หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
คดีที่สมาชิกวุฒิสภาจำนวน 36 คน เข้าชื่อยื่นคำร้องต่อประธานวุฒิสภาเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ขาดคุณสมบัติรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 160 (4) และ (5) จนเป็นเหตุให้ความเป็นรัฐมนตรีสิ้นสุดลงเฉพาะตัวตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) มีจุดเริ่มต้นจากการปรากฏคลิปเสียงการสนทนาระหว่างผู้ถูกร้องกับฮุน เซน ประธานวุฒิสภากัมพูชา อดีตนายกรัฐมนตรีและบุคคลที่มีอำนาจโดยพฤตินัยในกัมพูชา และศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้รับไว้พิจารณา 9-0 และ 7-2 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ โดย 2 เสียงระบุว่าให้หยุดจะเฉพาะด้านความมั่นคง ต่างประเทศ และการคลัง
กรณีนี้ทักษิณพยายามอธิบายให้เห็นว่า แพทองธารไม่ได้มีเจตนา โดยทักษิณเล่าว่าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ฝ่ายกัมพูชา (ผ่านนายฮวดซึ่งเป็นล่ามแปลภาษาไทย-กัมพูชา) ติดต่อขอให้แพทองธารสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุนเซนเพื่อหารือเกี่ยวกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะประเด็นพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต
เขากล่าวว่าแพทองธารเตรียมตัวอย่างเป็นทางการโดยเดินทางไปยังโรงแรมโรสวูดในกรุงเทพฯ พร้อมคณะผู้ติดตาม ซึ่งประกอบด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) นายมาริษ เสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทักษิณระบุว่าแพทองธารและคณะรอสายจากฮุนเซนนานเกือบ 3 ชั่วโมงแต่ไม่มีการติดต่อผ่านช่องทางราชการ โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า “ฮุนเซนหลับอยู่” และส่งรูปถ่ายมาให้ดู
ทักษิณเล่าว่าหลังจากรอ 3 ชั่วโมงโดยไม่มีการติดต่อเขาบอกให้แพทองธารและคณะกลับได้เพราะเห็นว่าไม่มีการเจรจาเกิดขึ้น ต่อมาหลังจากแพทองธารกลับถึงบ้านฮุนเซนโทรศัพท์เข้าสู่เบอร์ส่วนตัวของแพทองธารโดยผ่านนายฮวดเป็นผู้ต่อสายการสนทนานี้เกิดขึ้นโดยไม่มีคณะผู้ติดตามอยู่ด้วย
เขาตั้งข้อสังเกตว่า “ฝ่ายกัมพูชาน่าจะตั้งใจบันทึกเสียงตั้งแต่แรก” และอาจเลือกโทร.เข้ามาในช่วงที่แพทองธารอยู่คนเดียวเพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการ นี่น่าจะเป็นแนวทางการต่อสู้อย่างหนึ่งที่ฝ่ายกฎหมายของแพทองธารเตรียมเอาไว้ เพื่อจะบอกว่า แพทองธารมีการเตรียมการที่จะคุยกับฮุนเซนในลักษณะของโปรโตคอล
และเท่าที่ได้ฟังนายแพทย์พรหมินทร์ พูดดูเหมือนเขายังจะสู้ทำนองว่า มีการโทรศัพท์หารือกับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนทางการ เพื่อหาวิธีการที่จะขจัดความรุนแรง และความสูญเสียที่เกิดจากการปะทะให้ผ่านพ้นไปได้ในที่สุด ซึ่งสามารถยืดระยะเวลาได้ช่วงหนึ่ง และในที่สุดก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ อธิปไตยของเราถูกละเมิด
ดูเหมือนว่า สาระสำคัญที่หมอพรหมินทร์อ้างคือ “มีการโทรศัพท์หารือกับผู้ที่ไม่ได้เป็นผู้แทนทางการ” เพื่อจะบอกว่า ฮุน เซนไม่มีอำนาจบริหาร แต่ถ้าเรามองจากเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็ชัดเจนว่า ฮุน เซนยังคงมีอำนาจอย่างเต็มเปี่ยม
หลังจากศาลอนุญาตให้แพทองธารยื่นคำร้องวันสุดท้าย 4 สิงหาคม ก็เป็นไปตามคาดว่าศาลจะไม่ทอดเวลาไปให้เนิ่นนาน โดยนัดฟังคำวินิจฉัยในวันศุกร์ที่ 29 ส.ค.ดังนั้นรออีกไม่กี่วันเราก็จะทราบแล้วว่าชะตากรรมของแพทองธารจะเป็นอย่างไร
ส่วนเนื้อหาในคลิปมีถ้อยคำสำคัญที่สร้างความไม่พอใจให้กับสังคมมากของแพทองธาร คือ “แม่ทัพเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา” และ “อังเคิลต้องการอะไรจะจัดการให้” ซึ่งแพทองธารยอมรับต่อสาธารณะว่าเป็นเสียงของตนเองจริง ทำให้ข้อเท็จจริงในประเด็นว่าเป็นเสียงใครหมดข้อโต้แย้ง และศาลสามารถเข้าสู่การพิจารณาเนื้อหาและเจตนาของคำพูดได้โดยตรง
การคาดการณ์แนวทางวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในกรณีนี้ มีความเป็นไปได้สูงที่เสียงข้างมากจะเห็นว่าผู้ถูกร้องมีความผิด โดยศาลจะใช้แนวตีความตามหลักการสำคัญหลายประการคือ หลักการธำรงไว้ซึ่งอธิปไตยของรัฐ โดยเห็นว่าการที่นายกรัฐมนตรีกล่าวถ้อยคำว่า “อังเคิลต้องการอะไรจะจัดการให้” ต่อบุคคลที่มีอำนาจโดยพฤตินัยในต่างประเทศ แม้ไม่มีตำแหน่งในฝ่ายบริหาร แต่เป็นที่รับรู้กันว่าเป็นผู้นำทางการเมืองและมีบทบาทในนโยบายระหว่างประเทศ ย่อมเป็นการแสดงท่าทีที่อาจเปิดช่องให้ต่างชาติเข้ามามีบทบาทหรืออิทธิพลต่อกิจการภายในของรัฐไทย และขัดต่อหลักการไม่ยอมให้ต่างชาติแทรกแซง
อีกทั้ง หลักคุณธรรมของตำแหน่ง กำหนดว่าผู้ดำรงตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหารต้องรักษาภาพลักษณ์และความไว้วางใจต่อกลไกของรัฐในทุกโอกาส การกล่าวว่า “แม่ทัพเป็นฝ่ายตรงข้ามกับเรา” ต่อผู้นำต่างชาติอาจถูกตีความว่าเป็นการลดทอนความน่าเชื่อถือของสถาบันด้านความมั่นคงและทำให้เกิดภาพความแตกแยกในระดับโครงสร้างของรัฐ ซึ่งขัดต่อความซื่อสัตย์สุจริต
ศาลอาจอ้างหลักการว่าการกระทำที่ขัดต่อรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องรอให้เกิดความเสียหายเป็นรูปธรรม เพียงแค่พฤติการณ์มีลักษณะร้ายแรงเพียงพอ ก็สามารถถือว่าขาดคุณสมบัติได้ทันที เช่นเดียวกับที่เคยปรากฏในคำวินิจฉัยคดีหุ้นสื่อของนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และคดีแต่งตั้งรัฐมนตรีที่มีลักษณะต้องห้ามในรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน โดยเน้นว่าผู้ถูกร้องมีหน้าที่รักษาอธิปไตยและเกียรติภูมิของรัฐทุกครั้งที่แสดงออกในที่สาธารณะหรือในการสื่อสารกับต่างประเทศ แม้จะเป็นการสนทนาไม่เป็นทางการก็ตาม
จึงเป็นไปได้ที่ศาลจะพิจารณาว่า พฤติการณ์ของผู้ถูกร้อง ตามที่ปรากฏจากหลักฐานคลิปเสียง มีเนื้อหาที่สื่อถึงความใกล้ชิดกับผู้นำต่างชาติในลักษณะที่อาจทำให้สาธารณชนเกิดความสงสัยว่า อาจมีการยินยอมให้ต่างชาติแทรกแซงกิจการภายในของประเทศโดยมิชอบ หรืออย่างน้อยที่สุด เป็นการวางตนในลักษณะที่อาจทำให้เกิดความเสื่อมเสียต่อศักดิ์ศรีแห่งตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และระบบการเมืองของประเทศไทยโดยรวม
การดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต้องมีคุณสมบัติตาม มาตรา 160 (4) กล่าวคือ ต้องเป็นผู้มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และตาม มาตรา 160 (5) กล่าวคือ ต้องไม่กระทำการใดอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่เคารพต่อหลักการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข
โดยศาลเห็นว่า แม้การสนทนาดังกล่าวจะมิใช่การลงนามในข้อตกลงที่มีผลผูกพันทางกฎหมายระหว่างประเทศ แต่พฤติกรรมและถ้อยคำที่ใช้ของผู้ถูกร้อง ในการสื่อสารกับผู้นำต่างประเทศในลักษณะที่อาจเป็นการขอความช่วยเหลือ แทรกแซง หรือร่วมมือทางการเมืองที่เกินขอบเขตอำนาจทางการทูตตามแบบแผนของรัฐ ถือเป็นการ ไม่สำรวมในพฤติกรรมทางการเมือง และ บกพร่องต่อจริยธรรมอย่างร้ายแรง
หากเป็นเช่นนั้น คำวินิจฉัยของศาลในกรณีนี้ อาจสรุปได้ในทำนองว่า “พฤติการณ์และถ้อยคำของผู้ถูกร้องมีลักษณะฝ่าฝืนต่อหลักอธิปไตยและจริยธรรมของรัฐมนตรี อันเป็นการขาดคุณสมบัติตามมาตรา 160 (4) และ (5) จึงสิ้นสุดความเป็นรัฐมนตรีเฉพาะตัวตามมาตรา 170 วรรคหนึ่ง (4) นับแต่วันที่ศาลรับคำร้อง”
ถามว่าถ้ามติไม่เป็นเอกฉันท์จะมีความเห็นของตุลาการเสียงข้างน้อยอย่างไร เพราะถ้าเราสังเกตในระยะหลังคดีสำคัญๆมีตุลาการบางคนกลายเป็นเสียงข้างน้อยเกือบทุกเรื่อง ผมก็อยากจะคาดเดาในมุมมองของกฎหมายว่าเสียงข้างน้อยจะมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
ถ้าให้คาดเดาตุลาการเสียงข้างน้อยอาจจะมีความเห็นในทำนองว่า แม้จะไม่ปฏิเสธข้อเท็จจริงว่าเป็นเสียงของผู้ถูกร้องจริง แต่ตามทฤษฎีการตีความโดยเคร่งครัดในกรณีที่จำกัดสิทธิบุคคล และหลักสัดส่วนแห่งการลงโทษ อาจเห็นว่าถ้อยคำในคลิปเป็นเพียงการสนทนาไม่เป็นทางการ ไม่มีผลในทางนิตินัยหรือการบริหารประเทศ และไม่ปรากฏว่ามีการกระทำใดต่อเนื่องเพื่อสนองตอบต่อคำพูดดังกล่าว จึงไม่เพียงพอที่จะถือว่าเป็นการขาดคุณสมบัติในทางรัฐธรรมนูญ เสียงข้างน้อยอาจยกเหตุว่า การตัดสิทธิบุคคลจากตำแหน่งสูงสุดฝ่ายบริหารควรกระทำต่อเมื่อมีข้อเท็จจริงและเจตนาที่ชัดเจนว่าฝ่าฝืนบทบัญญัติรัฐธรรมนูญโดยตรง และในกรณีนี้ยังมีข้อสงสัยสมควรเกี่ยวกับความหมายและบริบทของคำพูด
หรือบอกว่า คลิปเสียงที่ปรากฏ มิได้เป็นเอกสารทางราชการ หรือการดำเนินการภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย เป็นการสนทนาในลักษณะ “ไม่เป็นทางการ” ซึ่งแม้สมควรระมัดระวัง แต่ ไม่อาจตีความให้เป็นการกระทำที่ขัดต่อหลักการปกครองหรือจริยธรรมขั้นร้ายแรงได้ในทางกฎหมาย ยิ่งไปกว่านั้น คลิปเสียงมิได้แสดงชัดเจนถึงการให้สัญญาใด ๆ หรือการยอมให้ต่างชาติแทรกแซงกิจการภายในของไทย
ส่วนตัวผมเชื่อว่า แพทองธารน่าจะไม่รอด ส่วนจะถูกหรือผิดการวินิจฉัยของศาลจะเป็นไปอย่างที่คาดการณ์ไว้หรือไม่นั้นก็ต้องรอฟังในวันนั้น แต่เชื่อว่าถ้าผิดทางออกของทักษิณก็คือการผลักตัวเลือกที่สามของพรรคคือชัยเกษม นิติสิริ ขึ้นมา ยากที่จะตกไปถึงลุงตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา องคมนตรี แคนดิเดตของพรรครวมไทยสร้างชาติที่มีคนรักหลงส่งเสียงเชียร์อยู่ตอนนี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan