หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
ฮุน เซน ถือเป็นผู้นำที่ทรงอิทธิพลที่สุดของกัมพูชาในยุคหลังสงครามเย็น และเป็นบุคคลที่มีเส้นทางชีวิตทางการเมืองซับซ้อนและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง ฮุน เซน เกิดเมื่อปี 2495 ในจังหวัดกำปงจาม ประเทศกัมพูชา เขาเติบโตในครอบครัวชาวนา และเข้าร่วมกับขบวนการคอมมิวนิสต์ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่นในช่วงต้นทศวรรษ 1970 โดยเริ่มต้นจากการเป็นนักรบของขบวนการเขมรแดง ซึ่งขณะนั้นกำลังต่อสู้กับรัฐบาลที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐอเมริกา
ในช่วงปี 2513 ฮุน เซน สังกัดอยู่ในกองกำลังของเขมรแดงที่ก่อสงครามปฏิวัติเพื่อโค่นล้มรัฐบาลพลเรือนของลอน นอล และต่อมาในปี 2518 เขมรแดงสามารถยึดครองกรุงพนมเปญได้สำเร็จ ภายใต้การนำของ พล พต รัฐบาลใหม่ภายใต้ชื่อ “กัมพูชาประชาธิปไตย” ได้ดำเนินนโยบายสุดโต่งในการสร้างสังคมนิยมแบบบริสุทธิ์ ซึ่งรวมถึงการกำจัดศัตรูชนชั้น การล้างเมือง การใช้แรงงานบังคับ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์อย่างเป็นระบบ ส่งผลให้ประชาชนเสียชีวิตมากกว่า 1.7 ล้านคนภายในเวลาเพียงไม่กี่ปี
แม้ว่าฮุน เซน จะเคยมีบทบาทในกองทัพของเขมรแดงและมีตำแหน่งเป็นผู้บัญชาการระดับกลาง แต่เมื่อเวลาผ่านไป เขาเริ่มไม่เห็นด้วยกับแนวทางของผู้นำระดับสูงที่โหดเหี้ยมและไม่ไว้ใจใคร แม้แต่ในหมู่พรรคพวกกันเอง ในปี 2520 เมื่อเขมรแดงเริ่มดำเนินการ “กวาดล้างภายใน” จับกุมและสังหารเจ้าหน้าที่ที่ถูกสงสัยว่าเป็นสายลับหรือไม่จงรักภักดี ฮุน เซน ตระหนักว่าตนเองอาจตกเป็นเป้าหมายได้เช่นกัน เขาจึงหลบหนีออกจากประเทศและลี้ภัยเข้าไปยังเวียดนาม พร้อมกับสมาชิกเขมรแดงอีกจำนวนหนึ่ง
ในเวียดนาม ฮุน เซน ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลฮานอยซึ่งกำลังมีความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับพล พต และเขมรแดงผู้นำเดิม เวียดนามมองเห็นโอกาสที่จะจัดตั้งกลุ่มฝ่ายตรงข้ามกับรัฐบาลเขมรแดงจากผู้แปรพักตร์ และฮุน เซน ก็กลายเป็นกำลังหลักของแนวร่วมดังกล่าว เขาเข้าร่วมการจัดตั้ง “แนวร่วมกู้ชาติกัมพูชา” (KUFNS) ซึ่งเป็นองค์กรทางการเมืองและทหารที่เวียดนามให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่
ในปลายปี 2521 กองทัพเวียดนามได้เปิดฉากรุกรานกัมพูชาและสามารถโค่นล้มรัฐบาลเขมรแดงได้ภายในเวลาไม่กี่สัปดาห์ ฮุน เซน และแนวร่วมที่เขานำ ได้รับการแต่งตั้งจากเวียดนามให้เข้าบริหารประเทศภายใต้ชื่อ “สาธารณรัฐประชาชนกัมพูชา” ซึ่งเป็นรัฐในอารักขาของเวียดนาม ฮุน เซน ในวัยเพียง 33 ปี ถูกแต่งตั้งให้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ และภายหลังในปี 2528 ได้ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี แทนที่ เจิง สี ที่ลาออก
แม้จะเผชิญการต่อต้านจากประชาคมระหว่างประเทศซึ่งยังคงรับรองเขมรแดงในฐานะรัฐบาลที่ชอบธรรมในสหประชาชาติ แต่ฮุน เซน ยังคงสามารถประคับประคองอำนาจเอาไว้ได้ ผ่านการควบคุมรัฐ กลไกกองกำลัง และการสนับสนุนจากเวียดนามซึ่งตรึงทหารไว้อย่างต่อเนื่องในกัมพูชาจนถึงปี 2532 หลังจากนั้น เขาเริ่มปรับตัวเข้าสู่เวทีการเมืองระหว่างประเทศ เปิดเจรจากับฝ่ายตรงข้าม และเข้าร่วมกระบวนการสันติภาพนำโดยสหประชาชาติ
ในปี 2534 การลงนามในข้อตกลงปารีสได้ปูทางให้เกิดการเลือกตั้งในปี 2536 ภายใต้การดูแลของ UN ซึ่งในครั้งนั้น พรรคฟุนซินเป็ก (FUNCINPEC) ของ เจ้าชายนโรดม รณฤทธิ์ ชนะเลือกตั้ง แต่ภายใต้เงื่อนไขทางการเมืองที่ซับซ้อน ฮุน เซน กลับสามารถเจรจาเพื่อแบ่งอำนาจ และขึ้นเป็นรองนายกรัฐมนตรีร่วมกับเจ้าชาย และไม่นานหลังจากนั้นก็สามารถรวบอำนาจกลับคืนมาอย่างแนบเนียน
หลังปี 2540 ฮุน เซน ใช้กำลังทางทหารโค่นล้มรัฐบาลร่วมและยึดอำนาจอย่างเด็ดขาด ก่อนจะจัดการเลือกตั้งใหม่ภายใต้การควบคุมของตนเอง และก่อตั้ง พรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) ในรูปแบบที่เป็นพรรครัฐโดยพฤตินัย นับจากนั้นเป็นต้นมา ฮุน เซน ครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างต่อเนื่องโดยไม่เคยพ่ายแพ้ในการเลือกตั้งใดๆ แม้จะมีแรงกดดันจากฝ่ายค้านและประชาคมโลกเป็นระยะ เขายังคงสามารถรักษาอำนาจไว้ได้ผ่านกลไกรัฐ การควบคุมกองทัพ การควบคุมสื่อ และการสั่งปิดปากฝ่ายตรงข้าม
ตลอดหลายทศวรรษที่ผ่านมา การเมืองกัมพูชาได้พัฒนาไปในทิศทางที่ห่างไกลจากประชาธิปไตย แม้จะยังคงมีการเลือกตั้งเป็นระยะ แต่กระบวนการทางการเมืองทั้งหมดกลับถูกผูกขาดโดยพรรค CPP ซึ่งอยู่ภายใต้การนำของฮุน เซน ผู้นำผู้ครองอำนาจยาวนานที่สุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และในปัจจุบันได้ถ่ายโอนอำนาจทางการเมืองอย่างเป็นทางการสู่บุตรชาย ฮุน มาเนต อย่างไร้รอยต่อ ภายใต้ระบบการเมืองที่ไม่มีคู่แข่ง ไม่มีทางเลือก และไม่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง
แม้จะมีพรรคการเมืองมากกว่าสิบพรรคในระบบ แต่ในทางปฏิบัติ พรรค CPP คือพรรคเดียวที่มีอำนาจอย่างแท้จริง พรรคฝ่ายค้านสำคัญที่เคยมีอิทธิพล เช่น พรรคกู้ชาติกัมพูชา (Cambodia National Rescue Party - CNRP) ถูกศาลสั่งยุบในปี 2560 ภายใต้ข้อกล่าวหาว่าพยายามโค่นล้มรัฐบาล ขณะที่แกนนำอย่าง สม รังสี ต้องลี้ภัยไปยังฝรั่งเศส และ เกิม สุขา ถูกควบคุมตัวและตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต ส่วนพรรคแสงเทียน (Candlelight Party) ซึ่งสืบทอดแนวทางของ CNRP ก็ถูกปฏิเสธไม่ให้ลงสมัครรับเลือกตั้งในปี 2566 ด้วยเหตุผลทางเทคนิคเรื่องเอกสารการจดทะเบียน
ผลการเลือกตั้งทั่วไปปี 2566 จึงไม่มีพรรคฝ่ายค้านที่แท้จริง พรรค CPP กวาดที่นั่ง 120 จาก 125 ที่นั่ง ส่วนอีก 5 ที่นั่งตกเป็นของพรรคฟุนซินเป็ก (FUNCINPEC) ซึ่งแม้ในอดีตเคยเป็นคู่แข่ง แต่ปัจจุบันกลับกลายเป็นพันธมิตรอ่อนแรงทางการเมือง พรรคการเมืองอื่นๆ ที่เหลืออยู่ เช่น Khmer Will Party หรือ Grassroots Democratic Party ก็ไม่มีอิทธิพลทางนโยบายและไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชนในฐานะฝ่ายค้านจริงจัง
สิ่งที่ทำให้ CPP สามารถครองอำนาจแบบเบ็ดเสร็จได้มาอย่างยาวนานนั้น มาจากการผสมผสานอย่างลงตัวระหว่างการควบคุมเชิงโครงสร้าง การใช้ความรุนแรงเชิงรัฐ และการครอบครองสื่อแบบเบ็ดเสร็จ ฮุน เซน ได้สร้างเครือข่ายอำนาจผ่านการแต่งตั้งข้าราชการ ทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ระดับท้องถิ่นที่มีความจงรักภักดีต่อพรรค รัฐบาลใช้โครงการพัฒนาชุมชน แจกจ่ายทรัพยากร และสร้างระบบอุปถัมภ์เพื่อควบคุมชาวบ้านโดยเฉพาะในชนบท ส่วนทุนทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะกลุ่มทุนจีน ได้รับสัมปทานและผลประโยชน์จำนวนมาก แลกกับความร่วมมือทางการเมือง ซึ่งทำให้พรรค CPP มีฐานเสียงแน่นแฟ้นในหมู่ผู้มีผลประโยชน์ร่วมและชนชั้นล่างที่พึ่งพารัฐ
ในด้านการจัดการกับฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง รัฐบาลใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือ (lawfare) อย่างแยบยล โดยออกกฎหมายที่เปิดช่องให้จับกุม ควบคุม หรือตัดสิทธิ์ทางการเมืองของผู้คัดค้านได้ง่ายดาย นอกจากการดำเนินคดีกับแกนนำฝ่ายค้าน การเลือกตั้งในระดับท้องถิ่นยังมีรายงานการข่มขู่ผู้สมัครฝ่ายค้าน การใช้เจ้าหน้าที่รัฐเพื่อกดดัน และการตัดสิทธิ์ผู้สมัครในนาทีสุดท้าย ขณะเดียวกัน ประชาชนทั่วไปที่เคลื่อนไหวทางการเมือง เช่น นักศึกษา นักสิ่งแวดล้อม หรือกลุ่มแรงงาน ก็ถูกคุกคาม ปิดกั้น หรือลงโทษอย่างหนัก การจับกุมและคุมขังนักกิจกรรมรุ่นใหม่จำนวนมากจึงทำให้ประชาชนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะนิ่งเงียบ หลีกเลี่ยงการแสดงความเห็นในที่สาธารณะ
สิ่งที่ตอกย้ำความไร้ทางเลือกของระบบการเมืองกัมพูชาคือการควบคุมสื่ออย่างสมบูรณ์ รัฐบาลควบคุมโทรทัศน์ หนังสือพิมพ์ และสถานีวิทยุแทบทั้งหมด ขณะที่สื่ออิสระ เช่น Cambodia Daily และ Voice of Democracy ก็ถูกสั่งปิดหรือเพิกถอนใบอนุญาต องค์กรกำกับดูแลสื่อกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปราบปรามสื่อที่วิจารณ์รัฐบาล ขณะเดียวกัน รัฐยังสอดแนมและควบคุมโซเชียลมีเดีย โดยบริษัทโทรคมนาคมได้รับคำสั่งให้บล็อกหรือปิดกั้นเนื้อหาที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐ ด้วยเหตุนี้ ประชาชนจำนวนมาก โดยเฉพาะในชนบท จึงรับรู้ข้อมูลจากรัฐฝ่ายเดียว และขาดโอกาสเข้าถึงมุมมองที่แตกต่าง
นอกจากนี้ ฮุน เซน ยังควบคุม “การตีความประวัติศาสตร์” อย่างชาญฉลาด เขาวางตำแหน่งของตนเองในฐานะผู้นำผู้ปลดปล่อยที่นำพากัมพูชาผ่านพ้นยุคเขมรแดง ซึ่งสร้างความชอบธรรมทางจิตวิญญาณให้แก่การปกครองของเขา และทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งเกรงกลัวต่อการเปลี่ยนแปลงที่อาจนำไปสู่ความวุ่นวายซ้ำรอยอดีต ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ประชาชนโดยเฉพาะรุ่นผู้ใหญ่จึงยังคงยอมรับและเชื่อมั่นในระบบเดิม
ฐานเสียงของพรรค CPP ยังคงแน่นแฟ้นในพื้นที่ชนบท ผู้มีรายได้น้อย และข้าราชการระดับล่างซึ่งพึ่งพิงระบบอุปถัมภ์ ส่วนกลุ่มคนรุ่นใหม่และประชาชนในเมือง โดยเฉพาะในกรุงพนมเปญ เริ่มแสดงความไม่พอใจต่อรัฐบาล ผ่านช่องทางออนไลน์และการเคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิเสรีภาพ สิ่งแวดล้อม และคอร์รัปชัน อย่างไรก็ตาม เสียงเหล่านี้ยังถูกจำกัด ไม่สามารถแปรเปลี่ยนเป็นพลังทางการเมืองได้ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ถูกควบคุมอย่างเข้มข้น
โอกาสที่พรรค CPP จะถูกโค่นล้มในระยะสั้นจึงแทบจะเป็นไปไม่ได้ ตราบใดที่ฝ่ายค้านยังถูกกวาดล้าง กลไกรัฐยังอยู่ในมือพรรค และประชาชนยังไม่มีพื้นที่ในการแสดงออกอย่างเสรี ทว่าหากเกิดวิกฤติเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ความขัดแย้งภายในกลุ่มชนชั้นนำ หรือแรงกดดันจากต่างประเทศมากขึ้น รอยร้าวในระบอบอำนาจก็อาจเริ่มปรากฏ และอาจนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิดในอนาคต
จนถึงปัจจุบันกัมพูชายังคงดำเนินไปในกรอบของระบบการเมืองที่จำกัดทางเลือก จำกัดเสรีภาพ และจำกัดความหวัง พรรคการเมืองที่แท้จริงถูกทำลาย สื่อถูกปิดปาก และประชาชนจำนวนมากยังคงถูกควบคุมผ่านทั้งความกลัวและการพึ่งพิง โครงสร้างอำนาจที่ฮุน เซน สร้างไว้จึงไม่ใช่เพียงระบบการเมือง แต่เป็นเครือข่ายที่แผ่ซึมลึกไปในทุกชั้นของสังคม และยังไม่มีแนวโน้มจะถูกท้าทายได้อย่างแท้จริงในเวลาอันใกล้นี้
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan