ถ้าดูจากลักษณะอาการ จากภาษากาย หรือจะเรียกว่า “รูปมวย”ใดๆ ก็แล้วแต่...คงต้องยอมรับว่าคำเปรียบเทียบ เปรียบเปรย อุปมา-อุปไมยของคอลัมนิสต์ชื่อดังและพิธีกรรายการทอล์กโชว์ อย่างคุณ “Rachel Marsden” ต่อบรรดาผู้นำชาติยุโรป ประเภทอียู-อีย้วย ทั้งหลาย น่าจะให้ภาพที่ถูกต้องและตรงไป-ตรงมาอย่างถึงที่สุด นั่นก็คือภาพของ “เด็ก” ที่แหกปากร้องลั่น กระทืบเท้าเร่าๆ อยู่กลางศูนย์การค้า หรือขณะกำลังเคว้งๆ คว้างๆอยู่ระหว่างร้านขายขนมเค้กกับร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ อันเนื่องมาจากหลงทิศ-หลงทาง เพราะ “บิดาบังเกิดเกล้า”ที่เคยจูงไม้-จูงมือมาโดยตลอด เกิดปล่อยมือหลุดซะดื้อๆ!!! อะไรทำนองนั้น...
ด้วยเหตุนี้...การยกขบวนแห่ไปเจอกับ “ทรัมป์บ้า” หลังจากที่ประธานาธิบดีอเมริกันรายนี้ได้เปิดบ้าน “ปูพรมแดง”ต้อนรับประธานาธิบดีรัสเซีย อย่างชนิดอบอุ่นและสมเกียรติ-สมศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง ส่งผลให้ไม่ว่าจะไล่มาตั้งแต่ “ตัวตลก-ตัวแทน”อย่างผู้นำยูเครน “นายVolodymyr Zelensky” ตลอดไปจนผู้อยู่เบื้องหลังที่พยายามจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องมือ ไม่ว่าผู้นำเยอรมนี “นายFriedrich Merz” ผู้นำฝรั่งเศส “นายEmmanuel Macron”ผู้นำอังกฤษ นายกฯ “Kier Starmer” ผู้นำฟินแลนด์“นายAlexander Stubb” ผู้นำอิตาลี “นางGiorgia Meloni” ไปจนถึงเลขาธิการ “NATO” “นายMark Rutte” รวมทั้ง “คุณป้ามหาภัย” ประธานคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป “นางUrsula von der Leyen” ต่างต้องรีบยกขบวน รวมหัว-รวมตัว ไปหา “บิดาบังเกิดเกล้า” อย่าง “ทรัมป์บ้า” ที่ทำเนียบขาว เมื่อช่วงวันจันทร์(18 ส.ค.) ที่ผ่านมานี้....
คือต้องรีบวิ่งไปถาม “พ่อ”ว่าจะให้เดินไปในทางไหน ทิศไหน ต่อไป เพราะตลอดช่วง 3 ปีกว่าๆ ที่ได้ร่วมกันรุมเหยียบรุมกระทืบรัสเซียมาโดยตลอด เพลินมือ-เพลินตีนไม่ต่างอะไรไปจาก “เด็ก”ที่ยังมัวแต่หลงใหลอยู่กับร้านขนมเค้ก หรือร้านขายแฮมเบอร์เกอร์ อะไรทำนองนั้น แต่จู่ๆ... “พ่อ”ก็ดัน “ปูพรมแดง”ต้อนรับผู้ที่ตัวเองพยายามเหยียบ พยายามกระทืบ อย่างผู้นำรัสเซียซะเฉยเลย!!! การรวมหัว รวมตัว เพื่อวิงวอน เรียกร้องให้ “บิดาบังเกิดเกล้า” ช่วยชี้ทางออก-ทางไป ต่อกรณี “สงครามยูเครน” เลยออกจะสะท้อนให้เห็นถึงลักษณะอาการแบบเสียหมา เสียสุนัข หรือกระทั่ง “เสียเด็ก”อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าการเจรจาสันติภาพ เจรจาหยุดยิงระหว่างรัสเซียและยูเครนในรอบต่อๆ ไป จะเป็นไปในรูปไหน? ลักษณะไหน? ก็ตามที...
เรียกว่า...กระทั่งคุณพี่จีน ที่เมียงๆ-มองๆ อยู่วงนอก ยังอดไม่ได้ที่จะต้องนำเสนอความคิด ความเห็น ผ่านข้อเขียน บทความติดต่อกันถึง 2 เรื่อง 2 ชิ้น ในสำนักข่าวทางการของจีน อย่าง “Global Times” เมื่อช่วงวัน-สองวันที่ผ่านมานี้ ไม่ว่าจะเรื่อง “Trump shifts ceasefire position on Russia-Ukraine conflict, leaving Ukraine, Europe in dismay”หรือการเปลี่ยนท่าทีในการยุติสงครามยูเครนของ “ทรัมป์บ้า” เล่นเอาทั้งยูเครนและบรรดาชาติยุโรปถึงขั้น “สะดุ้งโหยง” เอาเลยถึงขั้นนั้น หรือ “บทบรรณาธิการ” ที่ใช้สุ้มเสียงแบบผู้หลัก-ผู้ใหญ่ ด้วยการสรุปว่า “The Ukraine crisis has taught Europe a lesson in realpolitik”หรือด้วย “วิกฤตยูเครน” นี่แหละที่อาจถือเป็นตัวสั่งสอนบทเรียนให้กับบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ถึงสิ่งที่เรียกว่า“การเมืองที่แท้จริง” ได้เป็นอย่างดี...
คือจะเป็น “ประชาธิปไตย”แบบคล้ายๆ “พรรคส้ม” หรือพรรคก้าวไกล พรรคประชาชนบ้านเรา ที่ออกจะหนักไปทาง “คิกขุ-อาโนเนะ”มาโดยตลอดไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เนื่องจาก “การเมืองตามความเป็นจริง”นั้น มันมีองค์ประกอบอะไรต่อมิอะไรอยู่อีกเยอะแยะมากมาย ไม่ใช่แค่การอวดโชว์คำพูด คำคม การหาแสง หิวแสง หรือการทิ่มๆ จิ้มๆ อยู่ตามคีย์บอร์ด ฯลฯ แล้วถือเป็น “อุดมคติ-อุดมการณ์” อันสุดแสนจะหะรูหะราอะไรทำนองนั้น และดูเหมือนผู้ที่ได้ให้คำอรรถาธิบายถึงสิ่งที่เรียกว่า “การเมืองที่แท้จริง” หรือ “การเมืองตามความเป็นจริง”อันส่งผลให้ผู้นำรัสเซียอย่างประธานาธิบดี “ปูติน” ได้รับการต้อนรับอย่างสุดแสนจะอบอุ่นจากผู้นำอเมริกาในการประชุมสุดยอดเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมานี้ ก็น่าจะเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศอเมริกา อย่าง “นายMarco Rubio” นั่นเอง ที่ได้เอ่ยปากในระหว่างให้สัมภาษณ์สำนักข่าว “ABC News”เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (17 ส.ค.) เอาไว้ประมาณว่า... “เขา(ปูติน)คือผู้ที่กำอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธวิธีเอาไว้ในมือมากที่สุดในโลก และมีอาวุธนิวเคลียร์ทางยุทธศาสตร์เป็นอันดับ 2 รองจากสหรัฐอเมริกา อีกทั้งแม้แต่สื่อต่างๆ หนีไม่พ้นต้องพูดถึงเขาตลอดช่วงระยะ 4-5 ปีที่ผ่านมา”หรือพูดง่ายๆ ว่าด้วยเหตุเพราะสถานะของผู้นำรัสเซียรายนี้ ได้ขึ้นชั้นอยู่ในระดับ “ผู้นำโลก” อย่างมิอาจปฏิเสธใดๆ ได้เลย...
ในขณะที่บรรดาผู้นำชาติยุโรปทั้งหลาย ที่พยายามหาแสง หิวแสง ไม่เว้นในแต่ละวัน แบบเดียวกับ “คุณพี่ธนาธร”หรือ“ท่านนายกฯ ว่าว-ทิม พิธา” ไปจนถึง “คุณพี่เท้ง”ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรของบ้านเรานั่นแหละ กลับมีบทบาท ท่าทีแบบที่นักวิจัยแห่ง “Chinese Academy of Social Sciences”ของจีน อย่าง “นายLu Xiang” เขาได้ให้สัมภาษณ์ “Global Times”เอาไว้นั่นแหละว่า... “ยุโรปต้องกลายเป็นฝ่ายชอกช้ำต่อความพยายามที่จะมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจของทรัมป์ แต่พวกเขาเองกลับไม่มีพลังอำนาจพอที่จะกระทำเช่นนั้น เพราะพวกเขาไม่ได้มีศักยภาพทางทหารที่แท้จริง หรือเป็นผู้ที่มีบทบาทสำคัญในการควบคุมอาวุธนิวเคลียร์ ยุโรปได้สูญเสียอำนาจในการคัดง้างและสุ้มเสียงของพวกเขากำลังอ่อนลงๆ ในการแก้ปัญหาความขัดแย้งยูเครน-รัสเซีย” แต่ขณะเดียวกัน...“ทั้งอเมริกาและรัสเซีย น่าจะเข้าใจ...ความจริง...ที่ว่าการแตกร้าวทางด้านสัมพันธภาพระหว่างประเทศทั้งสอง ย่อมมีแต่จะนำมาซึ่งความพังพินาศฉิบหายอย่างมิอาจหวนกลับคืนมาได้ ด้วยเหตุเพราะทั้งสองฝ่าย ต่างเป็นผู้ที่กำอาวุธนิวเคลียร์ไว้ในมือไม่ได้มาก-น้อยไปกว่ากัน ความพยายามที่จะหาจุดสมดุล หรือจุดลงตัวระหว่างประเทศทั้งสอง จึงอาจมีความสำคัญยิ่งกว่าประเด็นปัญหาเรื่องยูเครนล้วนๆ”....
นี่...ต้องถือเป็น “มุมมอง” ที่น่าคิด น่าสะกิดใจ เป็นอย่างยิ่ง เพราะโดย “ข้อเท็จจริง” หรือ “การเมืองตามความเป็นจริง” นั้น แม้ “บิดาบังเกิดเกล้า” ของบรรดาประเทศยุโรปทั้งหลาย อย่างคุณพ่ออเมริกา จะได้ชื่อว่าเป็นมหาอำนาจสูงสุดของโลก เป็น“เครื่องจักรทางทหาร” ที่ทรงอานุภาพมากที่สุด แต่หลังจากที่ต้องหนียะย่าย พ่ายจะแจออกจากอัฟกานิสถาน ต้องรีบสงบศึกกับประเทศที่ยากจนที่สุดในโลกอย่างเยเมน เพราะแทบไม่เหลืออาวุธติดคลังเอาไว้สู้ไว้สกัดกั้นจรวดเยเมน ที่หวิดๆ จะจม “เรือบรรทุกเครื่องบิน” ในทะเลแดงแบบหวีดหวิว ฉิวเฉียด แถมยังต้องเปิดศึกกับอิหร่าน ไปจนถึงคุณพี่จีนเอาเลยก็ไม่แน่ ฯลฯ อะไรต่อมิอะไรเหล่านี้นี่เอง...ที่ทำให้ “ชาตินิวเคลียร์” อย่างรัสเซียที่ไม่ใช่มีแค่หัวรบนิวเคลียร์ไล่เลี่ยกับตัวเอง แต่ยังมีขีปนาวุธร้ายๆ ที่เชื่อกันว่ายังไม่มีระบบป้องกันใดๆ สามารถสกัดกั้นได้ แถมรัฐมนตรีช่วยต่างประเทศรัสเซีย “นายSergey Ryabkov” ยังออกมาเปิดเผยกับสถานีโทรทัศน์ “Rossiya” ครั้งล่าสุดไว้ด้วยว่า...“แน่ล่ะว่าเรามี Oreshnik แต่อันที่จริงเรายังมีมากกว่านั้น เพียงแต่ผมไม่มีอำนาจพอที่จะระบุได้ว่าสิ่งที่เรามีคืออะไร?” อันนี้นี่เอง...ที่ยังไงๆ คงต้อง“ปูพรมแดง” ต้อนรับ ในระหว่างการพบปะเจรจาอย่างมิอาจหลีกเลี่ยงได้เลย...
แถมไม่ใช่แต่เฉพาะการมีอาวุธนิวเคลียร์เอาไว้ในมือไม่ว่าจะกี่ร้อย กี่พันลูก แต่เพียงเท่านั้น...การผนึกกำลัง รวมหัว รวมตัว อย่างแน่นเหนียว หนึบหนับ ระหว่างชาตินิวเคลียร์อย่างรัสเซีย กับบรรดาประเทศซีกโลกใต้ทั้งหลาย ไม่ว่าพันธมิตรที่ไร้ขีดจำกัดอย่างคุณพี่จีน คุณปู่อินตะระเดีย พี่เบิ้มแห่งละตินอเมริกาอย่างบราซิล ไปจนถึงแอฟริกาใต้ที่ต่างก็พร้อมยืนหยัด ยืนยัน ถึงความเป็นเอกภาพของกลุ่ม “BRICS” ในการค้า-ขาย แลกเปลี่ยนสัมพันธภาพกับรัสเซีย โดยไม่ยอมอ่อนข้อให้กับการข่มขู่คุกคามใดๆ ก็ยิ่งทำให้ผู้ที่ต้องการให้โลกใบนี้เป็น “โลกขั้วอำนาจเดียว” อย่างคุณพ่ออเมริกา ย่อมมิอาจปฏิเสธได้ง่ายๆ ว่า “โลกหลายขั้วอำนาจ” ได้ปรากฏรูป ปรากฏร่าง ปรากฏเป็นตัวเป็นตนขึ้นมาแล้วอย่างเป็นจริง-เป็นจัง เป็น “realpolitik” ไม่ใช่เป็นแค่การเพ้อๆ-ฝันๆ ตามอุดมการณ์-อุดมคติ ตามความพยายามที่จะหาแสง หิวแสง ไปวันๆ...
และอันนี้นี่เอง...ที่อาจทำให้ “ทรัมป์บ้า” ไม่เพียงแต่ต้อง “ปูพรมแดง” ต้อนรับผู้นำรัสเซียเพื่อหวังแยกขั้ว แยกสลาย บรรดาพันธมิตรแห่งโลกใต้หรือไม่? เพียงใด? แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังต้องหันไป “ยืดเวลา” ให้กับการหวังที่จะใช้ “สากกะเบือด้ามสุดท้าย”หรือใช้ “มาตรการทางภาษี” เล่นงานจีนและอินเดีย ดังที่ตัวเองปรารถนาและต้องการแบบที่ไม่ต้องเสียเวลาคิดหน้า-คิดหลัง อย่างที่ได้กระทำกับ “รัฐบริวาร” อย่างชาติยุโรปได้เลยแม้แต่น้อย…