xs
xsm
sm
md
lg

ระเบียบโลกแบบใหม่...ได้เริ่มต้นขึ้นมาแล้ว!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


สี จิ้นผิง ประธานาธิบดีจีน จับมือกับนเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ระหว่างการประชุมสุดยอด (SCO) ที่เมืองเทียนจิน ประเทศจีน
“อีนี่...กะจะเอาแขกให้ตาย ให้ต้องกลายเป็นแขกตี้เอาเลยหรือนายจ๋า!!!” นี่...ปิดท้ายสัปดาห์นี้คงต้องขึ้นต้นเอาไว้ทำนองนี้ เพราะความพยายามที่จะงัดเอา “สากกะเบือด้ามสุดท้าย”หรือ “มาตรการทางภาษี” ตามแบบฉบับของ “ทรัมป์บ้า” ออกมาเล่นงานคุณปู่อินตะระเดียในช่วงระหว่างนี้ ต้องเรียกว่า...อะไรมันจะโหดเหี้ยม ไร้ไมตรี ไร้หัวจิตหัวใจ ไร้เยื่อ ไร้ใย ไปได้ถึงปานนั้น... 

คือไม่ใช่แค่ฟาดภาษีสินค้าอินเดียที่จะเข้าไปขายในอเมริกาถึง 50 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น เพราะถ้าว่ากันตามรายงานข่าว ของสำนักข่าว “Axios” เมื่อช่วงวันจันทร์ (1 ก.ย.) ที่ผ่านมาเห็นว่าคุณพ่ออเมริกายังพยายามยุ พยายามกด พยายามบีบ ให้พวก “พรมเช็ดเท้า” หรือพวก “รัฐบริวาร” อย่างอียู-อีย้วย ที่เป็นโรค “Russophobia” ชนิดรักษาไม่หาย ให้ช่วยร่วมรุมกระทืบอินเดีย หรือร่วมแซงชั่นทุติยภูมิ เพื่อที่จะให้อินเดียเลิกค้าเลิกหากำไรจาก “น้ำมัน” รัสเซียโดยเบ็ดเสร็จและเด็ดขาด... 

ส่วนถ้าจะถามว่าทำไมอเมริกาถึงต้องหันมาเล่นงานอินเดีย แบบกะจะให้แขกตี้-ขี้แตกให้จงได้ เรื่องนี้ผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ อย่าง “ศาสตราจารย์John Gong” แห่ง “The University of International Business and Economics” ท่านได้ตอบคำถามของสำนักข่าว “Sputnik” เอาไว้ชัดเจนพอสมควร คือหวังจะกดดันอินเดียให้ต้องแยกขาด ตัดขาดออกไปจากสองมหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาอย่างจีนและรัสเซียนั่นเอง แต่ไปๆ-มาๆ ทุกสิ่งทุกอย่างมันกลับเป็นไปในแบบ “US push to Split Russia, India and China Backfire-Driven them Closer”หรือยิ่งทำให้อินเดีย-จีน-รัสเซีย กลับยิ่งเข้ามารวมตัวกันอย่างเหนียวแน่น หนึบหนับ แทบไม่ต่างอะไรไปจากแนวคิดเรื่อง “กลุ่มพันธมิตร RIC” (Russia-India-China) ที่อดีตรัฐบุรุษรัสเซีย “นายYevgeny Primakov” ได้เคยนำเสนอไว้เมื่อกว่า 20 ปีที่แล้ว นั่นเอง... 

โดยเฉพาะภาพที่ปรากฏให้เห็นเป็นที่ประจักษ์ในระหว่างงานประชุมสุดยอด “SCO” (Shanghai Cooperation Organization) เมื่อไม่กี่วันมานี้ ที่ 3 ผู้นำมหาอำนาจระดับโลก อย่างประธานาธิบดี “สี ทนได้” หรือ “สี จิ้นผิง” แห่งประเทศจีน ประธานาธิบดี “วลาดิมีร์ ปูติน”แห่งรัสเซีย และนายกรัฐมนตรี“Narendra Modi” แห่งอินตะระเดีย ต่างออกอาการจับมือ-ถือแขน จูบปาก ไซร้คอ อย่างชนิดชื่นมื่น ชื่นสะดือ เป็นอย่างยิ่ง ส่วนถ้าจะถามต่อไปอีกว่าทำไมถึงต้องหันไปเล่นงานอินเดีย หนักเสียยิ่งกว่าพันธมิตรไร้ขีดจำกัดของรัสเซียอย่างคุณพี่จีน อันนี้...อดีตผู้อำนวยการบริหารศูนย์เอเชียใต้ ที่ถือเป็น “คลังสมอง” ขององค์กรพัฒนาเอเชียใต้ อย่าง “Bhim Bhurtel” เขาได้ให้คำตอบ คำอธิบาย เอาไว้พอสมควร ในข้อเขียน บทความ ว่าด้วยเรื่อง “Why Trump bows to Xi but batters and mauls Modi” หรือที่สำนักข่าว “ผู้จัดการ” ของหมู่เฮา นำมาถ่ายทอดไว้ในชื่อเรื่อง “ทำไมทรัมป์ก้มหัวให้สี-แต่แยกเขี้ยวกางเล็บใส่โมดี” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมานั่นแหละ... 

หรือถ้าจะสรุปคร่าวๆ ง่ายๆ ก็คงประมาณว่า...ด้วยเหตุเพราะระบบเศรษฐกิจของคุณพี่จีนท่านออกจะ “แข็งโป๊ก”นอกจากจะหาจุดอ่อน จุดสลบไม่ได้ง่ายๆ ยังอาจเจอกับการออกอาวุธโต้ เจอการ “เลียะพะ” แบบ “ดอก-ต่อ-ดอก” ต่างไปจากคุณปู่อินตะระเดียที่ออกจะ “พึ่งพา” ตลาดอเมริกัน ระดับคิดเป็นมูลค่าประมาณ 2 เปอร์เซ็นต์ของ “GDP” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรืออาจทำให้ “GDP อินเดีย” ลดลงไปไม่น้อยกว่า 1-2 เปอร์เซ็นต์ ตำแหน่งงานหายไปเป็นล้านๆ ตำแหน่ง โอกาสที่แขกจะกลายเป็น “แขกตี้” ถ้าหากยังไม่คิดจะยอมศิโรราบให้กับอเมริกา ไม่ยอมหันไป “Kiss Ass” พระจักรพรรดิโลกอย่าง “ทรัมป์บ้า” ก็ย่อมหนีไม่พ้นต้องเจอกับ “Madman tariff brinkmanship”หรือเจอกับสากกะเบือด้ามสุดท้ายของอเมริกา แถมอาจเจอกับการรุมกระทืบโดย “รัฐบริวาร” อย่างพวกอียู-อีย้วยแห่งโลกตะวันตก หรือพวก “โลกขั้วอำนาจเดียว” จนอาจต้องยอมตัดขาด แยกขาด จากพวก “โลกหลายขั้วอำนาจ” กันจนได้!!! 

แต่ก็นั่นแหละ...ไม่เพียงแต่รัฐมนตรีการค้าของอินตะระเดีย “นายPiyush Goyal” จะออกมาป่าวประกาศแบบเสียงดัง-ฟังชัด ว่า “อินเดียจะไม่ยอมก้มหัวให้กับอเมริกาโดยเด็ดขาด” การเดินทางไปเยือนจีนครั้งแรกในรอบ 7 ปีของนายกฯ อินเดีย “นายNarendra Modi” ผู้ที่เคยถูกมองว่าออกจะ “พลอบๆแพล็บๆ” ตามแบบ “อีนี่...โร้ยย์ย์ย์ละยี่สิบนะนายจ๋า” อะไรทำนองนั้น คือค่อนข้างจะไหลไป-ไหลมาในระหว่าง “เขาควายแห่งความขัดแย้ง” ของ “โลกขั้วอำนาจเดียว” และ “โลกหลายขั้วอำนาจ” แต่เมื่อถึงวันนี้ ณ วินาทีนี้ หรือหลังจากถูก “ทรัมป์บ้า” ยกตีนลูบหน้าสาดสากกะเบือด้ามสุดท้ายเข้าใส่ครั้งแล้ว-ครั้งเล่า ส่งผลให้ท่าทีของอินเดียดูจะเป็นไปดังที่“ศาสตราจารย์John Gong” ท่านสรุปเอาไว้กับสำนักข่าว “Sputnik” เอาจริงๆ นั่นแหละ คือแทนที่จะทำให้ 3 มหาอำนาจระดับโลกแยกออกจากกัน แต่กลับกลายเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการผนึกกำลังรวมตัวกันแบบหนุบหนับ หนึบหนับยิ่งขึ้นไปอีก เห็นได้จากคำพูดอันหยดย้อย หยาดเยิ้ม ของผู้นำอินเดียต่อหน้าผู้นำจีน ที่ว่าไว้ว่า... “ด้วยผลประโยชน์ของผู้คนจำนวนถึง 2.8 พันล้านคนในทั้งสองประเทศ ที่ทำให้เกิดสายใยความร่วมมือของเราทั้งสอง และนี่จะเป็นเป้าหมายอันนำไปสู่สวัสดิภาพอย่างทั่วถึงของมวลมนุษยชาติ เรามีข้อผูกพันที่จะต้องทำให้สัมพันธภาพของเราเป็นพื้นฐานแห่งความไว้เนื้อเชื่อใจ ความเคารพต่อสิ่งอ่อนไหวใดๆ ก็ตาม”... 

ไม่ต่างไปจากเมื่อได้เจอหน้า-เจอตาผู้นำรัสเซีย พันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดของจีน นายกรัฐมนตรี “Modi” ท่านก็ยังหยดย้อย หยาดเยิ้ม อีกต่อไปถึงขั้นว่า...“บรรดาชาวอินเดียไม่น้อยกว่า1.4 พันล้านคน กำลังรอคอยอย่างกระหายต่อการเดินทางไปเยือนอินเดียของประธานาธิบดีรัสเซีย ภายในสิ้นปีนี้...” นี่...ต้องเรียกว่า แทบไม่เหลือกลิ่นอายแบบ “อีนี่...โร้ยย์ย์ย์ละยี่สิบนะนายจ๋า” ต่อไปอีกแล้ว ด้วยเหตุนี้...ความพยายามงัดเอาสากกะเบือด้ามสุดท้ายหรืองัดเอา “มาตรการทางภาษี” มาเป็นเครื่องมือ ในการ “แยกสลาย” มหาอำนาจคู่แข่งอเมริกาไม่ให้รวมตัวกันติดเพื่อหวังจะให้ “ตัวกูเอง” กลับคืนมาสู่ความยิ่งใหญ่ หรือ “America Great Again” ให้จงได้ สุดท้าย...ก็น่าจะออกไปทาง “แห้วกระป๋อง” อีกเช่นเคย... 

และนั่นเอง...ที่น่าจะทำให้ผู้นำจีนอย่างประธานาธิบดี “Xi Jinping” ท่านจึงเกิดความมั่นอก-มั่นใจ พอที่กล้าจะป่าวประกาศต่อผู้นำประเทศกว่า 26 ประเทศ ที่เข้าร่วมประชุมกลุ่มประเทศ “SCO” เมื่อช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา ด้วยการเปิดเผยถึงแนวคิดระดับโลกของจีน ที่ถูกเรียกขานกันในนาม “The Global Governance Initiative” หรือ “GGI” อันถือเป็นความคิดริเริ่มที่จะนำไปสู่ “ระเบียบโลกแบบใหม่” ที่มีธรรมาภิบาลเป็นตัวรองรับ เพื่อให้บรรดาประเทศต่างๆ ในโลกใบนี้สามารถ“อยู่ร่วมกันโดยสันติ” ได้อย่างสบายกาย-สบายใจ โดยไม่จำเป็นต้องให้ “ประมุขโลก” หรือ “พระจักรพรรดิโลก” ใดๆ มาคอยข่มขู่ บังคับ ต่อไปอีกแล้ว!!! ไม่ว่าจะโดยอาศัย “อำนาจทางทหาร” หรือ “อิทธิพลของเงินดอลลาร์” เป็นเครื่องมือก็ตาม... 

ส่วน “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” หรือ “มาตรการทางภาษี”ที่ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องมือโดยผู้นำอเมริกาอย่าง “ทรัมป์บ้า” ไม่ว่ามันจะมีฤทธิ์ มีเดช มีอานุภาพ ศักยภาพมากหรือน้อยขนาดไหน แต่ไปๆ-มาๆ...ด้วยเหตุเพราะประธานาธิบดีอเมริกา ไม่ได้มีฐานะเป็น “ประมุขโลก” หรือ “พระจักรพรรดิโลก” อย่างจริงๆจังๆ นั่นเอง เลยส่งผลให้ “ศาลอเมริกา” กลับไม่ได้รู้สึกซู๊ดซ๊าด ซี๊ดซ๊าดกับเครื่องมือดังกล่าว เหมือนอย่างตัวประธานาธิบดีแต่อย่างใด เผลออาจต้องโดดเข้ามาขัดแข้ง ขัดขา “ทรัมป์บ้า”ดื้อๆ เอาเลยก็ไม่แน่ จนทำให้ตัวประธานาธิบดีถึงกับต้องออกมาโพสต์ มาทวีต เอาไว้ถึงขั้นว่า... “ปริมาณเงินกว่า 15 ล้านล้านดอลลาร์กำลังจะไหลเข้ามาลงทุนในอเมริกา นี่คือสถิติ และส่วนใหญ่ของการลงทุนก็มีที่มาจากมาตรการทางภาษีนี่แหละดังนั้น ถ้าหาก...ศาลของพวกฝ่ายซ้ายหัวรุนแรงอนุมัติให้ลบล้างมาตรการดังกล่าวลงไป ส่วนใหญ่ของเงินลงทุนหรือมากยิ่งไปกว่านั้น จะหายวับไปกับตา และเป็นไปได้ไม่น้อยว่าอเมริกาอาจต้องกลายสภาพไปเป็นประเทศโลกที่สาม โดยปราศจากความหวังที่จะกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” แต่ไม่ว่าสุดท้าย...ทุกสิ่งทุกอย่างจะลงเอยกันไปในรูปไหน? โดยสีสันบรรยากาศของโลกในช่วงระหว่างนี้ มันน่าจะสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นไประหว่าง “โลกขั้วอำนาจเดียว” กับ “โลกหลายขั้วอำนาจ” ให้เห็นค่อนข้างชัดเจน ว่าอะไร? ที่กำลังเสื่อมโทรม ทรุดโทรม และอะไร? ที่กำลังผงาดขึ้นมาแทนที่ ในอีกไม่ใกล้-ไม่ไกล นับจากนี้.... 


กำลังโหลดความคิดเห็น