xs
xsm
sm
md
lg

บทพิสูจน์กระบวนการยุติธรรม กับชะตากรรมของนักโทษชายทักษิณ

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

วันที่ 9 กันยายนในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เราจะได้รู้แล้วว่า คดีของทักษิณ ชินวัตร ที่ไปนอนอยู่ในห้องพิเศษ ชั้น 14 ของโรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ต้องเข้าคุกแม้แต่วันเดียวจะจบลงอย่างไร และทักษิณจะอยู่จนไปฟังคำพิพากษาวันนั้นไหม หรือเขาจะอันตรธานไปเสียก่อน หากเขาหลุดรอดคดี 112 และสามารถเดินทางออกนอกประเทศได้


ทักษิณ คือนักโทษคดีทุจริตที่ศาลพิพากษาจำคุกหลายคดี แต่เลือกหนีออกนอกประเทศตั้งแต่ปี 2551 ใช้ชีวิตสุขสบายต่างแดนยาวนานกว่าทศวรรษ ในฐานะ “นักโทษหนีคดี” ที่เอื้อมไม่ถึงด้วยกฎหมายไทย โดยทักษิณไม่ได้อยู่อย่างซ่อนเร้นเหมือนนักโทษที่หลบหนีคดี แต่ใช้ชีวิตของเขาอย่างเปิดเผย แถมยังบินมาโฉบเฉี่ยวรอบบ้านเราหลายครั้ง โดยเฉพาะกัมพูชา ที่อดีตเพื่อนรักของเขาอย่างฮุนเซนเปิดประตูห้องนอนสีชมพูต้อนรับตลอดเวลา  

เมื่อปี 2566 ทักษิณกลับประเทศไทยในบรรยากาศราววีรบุรุษ ทั้งที่ความจริงคือกลับมาในสถานะนักโทษ โดยมีการพูดถึงดีลลังกาวีที่กล่าวกันว่า มีการพบกันที่นั่นระหว่างทักษิณกับนายทหารใหญ่อย่าง พล.อ.อภิรัชต์ คงสมพงษ์และ พล.อ.เฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ซึ่งตอนนี้มีข่าวว่า ทักษิณเว้นเก้าอี้รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมไว้ให้เขามารับตำแหน่ง

แต่วันแรกที่ก้าวเข้าคุก กลับเป็นวันแรกที่กฎหมายถูกบิดผันด้วยกลไกของอำนาจรัฐที่มีเงื่อนงำ แม้ต่อมาจะได้รับพระกรุณาพระราชทานอภัยลดโทษจากแปดปีเหลือเพียงหนึ่งปี และแทนที่จะนับวันในห้องขังเหมือนนักโทษทั่วไป กลับถูกนำตัวไปนอนที่โรงพยาบาลตำรวจด้วยเหตุผลเรื่อง “อาการป่วย”

ข้ออ้างมีสารพัด ทั้งความดัน หัวใจ และแม้แต่ “เอ็นเปื่อยยุ่ย” ที่กลายเป็นตลกร้ายในสังคม เพราะนักโทษอีกมากที่เจ็บป่วยหนักกว่านี้ยังต้องใช้ชีวิตในคุก เตียงผู้ป่วยในห้องหรูวีไอพีของโรงพยาบาลตำรวจจึงถูกเสกเป็นบัลลังก์ใหม่ของนักโทษการเมือง ลิฟท์ของโรงพยาบาลถูกใช้เป็นทางหนีคุก และหน้าต่างชั้น 14 กลายเป็นช่องว่างของกฎหมายที่ประชาชนคนธรรมดาไม่เคยปีนถึง

มีคำกล่าวอ้างของ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวชว่าเขาเคยขึ้นเป็นเยี่ยมทักษิณบนชั้น 14 สองครั้ง ครั้งแรกมีผู้ประสานงานพาเข้า-ออกผ่านลิฟต์และบันไดหนีไฟ จนถึงชั้น 14 โดยระบุว่าบนชั้นดังกล่าวไม่มีเจ้าหน้าที่เฝ้าตรวจสอบ และทักษิณแต่งกายสบายๆ สวมเสื้อเชิ้ต กางเกงขาสั้นและรองเท้าแตะ ขณะพูดคุยราว 1 ชั่วโมงไม่เห็นอาการเจ็บป่วยแต่อย่างใด

ส่วนครั้งที่สอง ผู้ประสานงานแจ้งให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ไปเยี่ยมคนเดียว โดยครั้งนี้ทักษิณชวนไปห้องรับแขกที่สามารถมองเห็นสนามม้า มีการเสิร์ฟขนมและกาแฟ แต่ไม่ได้เข้าไปยังห้องพักผู้ป่วย

คำบอกเล่าของพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์สอดรับกับที่สังคมรับรู้ทันทีที่ทักษิณพ้นโทษ โรคร้ายที่เป็นข้ออ้างเพื่อไปนอนในโรงพยาบาลด้วยข้ออ้างการป่วยสารพัดที่เจ้าหน้าที่เรือนจำและแพทย์โรงพยาบาลตำรวจขานรับกันเพื่อให้สอดคล้องกับระเบียบที่มีอยู่ เพื่ออุ้มชูให้ทักษิณไม่ต้องเข้าคุกหายเป็นปลิดทิ้งทันที ทักษิณสามารถเดินทางไปไหนมาไหนได้ทั่วประเทศ แถมยังพูดแบบติดตลกว่า การกลับประเทศของเขานั้นต้องไปเสียเวลาอยู่ที่โรงพยาบาลตำรวจ โดยไม่ได้ยอมรับว่า นั่นคือ ความเป็นอภิสิทธิ์ชนที่เกิดขึ้นแทนที่จะต้องจำคุกเหมือนกับนักโทษคนอื่นๆ

ทั้งการใช้ชีวิตตอนที่หลบหนีอยู่ต่างประเทศและหลังออกจากโรงพยาบาลที่นอนอยู่ถึง 6 เดือน ใครเชื่อว่าทักษิณป่วยจริงดังข้ออ้างของแพทย์โรงพยาบาลตำรวจก็น่าจะเป็นคนที่ต้องมีสติสัมปชัญญะบกพร่องอยู่พอสมควร

สังคมเริ่มตั้งคำถามหนักขึ้นเมื่อแพทยสภามีมติลงโทษแพทย์ราชทัณฑ์และแพทย์ตำรวจบางราย ฐานประพฤติผิดจริยธรรม ใช้ดุลพินิจเอื้อประโยชน์จนการแพทย์ถูกทำให้เป็นละครฉากใหญ่ เปลี่ยนโทษจำคุกให้กลายเป็นการพักรักษา

เมื่อศาลเปิดการไต่สวนคดีที่เรียกว่า “คดีชั้น 14” จากที่ชาญชัย อิสระเสนารักษ์และพวกนำเรื่องนี้ขึ้นสู่ศาลและศาลรับไว้พิจารณา ความจริงจึงเริ่มถูกลากออกมาสู่แสงสว่าง ศาลซักถามผู้คุมเรือนจำ 9 ปาก ไล่ถามตั้งแต่ขั้นตอนการส่งตัว ใครอนุมัติ ใครเซ็นเอกสาร และทำไมจึงปล่อยให้ผู้ต้องโทษรายนี้ออกจากคุกนานนับเดือน คำให้การหลายปากสะท้อนความลังเลและความขัดแย้งภายในระบบราชทัณฑ์ที่ต้องรับคำสั่งจากอำนาจที่สูงขึ้นไป

แน่นอนว่า ลำพังเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์หรือแม้แต่แพทย์โรงพยาบาลตำรวจคงไม่กล้าที่จะทำเรื่องแบบนี้ตามลำพัง ถ้าไม่มีคำสั่งที่พวกเขาไม่อาจปฏิเสธได้สั่งการลงมา และทำให้วันนี้พวกเขาอาจจะกลายเป็นจำเลยที่ร่วมกันกระทำผิด เมื่อเรื่องถูกสอบสวนอยู่ในมือของป.ป.ช.

ไม่หยุดเพียงเท่านั้น ในการไต่สวนศาลยังเรียกพยานเพิ่มอีกกว่า 20 ปาก ทั้งเจ้าหน้าที่และแพทย์ผู้เกี่ยวข้อง เพื่อเจาะรายละเอียดทุกรอยต่อของการส่งตัวออกจากเรือนจำและเหตุผลที่ไม่เคยส่งกลับไป สภาพในห้องพิจารณาเข้มข้นจนหลายคนรู้สึกเหมือนกำลังมองกฎหมายไทยถูกทดสอบตรงหน้า

และที่กลายเป็นข่าวดังที่สุดก็มาถึง แพทย์โรงพยาบาลตำรวจผู้รักษาทักษิณนั่งให้การต่อหน้าศาล ก่อนน้ำตาคลอและปาดออกกลางห้องพิจารณา ยอมรับว่า “ผู้ป่วย” ไม่เคยผ่าตัดกระดูกทับเส้นตามที่เคยอ้าง คำให้การนี้ไม่เพียงตัดเส้นทางความน่าเชื่อถือของการรักษา แต่ยังกลายเป็นสัญลักษณ์ของความจริงที่ถูกกดไว้ และเมื่อศาลบังคับให้พูด ความจริงก็พรั่งพรูออกมาพร้อมน้ำตา

นี่ไม่ใช่เพียงคำสารภาพของแพทย์ แต่คือภาพที่สะท้อนการบิดเบือนกฎหมายอย่างโจ่งแจ้งว่า ห้องพักฟื้นของโรงพยาบาลถูกใช้แทนห้องขัง และกฎหมายถูกทำให้เป็นเพียงสคริปต์ละครที่คนมีอำนาจเขียนเอง 
 
*คำถามใหญ่ของสังคมคือ ประเทศไทยมี “สองคุก” หรือไม่? คุกกำแพงสูงสำหรับคนจน และคุกโรงพยาบาลสำหรับนักโทษการเมือง เพราะในความจริง คนจนป่วยหนักยังต้องนอนคุก แต่คนมีอำนาจกลับนอนบนเตียงนุ่มพร้อมพยาบาลคอยรับใช้ ที่สะท้อนถึงสองมาตรฐานในสังคมไทย

ในวันนัดฟังคำพิพากษา 9 กันยายนนั้น ศาลนัดให้ทักษิณ และผู้บัญชาการเรือนจำต้องไปฟังในวันนั้น ทำให้หลายคนคาดการณ์คดีนี้ไปต่างๆ นานากัน

ถ้าถามผมว่า คดีนี้จะจบลงอย่างไร ส่วนตัวผลมีความเชื่อว่า รอดยาก ถ้ามองจากองค์ประกอบที่เป็นข้อเท็จจริงที่เป็นที่ประจักษ์ของสังคมไทยโดยประเด็นที่ศาลต้องวินิจฉัย คือการนำผู้ต้องโทษออกจากเรือนจำไปพักรักษา ณ โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลายาวนานนั้น มีพยานหลักฐานทางการแพทย์ที่เพียงพอและน่าเชื่อถือว่ามีความจำเป็นหรือไม่ หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอ การดำเนินการดังกล่าวเป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบและเป็นการเลี่ยงโทษจำคุกหรือไม่ ศาลควรมีคำสั่งอย่างใดต่อการคุมขังผู้ต้องโทษ

ถ้าทักษิณไม่รอด คำพิพากษาจะออกมาอย่างไร เราไม่อาจล่วงรู้ล่วงหน้าได้ แต่นี่เป็นการคาดเดาของผมในกรณีที่ผลการตัดสินออกมาตรงกับสิ่งที่ผมเชื่อและคาดคิดเอาไว้ ผมก็คาดเดาเอาไว้ดังนี้

เราอาจได้ยินเสียงจากบนบัลลังก์ว่า เมื่อพิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ใบรับรองแพทย์และรายงานการรักษาที่ฝ่ายผู้ต้องโทษยื่นต่อศาล มิได้มีน้ำหนักพอที่จะยืนยันถึงอาการเจ็บป่วยที่อันตรายถึงชีวิต หรือจำเป็นต้องพักรักษานอกเรือนจำอย่างต่อเนื่อง ข้อเท็จจริงไม่ปรากฏว่าผู้ต้องโทษได้รับการตรวจรักษาเฉพาะทางที่ไม่สามารถกระทำได้ภายในโรงพยาบาลราชทัณฑ์หรือสถานพยาบาลของรัฐอื่น ๆ

การที่เจ้าพนักงานผู้เกี่ยวข้องอนุญาตให้นำผู้ต้องโทษออกจากเรือนจำไปพักรักษาเป็นเวลายาวนาน จึงเป็นการใช้ดุลพินิจเกินสมควรแก่เหตุ และก่อให้เกิดผลเป็นการเลี่ยงไม่ให้ผู้ต้องโทษต้องรับโทษจำคุกตามคำพิพากษาของศาล การกระทำดังกล่าวย่อมขัดต่อหลักความเสมอภาคและหลักการบังคับตามคำพิพากษา ซึ่งเป็นรากฐานแห่งนิติรัฐ

ศาลจึงมีคำสั่งว่า การนำผู้ต้องโทษออกจากเรือนจำไปพักรักษา ณ โรงพยาบาลตำรวจเป็นเวลายาวนานนั้น เป็นการใช้ดุลพินิจโดยมิชอบ ให้เพิกถอนการอนุญาตดังกล่าว และให้ผู้ต้องโทษกลับไปรับโทษจำคุกต่อ ณ เรือนจำกลางจนกว่าจะครบกำหนดตามคำพิพากษา

ย้ำอีกครั้งว่านี่เป็นเพียงการคาดเดาของผมนะครับ แต่ถ้าการนอนอยู่ในโรงพยาบาลตลอดการจำคุกของทักษิณโดยไม่ได้เข้าคุกแม้แต่วันเดียว เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้โดยถูกทำนองคลองธรรมตามหลักการของกระบวนการยุติธรรมแล้วทักษิณลอยนวลก็อยากจะรู้เหมือนกันว่า ศาลท่านจะมีความเห็นอย่างไร แม้ว่าเราจะต้องยอมรับคำตัดสินของศาลก็ตาม

คำตัดสินในครั้งนี้ไม่เพียงแต่เป็นบทพิสูจน์ว่ากระบวนการยุติธรรมไทยสามารถมี“คนมีอำนาจอยู่เหนือกฎหมาย”หรือไม่ หรือกฎหมายไทยจะมีกี่มาตรฐานกันแน่ หรือว่าชั้น 14 เป็นชั้นที่กฎหมายไทยเอื้อมไปไม่ถึง แต่สำหรับผมเชื่อว่า สิ่งที่ทักษิณและเครือข่ายอำนาจรัฐอุ้มชูเขานั้นเป็นสิ่งที่ไม่อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าความยุติธรรมยังคงค้ำจุนสังคมไทย

ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan


กำลังโหลดความคิดเห็น