xs
xsm
sm
md
lg

เดิมพันสุดท้ายทักษิณหนีหรือสู้

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



ถ้าอำนาจหลุดจากมือทักษิณก็คงคิดหนักถึงชะตากรรมที่เขาอาจต้องเจอ หากวันที่ 9 กันยายน ซึ่งศาลฎีกาแผนคดีอาญานักการเมืองนัดให้เขาไปฟังคำวินิจฉัยในคดีชั้น 14 กับผู้บังคับการเรือนจำนั้น อาจจะเกิดผลที่เขาไม่อาจคาดคิดมาก่อนถ้าหากต้องติดคุกโดยไม่มีอำนาจรัฐในมือ

ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิตของทักษิณ ชินวัตร ไม่ใช่การถูกโค่นอำนาจไม่ใช่คำพิพากษาจำคุกหลายคดีแต่คือการเลือก “ไม่เข้าคุกตั้งแต่วันแรก” หากวันนั้นเขากัดฟันทนเข้าคุกเพียงไม่กี่วันกฎหมายไทยที่ให้อำนาจกรมราชทัณฑ์ย่อมได้รับการผ่อนผันเช่นเดียวกับนักโทษการเมืองอีกหลายคนที่ถูกตัดสินจำคุกยาว แต่เอาเข้าจริงกลับติดเพียงไม่กี่ปีแล้วก็ออกมาอย่างนายบุญทรง เตริยาภิรมย์ ที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกถึง 42 ปี แต่ตอนนี้บุญทรงก็ได้รับการพักโทษกลับไปอยู่บ้านแล้ว

ทว่าทักษิณเลือกหนีออกนอกประเทศยาวนานกว่าทศวรรษใช้ชีวิตหรูหราในต่างแดนแลกกับการสึกกร่อนของบารมีและความน่าเชื่อถือ

ครั้งที่สองเขากลับมาในปี 2566 ได้รับพระราชทานอภัยโทษลดเหลือเพียงหนึ่งปีโอกาสฟื้นศรัทธาอยู่ตรงหน้าถ้าเพียงทักษิณยอมติดคุกจริงๆ สักไม่กี่เดือนวันนี้ก็คงหมดวิบากกรรมไปแล้ว แต่ทักษิณกลับเลือกหนีคุกอีกครั้ง — คราวนี้ด้วยม่านบังตาทางการแพทย์นอนโรงพยาบาลตำรวจชั้น 14 อ้างโรคสารพัดทั้งหัวใจ ความดันไปจนถึง “เอ็นเปื่อยยุ่ย” ที่สังคมฟังแล้วหัวเราะมากกว่าสงสาร

ทว่าโชคร้ายคราวนี้หลักฐานไม่เข้าข้างเขา ศาลเปิดไต่สวนเข้มข้นซักผู้คุม 9 ปากแพทย์อีกกว่า 20 ปากไล่เจาะทุกรายละเอียดจนเกิดฉากแพทย์ผู้รักษาปาดน้ำตากลางศาลยอมรับว่า “ผู้ป่วย” ไม่เคยผ่าตัดกระดูกทับเส้นตามที่เคยอ้างมติแพทยสภายิ่งตบหน้าซ้ำลงโทษแพทย์ราชทัณฑ์และแพทย์ตำรวจบางรายฐานใช้ดุลพินิจบิดเบี้ยวเพื่อเอื้อประโยชน์นักโทษคนเดียวภาพทั้งหมดสะท้อนชัด — โรงพยาบาลถูกเสกให้เป็นคุกล่องหนของคนมีอำนาจ

แล้วยังมีคำกล่าวอ้างของพล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ว่าเขาเคยขึ้นเป็นเยี่ยมทักษิณบนชั้น 14 สองครั้ง ครั้งแรกมีผู้ประสานงานพาเข้า-ออกผ่านลิฟต์และบันไดหนีไฟจนถึงชั้น 14โดยระบุว่าบนชั้นดังกล่าวไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจสอบและทักษิณแต่งกายสบายๆ สวมเสื้อเชิ้ตกางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะขณะพูดคุยราว 1 ชั่วโมงไม่เห็นอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด

ส่วนครั้งที่สองผู้ประสานงานแจ้งให้พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไปเยี่ยมคนเดียวโดยครั้งนี้ทักษิณชวนไปห้องรับแขกที่สามารถมองเห็นสนามม้ามีการเสิร์ฟขนมและกาแฟแต่ไม่ได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วย

นี่คือความผิดพลาดที่กลายเป็นวิบากกรรมหากทักษิณยอมไปอยู่เรือนจำราชทัณฑ์สักเดือนสองเดือนก่อนถึงวันพักโทษป่านนี้ก็คงพ้นโทษแล้วแต่เพราะไม่ยอมแม้แต่วันเดียววันนี้จึงต้องเผชิญการเปิดโปงกลางศาลและการถล่มศรัทธากลางสังคม

และเราก็เห็นแล้วว่าหลังคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ผลทางการเมืองก็ปรากฏให้เห็นบารมีที่เคยเหนียวแน่นเริ่มร่วงพรรคเพื่อไทยสั่นคลอนแพทองธารถูกถอดถอนจนสมาชิกบางส่วนดีดตัวออกฐานมวลชนที่เคยเหนียวแน่นกำลังแตกกระจายมนต์ขลังของทักษิณกำลังเสื่อมสลายลงทุกขณะ

แม้แต่คนที่ทักษิณไว้ใจมากอย่างธรรมนัส พรหมเผ่า ก็ยังทอดทิ้งเขาโดยทักษิณยอมรับผิดว่า “ไว้วางใจร้อยเอกธรรมนัสมากเกินไปพี่ผิดไปแล้วพี่ดูคนผิด” ทำให้ สส.ที่ร่วมวงอยู่นั้นพูดตอบโต้ทันทีว่าทักษิณโดนคนหลอกตลอดซึ่ง สส.ที่ร่วมวงต่างเห็นตรงกันว่าไม่เคยเห็นทักษิณยอมรับผิดแบบนี้มาก่อนเห็นได้ว่าทักษิณได้แสดงท่าทีรู้สึกผิดมาก

หรือแม้แต่ปีกที่แยกตัวออกจากพรรครวมไทยสร้างชาติ ซึ่งเป็นที่รับรู้กันว่า คนที่หนุนหลังคือสารัชถ์ รัตนาวะดี เจ้าสัวพลังงาน ที่มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทักษิณก็ยังดีดตัวออกหันไปสนับสนุนอนุทิน ชาญวีรกูล

ซึ่งสะท้อนว่า อำนาจและบารมีของทักษิณกับการเมืองไทยที่เขาเคยมั่นใจว่า ตัวเองยังมีอำนาจอยู่ เพราะเห็นบทบาทการแสดงออกของเขาหลังออกจากคุกที่แสดงราวกับว่าตัวเองมีดีลและยังมีอำนาจที่ยิ่งใหญ่อยู่นั้นกลายเป็นคำตอบยืนยันว่าไม่เป็นความจริง

มีการวิเคราะห์ว่าที่เขาไม่ยอมติดคุกเพราะกลัวอันตรายแต่ในความจริงเรือนจำเตรียมห้องพิเศษไว้ให้แล้วการดูแลความปลอดภัยเข้มงวดที่สุดไม่ต่างจากคุ้มกันบุคคลสำคัญหากเขายอมก้าวเข้าไปตั้งแต่แรกก็คงไม่ถูกลากไปถึงศาล ไม่ถูกแพทยสภาชี้หน้าว่ามีหมอร่วมเล่นละครหลบคุก

แล้ววันนี้เขาจะเลือกอะไร จะ “หนี” หรือ “สู้”?

ถ้าเลือกหนีเท่ากับตัดขาดจากแผ่นดินไทยไปตลอดชีวิตไม่ได้กลับมาอีกจนวันตายและธุรกิจเครือข่ายลูกหลานก็จะถูกกระทบไปด้วยเพราะใครจะฝากอนาคตไว้กับคนที่หนีจนไม่เหลือที่ยืน

แต่หากเลือกสู้ด้วยการยอมติดคุกทักษิณก็อาจต้องแลกด้วยการอยู่ข้างในเพียงไม่กี่เดือนโทษที่เหลืออาจถูกลดด้วยอภัยโทษรอบใหม่หรือแม้กระทั่ง “วาระพิเศษ” ในเดือนธันวาคมที่อาจทำให้ได้ออกมาเร็วกว่าที่คิด การติดคุกครั้งนี้อาจกลายเป็นโอกาสฟื้นฟูศรัทธาที่เขาสูญเสียไป

และวันที่ 9 กันยายนนี้ที่ศาลจะชี้ชะตา “คดีชั้น 14” ว่าจะปิดฉากอย่างไร เราอาจได้ยินเสียงจากบัลลังก์ว่าเมื่อพิเคราะห์แล้ว...

“ใบรับรองแพทย์และรายงานการรักษาที่ฝ่ายผู้ต้องโทษยื่นต่อศาลมิได้มีน้ำหนักพอที่จะยืนยันถึงอาการเจ็บป่วยที่อันตรายถึงชีวิตหรือจำเป็นต้องพักรักษานอกเรือนจำอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ต้องโทษได้รับการตรวจรักษาเฉพาะทางที่ไม่สามารถกระทำได้ภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือสถานพยาบาลของรัฐอื่นๆ

การที่เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องอนุญาตให้นำผู้ต้องโทษออกจากเรือนจำไปพักรักษาเป็นเวลายาวนานจึงเป็นการใช้ดุลพินิจเกินสมควรแก่เหตุและก่อให้เกิดผลเป็นการเลี่ยงไม่ให้ผู้ต้องโทษต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล การกระทำดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาคและหลักการบังคับตามคำพิพากษาซึ่งเป็นรากฐานแห่งนิติรัฐ

ศาลจึงมีคำสั่งว่าการนำผู้ต้องโทษออกจากเรือนจำไปพักรักษา ณ โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลายาวนานนั้นเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบให้เพิกถอนการอนุญาตดังกล่าวและให้ผู้ต้องโทษกลับไปรับโทษจำคุกต่อ ณ เรือนจำกลางจนกว่าจะครบกำหนดตามคำพิพากษา”

นั่นเป็นเพียงการคาดเดาจากการติดตามการไต่สวนของศาล การสอบสวนของแพทยสภาที่ยืนยันอย่างชัดเจนว่า ทักษิณไม่ได้ป่วยจริง เมื่อรวมกับพฤติกรรมของเขาเองหลังจากออกจากโรงพยาบาลที่ชี้ชัดว่าเขามีสุขภาพที่แข็งแรงดี ส่วนจะเป็นไปอย่างที่กล่าวไว้หรือไม่ก็ต้องคอยดูกันในวันที่ 9 กันยายน

สุดท้ายทักษิณคงได้เรียนรู้ด้วยตัวเองว่า

การไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียวกลายเป็นความผิดพลาดราคาแพงที่สุดในชีวิต และครั้งนี้เขาไม่มีทางเลือกอื่นนอกจาก “สู้ด้วยการยอมเข้าคุก” เพราะหนีอีกครั้งก็คือหนีไปตลอดชีวิต…และชั้น 14 ก็คือชั้นบนสุดของกฎหมายไทยที่ประชาชนธรรมดาไม่มีวันได้ปีนขึ้นไปถึง.
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น