xs
xsm
sm
md
lg

วิกฤติอับจนทางการเมือง เมื่อมองไม่เห็นใครที่จะนำไทยไปรอด

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

ตอนที่ผมเขียนต้นฉบับอยู่นี้ พรรคประชาชนก็แถลงว่า จะสนับสนุนอนุทิน ชาญวีรกุลเป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยเงื่อนไข 5 ข้อคือ 1.นายกฯคนใหม่ต้องยุบสภาใน 4 เดือน 2.จัดทำประชามติเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3.ผลักดันเพื่อเปิดโอกาสให้มี สสร. 4.พรรคภูมิใจไทยต้องไม่ดำเนินการใดๆให้เป็นรัฐบาลเสียงข้างมาก 5.พรรคประชาชนจะไม่ร่วมในคณะรัฐมนตรี

ขณะที่ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาการนายกรัฐมนตรีได้บอกว่า ได้ยื่นทูลเกล้าฯยุบสภาไปแล้วตั้งแต่วันที่ 2 กันยายน แต่สำนักองคมนตรีตีกลับพระราชกฤษฎีกายุบสภาคืนลงมา

ส่วนตัวผมเห็นว่าการที่นายกรัฐมนตรีพ้นจากตำแหน่ง ทำให้คณะรัฐมนตรีทั้งชุดพ้นไปด้วย เพียงแต่ยังต้องทำหน้าที่รักษาการเพื่อไม่ให้ประเทศเกิดสุญญากาศทางการบริหาร หลักการนี้เป็นกลไกที่จำเป็นในทุกระบอบประชาธิปไตย เพียงแต่คำถามที่ตามมาคือ รัฐบาลรักษาการควรมีอำนาจมากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะ “อำนาจยุบสภา”ซึ่งเป็นอำนาจที่กระทบต่อเจตจำนงของประชาชนโดยตรง

ในทางรัฐธรรมนูญ อำนาจยุบสภาเป็นพระราชอำนาจที่กระทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี เมื่อคณะรัฐมนตรีกลายเป็นรักษาการ อำนาจตามตัวบทไม่ได้หายไป แต่ประเพณีการเมืองและแนววินิจฉัยทางกฎหมายกลับตีความตรงกันว่า รัฐบาลรักษาการ ไม่ควรและไม่มีความชอบธรรมพอ ที่จะใช้อำนาจใหญ่เช่นนั้น

ในขณะที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าจะจบลงอย่างไร จะยุบสภาได้หรือไม่ ผมกลับมองไปข้างหน้าว่า ประเทศไทยจะเดินไปในทิศทางไหน เรามีความหวังในอนาคตข้างหน้าหรือไม่ จากสถานการณ์ที่บ้านเมืองดูจะไร้ทางออกและไร้ความหวังในปัจจุบัน ใครคือผู้นำพาประเทศของเราให้หลุดพ้นจากวิกฤตการณ์ในครั้งนี้ได้บ้าง จากผู้เล่นทางการเมืองหน้าเดิมๆ ที่มีอยู่และยังมองไม่เห็นคนเก่งและคนมีความรู้ความสามารถคนไหนที่กล้าโดดลงมาเปรอะเปื้อนการเมืองไทย

การเมืองไทยในปัจจุบันคล้ายกับการเดินอยู่ในวิกฤติอับจน ไม่มีทางออกให้เห็นชัดเจน แม้พรรคการเมืองหลักที่เคยสลับกันขึ้นมาเป็นรัฐบาลจะยังครองพื้นที่การเมือง แต่กลับไม่มีหัวหน้าพรรคคนใดที่แสดงคุณสมบัติโดดเด่นพอจะนำประเทศไปข้างหน้าได้จริง นักการเมืองเก่ามีประสบการณ์แต่ไร้ศรัทธา ขณะที่คนรุ่นใหม่แม้มีพลังและอุดมการณ์ แต่กลับขาดวุฒิภาวะและการมองประเทศในภาพรวม

ในทางรัฐศาสตร์ ภาวะแบบนี้คือ วิกฤตอับจนหนทางทางการเมือง หรือ Political Deadlock—สภาพที่ทุกฝ่ายขัดขวางกันเองจนไม่เกิดความก้าวหน้า สังคมติดอยู่ระหว่าง “ความล้า” ของกลุ่มอำนาจเดิม กับ “ความหวังลวงตา” ของพลังใหม่ที่ยังไม่พิสูจน์ตัวเองว่าจะนำพาไปสู่ทางออกหรือหายนะกันแน่


พรรคประชาชนที่กำลังเติบโตด้วยแรงสนับสนุนของคนรุ่นใหม่ แสดงออกถึงพลังการเปลี่ยนแปลง แต่ปัญหาคือแนวคิดแบบ “ถอนรากถอนโคน” ต่อสถาบันหลักของสังคมไทยย่อมสร้างแรงกระแทกเกินกว่าที่ประเทศจะรับได้ สังคมไทยไม่เหมือนตะวันตกที่สถาบันกษัตริย์เหลือเพียงพิธีการ หากแต่พระมหากษัตริย์ไทยมีพระราชกรณียกิจและความผูกพันกับประชาชนมายาวนาน แนวคิดเชิงลบจึงยิ่งสร้างแรงต้านจากฝ่ายอนุรักษ์นิยม และสุ่มเสี่ยงต่อ ความเสื่อมถอยทางการเมือง หรือ Political Decay อย่างที่ ซามูลเอล พี. ฮันติงตัน เคยเตือนว่า หากการเมืองในประเทศใดไม่สามารถสร้างสถาบันที่มั่นคงเพื่อตอบสนองความต้องการของประชาชนได้ ก็จะนำไปสู่ภาวะการเสื่อมถอยทางการเมือง แทนที่จะพัฒนาไปสู่ประชาธิปไตยที่มีเสถียรภาพ

หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันของพรรคประชาชนอย่าง ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิแม้ได้รับความนิยมในหมู่คนรุ่นใหม่ แต่ก็ยังไม่อาจพิสูจน์ว่ามีบารมีและวุฒิภาวะมากพอจะทำหน้าที่ statesman ที่จะประสานรอยร้าวของสังคมได้จริง ขณะที่พรรคเพื่อไทยภายใต้ แพทองธาร ชินวัตรแม้ยังดำรงตำแหน่งหัวหน้าพรรค แต่ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้อนาคตพรรคเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน และยังไม่เห็นใครในพรรคที่จะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ดึงดูดมวลชนได้ ทักษิณ ชินวัตรก็โรยรา เสื่อมมนต์ขลัง และยังมีคำถามใหญ่ค้างคาว่าจะต้องกลับเข้าคุกหรือไม่

ก้าวไกลที่เคยมีพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นสัญลักษณ์ วันนี้กลายเป็นอดีต แม้โครงสร้างพรรคยังไปต่อ แต่คำถามเรื่องการประนีประนอมยังไร้คำตอบ ภูมิใจไทยที่มีอนุทิน ชาญวีรกูล แม้เครือข่ายแน่น แต่ภาพลักษณ์ถูกผูกไว้กับการต่อรองผลประโยชน์มากกว่าการนำประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นโรงเรียนการเมือง ก็แทบไม่เหลือบารมี พรรคชาติไทยพัฒนาก็ยังวนเวียนอยู่กับการต่อรองท้องถิ่นมากกว่าวางภาพใหญ่ของประเทศ ส่วนสุชัชวีร์ สุวรรณสวัสดิ์ ที่ประกาศจะตั้งพรรคการเมืองใหม่ แม้มีภาพลักษณ์วิชาการ แต่การเมืองไม่ใช่มหาวิทยาลัย และยังต้องพิสูจน์อีกมาก

ในห้วงที่ทักษิณกำลังโรยรา ปรากฏชื่อของ สารัชถ์ รัตนาวะดีนักธุรกิจพลังงานรายใหญ่ ที่หลายคนมองว่าอาจก้าวเข้ามาแทนที่ สารัชถ์เป็นนายทุนการเมืองที่ซ่อนตัวอยู่เบื้องหลังมานาน เคยสนับสนุนพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่ภายหลังแตกหักกับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค แล้วหันไปเกาะกลุ่มสุชาติ ชมกลิ่น ก่อนจะมีข่าวว่ากำลังปั้นพรรคใหม่ชื่อ “พรรคโอกาสใหม่”

หากเรียงลำดับการขยับตัวของเขาจะเห็นภาพชัดเจนขึ้น:

ระยะแรก เขาเป็นนายทุนหนุนหลังพรรครวมไทยสร้างชาติ โดยวางตัวอยู่หลังม่านทางการเมือง

ช่วงแตกหัก เกิดความขัดแย้งกับพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค ทำให้ความสัมพันธ์กับพรรคนี้สะบั้นลง

การหันเห เข้าสนับสนุนกลุ่มนายสุชาติ ชมกลิ่น ที่ประกาศแยกตัวออกมา พร้อมสร้างเครือข่ายการเมืองของตนเอง

ปัจจุบัน มีข่าวลือหนาหูว่าเขาอยู่เบื้องหลังเปิดตัว “พรรคโอกาสใหม่” ซึ่งสะท้อนความตั้งใจจะยืนหยัดเป็นผู้เล่นเต็มตัวในสนามการเมือง

แต่ที่น่าสนใจคือ เมื่อไม่นานมานี้ปรากฏภาพของสารัชถ์ถ่ายร่วมกับอนุทิน ชาญวีรกูล ก่อนที่กลุ่ม ส.ส. ของสุชาติ ชมกลิ่น จะหันไปสนับสนุนอนุทิน ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขาเคยถูกมองว่ามีความใกล้ชิดกับทักษิณมาก ภาพนี้จึงตีความได้สองทาง หนึ่งคือการวางหมากใหม่เพื่อสร้างสมดุลกับหลายขั้วการเมือง หรือสองคือการประกาศทางอ้อมว่า “ฐานการเมืองของสารัชถ์” พร้อมหันไปจับมือกับพลังอนุทิน เพื่อสร้างพื้นที่ต่อรองมากกว่าผูกพันกับขั้วใดขั้วหนึ่งเพียงอย่างเดียว

หากพรรคโอกาสใหม่เกิดขึ้นจริง คำถามคือ สารัชถ์จะเลือกเดินแบบทักษิณในอดีตหรือไม่ นั่นคือกวาดต้อนนักการเมืองจากหลายพรรคมาเข้าคอกเพื่อสร้างพลังในทันที หรือจะยังเลือกบทบาทนายทุนหลังม่าน ใช้ทุนและเครือข่ายเป็นอำนาจต่อรองโดยไม่ต้องเสี่ยงออกหน้าเต็มตัว เพียงแต่ขอให้มีส.ส. 20-30 คนอยู่ในมือ การตัดสินใจครั้งนี้อาจชี้ชะตาว่าเขาจะกลายเป็นเพียง “นักธุรกิจการเมือง” หรือจะพยายามขึ้นชั้นเป็น “ผู้นำการเมือง” อย่างแท้จริง

กระนั้น หากมองสมรภูมิเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคภูมิใจไทยยังพอมีพลังทางการเมืองที่จะแย่งชิงเก้าอี้กับพรรคเพื่อไทยในภาคอีสาน แต่พรรคอนุรักษ์นิยมอื่นๆ ที่เคยเป็นเสาหลักกลับอ่อนแรงลง พรรคประชาธิปัตย์ที่เคยเป็นสถาบันการเมืองกำลังล่มสลาย พรรครวมไทยสร้างชาติก็มีคนทยอยแยกตัวออกไป พรรคพลังประชารัฐของพลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ ก็ไร้พลัง ขณะที่พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นเพียงพรรคท้องถิ่นนิยม ไม่อาจขยายฐานระดับชาติได้จริง มวลชนฝ่ายอนุรักษ์นิยมที่เคยผูกพันกับอำนาจเก่าอาจจะกลายเป็นเพียง “ผู้ดู” ในสนามเลือกตั้งรอบหน้า และนั่นยิ่งเปิดช่องว่างให้ทุนการเมืองหน้าใหม่อย่างสารัชถ์ก้าวขึ้นมามีบทบาท

วันนี้ ประเทศไทยยังไร้ผู้นำที่โดดเด่นพอจะสร้างความหวังได้จริง หากเรายังปล่อยให้เวทีการเมืองผูกขาดอยู่กับ “ทายาททางการเมือง” หรือ “นายทุนหลังม่าน” ประเทศก็จะหมุนวนอยู่ในวิกฤติอับจนทางการเมืองอย่างไร้ทางออก ความหวังในระยะยาวคือการสร้างเงื่อนไขใหม่ให้คนที่มีความรู้ ความสามารถ และจิตใจเพื่อชาติ สามารถก้าวเข้ามาเล่นการเมืองได้จริง แม้จะเป็นเรื่องยาก แต่หากไม่เริ่มต้น ประเทศก็จะถูกทิ้งไว้กับนักการเมืองที่คิดถึงอนาคตของตน มากกว่าคิดถึงอนาคตของชาติ

แต่ตอนนี้ดูเหมือนว่า เมืองไทยก็คงเหลือเพียงสองทางเลือก เลือกอยู่กับคนเก่าๆ ที่หมดมนต์ขลัง หรือเลือกพรรคการเมืองของคนรุ่นใหม่ที่ท้าทายระบอบและอุดมการณ์ของรัฐ หรือการเปิดตัวของนายทุนหน้าใหม่ทางการเมืองที่เป็นผู้เล่นที่ซ่อนตัวอยู่ข้างหลังนานแล้วจะสามารถรวบรวมพรรคการเมืองต่างๆ เข้าด้วยกัน จนกลายเป็นอีกพลังต่อรองหนึ่งของสังคมไทย แต่กระนั้นไม่ว่าจะเป็นใครก็ยังมองไม่เห็นว่า จะนำพาประเทศไทยไปรอดได้อย่างไร

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น