xs
xsm
sm
md
lg

หนึ่งในสิ่งที่ “พ่อ-ลูก ชุณหะวัณ” ทำเพื่อประเทศ!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์


พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ (ภาพ AFP)
“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”

“คำถาม” จากผู้คนมิใช่น้อยถามผม.. เรื่องทำงานการเมืองนั้น ผมเอา “เงิน” ที่ไหนมาดูแลชีวิตตัวเองและครอบครัว?
น้าชาติเป็นทหาร พี่โต้งเป็นคนดีมีน้ำใจ ทั้งคู่จึงเคยแสดงความไม่สบายใจที่ผมไม่รับเงินเดือนจากกองเลขาฯ
 
บ่ายวันหนึ่ง “พี่เพ็ชร” คุณสุรัตน์ โอสถานุเคราะห์ ผู้บริหารพรรคชาติพัฒนาและประธานบริษัทโอสถสภา ได้พูดกับผมอย่างจริงจัง..
 
 “ชัช.. น้าชาติสั่งให้พี่ดูแลชัช พี่ขอให้ชัชเป็นที่ปรึกษาของพี่ที่โอสถสภา.. ห้ามปฏิเสธเด็ดขาด.. ชัชจะได้ทำงานอย่างเต็มที่!”


เมื่อ พี่เพ็ชร พี่ที่ร่วมงานกับผมเป็นอย่างดีมาตลอด พูดกับผมแบบนี้ จึงยากที่ผมจะปฏิเสธในการรับเงินเดือนจำนวนหนึ่งจาก บริษัทโอสถสภา เพื่อใช้ทำงานให้ น้าชาติกับพี่โต้ง รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาส่วนตัว พี่เพ็ชร..

ภายหลัง พี่เพ็ชรจากไปอย่างไม่มีวันกลับ... ผมโชคดีที่ได้  พี่สนธิ ลิ้มทองกุล เพื่อนรุ่นพี่ผู้เก่งกล้า ให้การดูแลอย่างต่อเนื่อง แม้ในยามเจ็บไข้ได้ป่วย พี่สนธิก็ยังคงดูแลอย่างอบอุ่นมิได้ขาดมาจนทุกวันนี้.. แถมมี อาจารย์ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ดูแลและให้คำแนะนำเรื่องสุขภาพ

ในช่วงป่วยด้วยเส้นเลือดในสมองด้านขวาตีบ ได้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะของ หมอเหรียญทอง จนสุขภาพผมดีขึ้น จากนั้น คุณสุวัฒน์ น้องชายที่ห่วงใยกันเสมอ ได้แนะนำ  หมอกิตติศักดิ์ เก่งสกุล รพ.วิชัยยุทธ ช่วยดูแลฟื้นฟูสุขภาพด้วยวิธีฝังเข็ม รวมถึง หมอแวร์สมิง กับหมอเอ็ม วสันต์ สิงลา  ช่วยนวด กดจุด และฝังเข็ม แก้ไขปัญหาสุขภาพให้ดีขึ้นในวันนี้..

 ทุกท่านที่เป็นห่วง.. ผมต้องขอขอบคุณอย่างสูง และขอรายงานให้ทราบว่า วันนี้สุขภาพร่างกายผมดีขึ้นจนร่างกายเกือบเป็นปกติแล้วครับ..

คราวนี้มาดูงานส่วนหนึ่งของผม ช่วงที่ทำกับพี่โต้งและน้าชาติกันนะครับ ในงานเลี้ยงวันเกิดน้าชาติที่บ้านสามร้อยยอด จังหวัดนครราชสีมา ผู้คนมากันเยอะมาก ขณะผมยืนดื่มน้ำคุยกับแขก มีคนมาตามให้ไปพบน้าชาติที่ห้องรับแขก มีพี่โต้งและผู้ว่าการรถไฟ นั่งอยู่กับแขกอีกหลายคน

 “ชัช.. รู้จักกับคุณสราวุธ ผอ. การรถไฟสิ” น้าชาติแนะนำ จากนั้นมองหน้าผมแล้วพูดว่า “คุณสราวุธเพิ่งกลับจากญี่ปุ่น ทางการรถไฟญี่ปุ่นจะให้เปล่า 20 กว่าโบกี้รถไฟ ให้เวียดนามในเดือนนี้”

คุณสราวุธพูดเสริมน้าชาติว่า “คุณชัช ผมเพิ่งไปดูงานที่นั่น จึงรู้ว่าญี่ปุ่นจะให้โบกี้รถไฟพวกนั้นกับทางเวียดนามฟรีๆ ครับ”

น้าชาติพูดต่อว่า  “คุณสราวุธเขาอยากได้โบกี้รถไฟพวกนั้น.. ชัชกับโต้งอ้างชื่อพ่อไปขอโบกี้รถไฟญี่ปุ่นแทนพ่อด้วย.. ถ้าพ่อต้องเดินทางไป ก็กลับมาบอกพ่อด้วย” นั่นคือคำสั่งงานที่น้าชาติสั่งพี่โต้งกับผมต่อหน้าแขก

หลังจากนั้นสองสามวัน พี่โต้งกับผมและเพื่อนบางคนก็เดินทางไปประเทศญี่ปุ่น โดยทางเราได้ติดต่อกับประธานบริษัทโตเกียวโบอิกิ บริษัทเหล็กในญี่ปุ่นที่เป็นหุ้นส่วนกับบริษัทรถไฟญี่ปุ่น กับบริษัทรถไฟความเร็วสูงชิงคันเซ็น

 ประธานโตเกียวโบอิกิคนนี้ ในอดีตเป็นหนึ่งในแกนนำนักศึกษาฝ่ายซ้ายในญี่ปุ่นหรือ “กองทัพแดง” เขาเคยเดินทางมากรุงเทพฯ ขอให้พี่โต้งกับผมช่วยให้เขาได้เจอกับน้าชาติช่วงเดินทางไปญี่ปุ่น เพราะผู้บริหารมิตซูบิชิที่เป็นหุ้นส่วนกับโตเกียวโบอิกิ กีดกันไม่ให้เขาพบกับน้าชาติ ทั้งๆ ที่บริษัทของเขาซื้อปลายข้าวไทยผ่านมาเลเซีย นำมาหมักและกลั่นเป็นเหล้าสาเกชื่อดังขายในญี่ปุ่น เหตุที่ต้องซื้อผ่านมาเลเซียก็เพราะเขากลัวบริษัทผลิตเหล้าสาเกในญี่ปุ่น จะรู้ที่มาของวัตถุดิบ อันถือเป็นสูตรลับของธุรกิจ โดยบริษัทเขาซื้อปลายข้าวไทยมาตั้งแต่เมื่อครั้งน้าชาติเป็นทูตทหารไทยประจำประเทศญี่ปุ่น

เมื่อน้าชาติรู้เรื่องนี้.. ในช่วงที่ไปเยือนญี่ปุ่น น้าชาติจึงตัดสินใจยกเลิกการพบกับผู้บริหารบริษัท มิตซูบิชิ และพลิกกลับไปนัดเจอกับผู้บริหารบริษัท โตเกียวโบอิกิ ด้วยไมตรีจิตอันดี

หลังจากพบกันครั้งนั้น ท่านประธานโตเกียวโบอิกิ มาพบพวกเราที่กรุงเทพ น้าชาติควักเงินส่วนตัวให้ผมพาท่านประธานและผู้บริหารบริษัทฯ 10 กว่าคน ไปเอนเตอร์เทนแบบเต็มร้อย ทั้งอาหาร-เครื่องดื่ม-สาวสวย ผมพาไปอาบอบนวดชื่อดังของลูกชายบริษัทส่งออกข้าวอันดับหนึ่งของไทยครับ

การไปญี่ปุ่นครั้งนั้น ประธานบริษัทโตเกียวโบอิกิได้ให้เกียรติพวกเราเป็นพิเศษ โดยพาพี่โต้งกับพวกผมไปพูดคุยและรับประทานอาหารเมนูราคาแพงที่มีแต่ปลาปักเป้า ที่วังสามฤดู ภัตตาคารในวังเก่า ที่มีสวนสวยในบรรยากาศอาคารเก่าแก่สไตล์ญี่ปุ่น ที่นี่ท่านประธานโตเกียวโบอิกิบอกพวกเราว่า เขาเคยเป็นนักเคลื่อนไหวเหมือนพี่โต้งและผม ท่านยังเล่าด้วยว่า  “คุณโต้งกับพวก คุณรู้ไหม เศรษฐกิจของญี่ปุ่นน่ะ พวกฝ่ายซ้ายกุมอยู่ครึ่งหนึ่งเลยนะ“

เขาบอกด้วยว่า   “ที่บริษัทยักษ์อย่างมิตซูบิชิมาหุ้นกับพวกผม เพราะประเทศในโลกที่เป็นฝ่ายซ้ายหรือคอมมิวนิสต์ หนุนบริษัทพวกเรา บริษัทผมเป็นผู้จำหน่ายโตโยต้ารายเดียวในจีน เป็นบริษัทไม่ขายของแต่ใช้ระบบแลกเปลี่ยน เช่น เอาข้าวไปให้ประเทศเกาหลีเหนือแลกกับเหล็ก เอาหลายอย่างไปแลกวัตถุดิบกับประเทศในยุโรปตะวันออกและรัสเซีย ทำให้บริษัทผมเติบโตอย่างรวดเร็ว โตเร็วมากจนบริษัทมิตซูบิชิขอเข้าหุ้นด้วย”

 ไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ
นั่นเป็นเรื่องราวสั้นๆ ที่พวกเราได้รับแบ่งปันอย่างมีไมตรี จากประธานบริษัทโตเกียวโบอิกิ บริษัทใหญ่อันดับที่ 25 ของญี่ปุ่น ซึ่งใหญ่กว่าบริษัทปูนซีเมนต์ไทย

 “คุณโต้ง.. เรื่องโบกี้รถไฟที่น้าชาติขอนั้น.. ไม่มีปัญหาครับ แต่ก็มีปัญหา! ถ้าทางไทยขนโบกี้ทั้งหมดนี้ไปไม่ได้ภายในหนึ่งเดือน ทางญี่ปุ่นไม่มีที่เก็บครับ เราจะต้องบริจาคให้กับเวียดนามนะครับ!”

เอาล่ะสิ!.. ญี่ปุ่นยินดีให้โบกี้รถไฟทั้งหมดฟรีไม่มีปัญหา แต่ไทยต้องขนให้หมดภายในหนึ่งเดือน นี่คือปัญหาใหญ่ของไทยล่ะว่ะ! เพราะคำตอบที่กลับมาจากไทยคือ “รัฐบาลไทยโดยกระทรวงคมนาคม ไม่มีงบประมาณในปีนี้ ที่จะขนโบกี้รถไฟฟรีทั้งหมดจากญี่ปุ่นไปไทย!”

ทำอย่างไรดีล่ะ? นั่นคือสิ่งที่พวกเราต้องคิด.. แต่พวกเราคิดไม่ออกว่ะ? แต่น้าชาติคิดออกแบบง่ายๆ ผ่านพี่โต้ง นั่นคือ  “โต้งกับชัชอ้างชื่อพ่อได้เลย! พ่อให้ชัชขอยืมเงินบริษัทโตเกียวโบอิกิมาใช้ขนโบกี้รถไฟทั้งหมดไปไทย และลดขนาดล้อให้เข้ากับขนาดรางของไทยด้วยเลย ใช้เงินประมาณ 100 ล้านบาท ไทยจะจ่ายคืนภายในหนึ่งปี!”

เฮ้อ!.. น้าชาติคิดเรียบง่ายชนิดพวกเราคิดไม่ถึง เรื่องขอทั้งโบกี้รถไฟฟรี แถมยังให้ขอยืมเงินค่าขนไปไทยด้วย! จะได้หรือไม่ได้ไม่รู้?

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเรานัดท่านประธานโตเกียวโบอิกิ กินกาแฟและได้พูดคุยเรื่องนี้ที่ล็อบบี้โรงแรมอิมพีเรียล...

 “เรื่องคุณโต้งช่วยให้พวกเราได้พบกับน้าชาติแทนมิตซูบิชินั้นสำคัญมากนะ มันเป็นเรื่องของศักดิ์ศรี คุณโต้งกับน้าชาติมีบุญคุณกับบริษัทโตเกียวโบอิกิของเรามากๆ เราขอบอกคุณโต้งกับน้าชาติเลยนะครับ เรื่องเงินยืม 100 ล้านบาทไม่มีปัญหาครับ.. แต่ต้องใช้คืนภายในหนึ่งปีนะครับ!”

ความสำเร็จในครั้งนั้นของพี่โต้งและพวกเรา ไม่มีการทำสัญญายืมเงิน 100 ล้านบาทเลยครับ เป็นสัญญาสุภาพบุรุษ!

 นั่นคือเบื้องหน้าเบื้องหลังของงานหนึ่ง ในการได้โบกี้รถไฟฟรี ที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยบารมีของน้าชาติกับพี่โต้งครับ!!!


กำลังโหลดความคิดเห็น