมาถึงวันนี้ เส้นทางเริ่มจาก 22 สิงหาคม 2566 วันที่ทักษิณกลับไทย เข้าสู่เรือนจำ และถูกส่งตัวออกไปรักษา “อย่างยาวนาน” ที่ชั้น 14 ภาพจำติดหัวประชาชนทั้งประเทศ จากนั้น 1 กันยายน 2566 มีพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษลดโทษเหลือ 1 ปี ก่อนที่ 18 กุมภาพันธ์ 2567 จะพ้นการคุมขังออกจากโรงพยาบาลกลับบ้าน ทว่า “การนอนโรงพยาบาลยาวนาน” กลับกลายเป็นคำถามใหญ่ตั้งแต่วันแรก
กระทั่ง 2 สิงหาคม 2567 คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติชี้ว่า สิทธิรักษาพยาบาลของทักษิณ “ดีกว่าผู้ต้องขังรายอื่น” และการอยู่ชั้น 14 ยาว 181 วันสะท้อนการเลือกปฏิบัติ เรื่องนี้ถูกส่งไม้ต่อให้ ป.ป.ช.ขยายผล เมื่อเวลาเดินมาถึง 8 พฤษภาคม และ 12 มิถุนายน 2568 แพทยสภามีมติอย่างเป็นทางการ ลงโทษแพทย์ 3 รายที่เกี่ยวข้อง โดยให้เหตุผลชัดว่า “ไม่มีหลักฐานเชิงประจักษ์ว่ามีภาวะวิกฤต” และเอกสารทางการแพทย์บางส่วน “ไม่ตรงกับความเป็นจริง” ภาพจิ๊กซอว์ทั้งหมดจึงค่อยๆ จบลงในห้องพิจารณาศาลฎีกาเช้าวันนี้
สาระคำวินิจฉัยที่ทำให้ต้อง “บังคับโทษใหม่ 1 ปี” มีแกนหลักสามชั้น ชั้นแรก ศาลถือว่า “การรักษาชั้น 14” ไม่ใช่การจองจำตามกฎหมาย จึงไม่นับเป็นเวลารับโทษ ชั้นที่สอง ศาลชี้ถึง“การเตรียมการไว้ก่อน” ในการส่งตัวออกไปรักษา ส่อว่าไม่เป็นไปตามเกณฑ์ปกติของผู้ต้องขังทั่วไป ชั้นที่สาม ศาลประเมินข้ออ้างเรื่องอาการป่วยแล้ว “ฟังไม่ขึ้น” จึงสั่งให้นำตัวกลับไปคุมขังเพื่อให้โทษตามคำพิพากษาเป็นจริง
คำสั่งเช่นนี้สะท้อนหลัก “Fiat iustitia, ruat caelum” ให้ความยุติธรรมเกิดขึ้น แม้ฟ้าจะถล่มก็ตาม หลักคิดที่ใช้ในวงการกฎหมายเพื่อเตือนใจว่า คดีใดๆ ก็ต้องให้กฎหมายเดินหน้า ไม่ว่าผลทางการเมืองจะสั่นคลอนเพียงใด
เมื่อย้อนดู “พฤติกรรมหลังพ้นชั้น 14” เราเห็นสัญญาณที่สวนทางกับภาพ “ผู้ป่วยวิกฤต” แทบทั้งหมด ทักษิณออกเดินสายไปกราบศาลหลักเมือง แล้วขึ้นเชียงใหม่ช่วง 14–16 มีนาคม 2567 ภาพเดินทางพบปะมวลชน และร่วมอีเวนต์สาธารณะเผยแพร่เต็มสื่อ ต่อเนื่องด้วยกิจกรรมในภูมิภาคและปรากฏตัวตามวาระทางการเมืองหลายครั้ง ภาพลักษณ์ที่สังคมเห็นจึงไม่ใช่ “คนป่วยหนักพักฟื้น” แต่คือ “ผู้นำเครือข่ายการเมือง” ที่ยังแข็งแรงพอจะขับเคลื่อนอารมณ์สาธารณะและเกมอำนาจ
ที่สำคัญ เขาไม่ได้เงียบหรือลดบทบาทการเมืองลง ทักษิณให้สัมภาษณ์หลายครั้งทั้งเรื่องการเมืองภายใน และข้อพิพาทกับฮุนเซน เพื่อปกป้องลูกสาว มีประโยคที่ชัดเจนอย่าง “ไม่มีทางตัน แค่มีคนอุดไว้” และออกร่วมเวทีสาธารณะเชิงการเมือง วิเคราะห์โจทย์ใหญ่ให้รัฐบาลแพทองธารจะต้องเผชิญ คำพูดเหล่านี้บอกเราง่ายๆ ว่า “กลับมาเลี้ยงหลาน” เป็นเพียงวาทกรรมสำหรับวันแรกที่ลงเครื่อง แต่เรื่องจริงคือการกลับมาวางท่าทีและกำกับทิศเกมอำนาจแบบ “พ่อคิด ลูกทำ” มากกว่า
ผลสอบของแพทยสภาซึ่งยืนยันมติด้วยเสียงเกินสองในสาม ทำให้ความรับผิดชอบด้านจริยธรรมปรากฏรูปธรรม แพทย์ 3 รายถูกลงโทษ (มีทั้ง “ตักเตือน” และ “พักใช้ใบอนุญาต”) โดยสาระสำคัญคือ “ขั้นตอนและเอกสาร” ในการส่งตัวออกไปรักษาไม่สอดคล้องข้อเท็จจริงทางการแพทย์ที่ควรเป็น นี่คือชิ้นส่วนทางวิชาชีพที่สอดรับกับข้อเท็จจริงทางกฎหมายของศาลในวันนี้ ทำให้ภาพใหญ่มัดแน่นขึ้นว่า สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความบังเอิญของโชคชะตา แต่เป็น “การจัดวาง” ซึ่งกฎหมายและองค์กรวิชาชีพต่างๆต้องดึงกลับเข้าระเบียบเดียวกัน
แต่แส่ที่จะหวดตามมาก็คือ คดีของเจ้าหน้าที่รัฐที่ช่วยเหลือให้ทักษิณนอนสบายอยู่บนชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจทั้งเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์และแพทย์ของโรงพยาบาลตำรวจ แม้ว่าคนเหล่านี้จะเป็นเพียงเหยื่อของผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า แต่โดยหลักของระบบราชการแล้ว เจ้าหน้าที่สามารถปฏิเสธอำนาจของผู้บังคับบัญชาที่ไม่ชอบธรรมได้ แม้จะเป็นเรื่องที่เป็นไปได้ยากในความเป็นจริง ใครเล่าที่จะกล้าปฏิเสธอำนาจที่สั่งลงมาของผู้บังคับบัญชา ตอนนี้คดีของพวกเขานอนรออยู่แล้วในแฟ้มของ ป.ป.ช.
ในทางอาชญาวิทยา นี่คือคดี “อำนาจสีขาว” ชัดเจน Edwin Sutherland เรียกมันว่า white-collar crime : อาชญากรรมของผู้มีฐานะสูงที่อาศัยสถานะและเครือข่ายบิดเบือนกติกา หลักปราบปรามที่ได้ผลไม่ใช่ “ความหนักของโทษ” แต่คือ “ความแน่นอนของโทษ” ตามแนวคิดของ Cesare Beccaria เมื่อสังคมเห็นว่ากฎหมายเอื้อมถึงทุกคน โครงสร้างการยับยั้ง (deterrence) จึงเกิดจริง ไม่ใช่ด้วยวาทกรรม แต่ด้วยการบังคับใช้ซึ่งหน้า
ส่วนใครว่ายังไม่เคยมีผู้นำชาติไหนติดคุกเพราะคอร์รัปชันโลกมีตัวอย่างมากมาย ฝรั่งเศสอดีตประธานาธิบดีนิโกลาส์ ซาร์โกซี คดีคอร์รัปชันและซื้ออิทธิพล สิ้นสุดด้วยโทษจำคุกและ “กำไลอิเล็กทรอนิกส์ 1 ปี” หลังศาลสูงสุดยืนคำพิพากษา เปรูอดีตประธานาธิบดีโอลันตา อูมัลยา เพิ่งถูกศาลตัดสินจำคุก 15 ปีในเดือนเมษายน 2568 และอีกหลายคดีในละตินอเมริกาที่แสดงให้เห็นว่า “อดีตผู้นำ” ไม่ยกเว้นจากบรรทัดฐานกฎหมาย
ทั้งหมดนี้ทำให้คำถามใหญ่ของสังคมไทยกลับมาอยู่ตรงหน้ากฎหมายจะยืนเหนือการเมืองได้จริงหรือไม่? วันนี้ศาลตอบชัดแล้วหนึ่งข้อ ส่วนที่เหลือเป็นหน้าที่ขององค์กรรัฐและสังคมการเมืองต้อง “บังคับใช้ต่อ” ให้ครบวงจร ความยุติธรรมที่ดีไม่ใช่เสียงดังครั้งเดียวแล้วเงียบหาย แต่เป็นเสียงสม่ำเสมอที่ทำให้คนเชื่อว่า“ทำผิดต้องรับโทษ” โดยไม่ต้องก้มดูนามสกุลในแฟ้ม
บางคนชมว่านี่เป็น “ความกล้าหาญของทักษิณ” จนลืมไปว่า กว่าจะถึงวันนี้ทักษิณหนีคดีไป 10 กว่าปี กลับมาสารภาพผิดรับโทษและได้รับพระราชทานอภัยลดโทษเหลือแค่ปีเดียว แต่กลับใช้อำนาจบิดผันอาญาของแผ่นดินไม่ยอมเข้าคุกแม้แต่วันเดียว จนกลายเป็นคำสั่งที่ศาลสั่งให้ไปบังคับโทษใหม่ ซึ่งเป็นคำถามว่า นี่เป็นความกล้าหาญหรือทัณฑ์ที่ไม่อาจจะหนีพ้นกันแน่
แต่ก็ยังดีกว่าถ้าทักษิณจะหนีคดีไปอีกครั้ง เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นโอกาสที่เขาจะกลับประเทศจะไม่มีอีกเลย และทุกอย่างที่อยู่ภายใต้เขาจะล่มสลายไปด้วย แต่การที่เขาไม่หนีไปแม้ว่า พรรคการเมืองที่เขาเป็นเจ้าของก็อาจจะพอต่อลมหายใจไปได้ แม้โอกาสกลับมายิ่งใหญ่จะไม่มีอีกแล้ว
วันนี้ทักษิณคงสำนึกได้แล้วย้อนกลับไปว่า ถ้าเขาเดินเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมตั้งแต่แรกและไม่หนีไปไหน อำนาจที่ยิ่งใหญ่ของเขาก็อาจจะคงอยู่ แต่ถึงตอนนี้ก็สายไปเสียแล้ว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan