xs
xsm
sm
md
lg

สื่อกัมพูชาใต้อุ้งตีนของฮุนเซน

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: สุรวิชช์ วีรวรรณ



เมื่อไม่กี่วันก่อนสมาคมผู้สื่อข่าวกัมพูชา (Club of Cambodian Journalists: CCJ) ได้ออกแถลงการณ์กล่าวหาว่า สื่อไทยบางสื่อเผยแพร่ข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับสถานการณ์ความขัดแย้งตามแนวชายแดนกัมพูชา-ไทย โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับข้อตกลงหยุดยิงซึ่งทั้งสองฝ่ายได้บรรลุเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2568 ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย

โดยกล่าวหาว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลเท็จอย่างต่อเนื่อง การรายงานลักษณะเช่นนี้ไม่เพียงแสดงถึงความขาดแคลนจรรยาบรรณวิชาชีพสื่อและเรียกร้องให้สื่อไทยดังกล่าวปฏิบัติตามมาตรฐานวิชาชีพด้านสื่อสารมวลชนอย่างเคร่งครัด โดยตรวจสอบแหล่งข้อมูลอย่างรอบคอบและรายงานอย่างมีความรับผิดชอบ

และต่อมาสมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยสมาคมผู้ผลิตข่าวออนไลน์ และสหภาพแรงงานกลางสื่อมวลชนไทย ออกแถลงการณ์ร่วมเรียกร้องสมาคมนักข่าวกัมพูชาตรวจสอบการทำหน้าที่ของสื่อมวลชนในประเทศอย่างจริงจังเพื่อจัดการปัญหาข่าวปลอมและข่าวบิดเบือน

โดยยืนยันว่าสื่อมวลชนไทยมีระบบการกำกับดูแลกันเองทางด้านจริยธรรมที่เข้มแข็งยึดมั่นและเคารพในสิทธิเสรีภาพของประชาชนและสื่อมวลชนอย่างเต็มที่ พร้อมยืนยันเจตนารมณ์ในการรายงานข่าวตามหลักจริยธรรมความเป็นกลางความครบถ้วนรอบด้านไม่ยุยงให้เกิดความเกลียดชังระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ และต้องการให้เกิดสันติภาพในพื้นที่ชายแดนอย่างแท้จริงและยั่งยืน

และเรียกร้องให้ CCJ หยุดแทรกแซงกิจการภายในของสื่อมวลชนในประเทศไทย และทำหน้าที่ตรวจสอบจริยธรรมในการรายงานข่าวของสื่อกัมพูชาอย่างเข้มแข็งและปราศจากการบงการครอบงำ ขอให้มุ่งมั่นในการจัดการปัญหาข่าวปลอมและข้อมูลบิดเบือนที่มีต้นทางแพร่กระจายในโลกออนไลน์จากกัมพูชาอย่างเป็นรูปธรรม เนื่องจากตรวจพบข้อมูลบิดเบือนจำนวนมากอาทิ ข้อกล่าวอ้างว่าเครื่องบิน F-16 ของไทยทิ้งสารเคมีลงในกัมพูชา, การกล่าวหาว่าไทยใช้เครื่องบิน F-16 ทิ้งระเบิด MK ซึ่งมีอำนาจทำลายล้างสูงใส่บ้านเรือนประชาชนชาวกัมพูชา, การปล่อยข่าวว่าพล.ท. บุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 เสียชีวิต รวมถึงข่าวบิดเบือนอื่นๆ อีกหลายประการซึ่งล้วนแต่ทำให้เกิดความเข้าใจผิด

เนื่องจากการกระทำของ CCJ ดังกล่าวมีลักษณะหมิ่นเหม่ต่อการเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลกัมพูชามากกว่าการทำหน้าที่ขององค์กรวิชาชีพที่มีความเป็นอิสระ ดังนั้น สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย ซึ่งมีบันทึกความเข้าใจร่วมกับ CCJ โดยมุ่งมั่นปรารถนาที่จะใช้กลไกความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างสื่อมวลชนในการเสริมสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างประชาชนทั้งสองประเทศ จึงจำเป็นต้องระงับความสัมพันธ์กับCCJ เป็นการชั่วคราว จนกว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ภาวะปกติ

ในกัมพูชาระบบสื่อสารมวลชนมีลักษณะผูกขาดอย่างสูงและถูกควบคุมโดยรัฐบาลและกลุ่มทุนที่ใกล้ชิดกับตระกูล “ฮุน”เป็นหลัก ปัจจุบันมีผู้ประกอบธุรกิจสื่อทั้งในรูปแบบโทรทัศน์วิทยุ หนังสือพิมพ์ เว็บไซต์ข่าว และโซเชียลมีเดียรวมกันราว 600–800 ราย แต่ในจำนวนนี้มีสื่อที่มีอิทธิพลจริงและสามารถเข้าถึงมวลชนในวงกว้างเพียงไม่กี่สิบแห่ง ซึ่งส่วนใหญ่ล้วนมีเจ้าของเป็นนักธุรกิจที่มีสายสัมพันธ์กับรัฐบาลหรือไม่ก็สมาชิกตระกูลของฮุนเซนเอง เช่น Heng Media Group, Bayon TV, CTN (Cambodia Television Network), CNC (Cambodian News Channel), Fresh News, Rasmei Kampuchea Daily, Kampuchea Thmey Daily และ BTV (Bayon Television) ซึ่งถือเป็นสื่อกระแสหลักที่มีบทบาทอย่างมากในการชี้นำความคิดสาธารณะ

ตัวอย่างเช่น Bayon TV ก่อตั้งโดยบุตรสาวของฮุนเซนคือฮุนมานี (Hun Mana) ซึ่งปัจจุบันควบคุมทั้งสถานีโทรทัศน์และสื่อสิ่งพิมพ์ในเครือหลายแห่งส่วน Fresh News แม้จะเริ่มต้นจากการเป็นเว็บไซต์ข่าวออนไลน์แต่ปัจจุบันถือเป็นกระบอกเสียงหลักของรัฐบาล โดยมักเผยแพร่ข่าวจากมุมมองของฝ่ายรัฐเท่านั้นและละเว้นการวิพากษ์วิจารณ์โดยสิ้นเชิง

หลังจากการปราบปรามสื่ออิสระครั้งใหญ่ในปี 2560 ซึ่งนำไปสู่การปิดตัวของThe Cambodia Daily และการขายกิจการของ The Phnom Penh Post ให้กับ Sivakumar Ganapthy นักธุรกิจมาเลเซียที่มีความใกล้ชิดกับรัฐบาลทำให้เสรีภาพของสื่อในกัมพูชาถูกลดทอนอย่างรุนแรงสื่อที่เหลืออยู่จำนวนมากต้องปรับตัวเข้าสู่โหมด “เซ็นเซอร์ตัวเอง” (self-censorship) เพื่อความอยู่รอด

เมื่อไม่กี่วันผมเข้าไปตอบโต้ชี้แจงข้อมูลในเพจกระบอกเสียงของฮุน เซนซึ่งมักปล่อยข่าวเฟกนิวส์อย่าง Kampuchea Thmey Daily ไม่นานผมก็ถูกบล็อกไม่สามารถเข้าถึงเพจนี้ได้

แม้จะยังมีสื่อบางแห่งที่พยายามคงความเป็นกลางเช่นVoice of Democracy (VOD) แต่ในปี 2566 VOD ก็ถูกสั่งปิดโดยคำสั่งของฮุนเซนหลังจากเผยแพร่ข่าวที่วิจารณ์รัฐบาลเรื่องการอนุมัติเงินช่วยเหลือภัยพิบัติโดยลูกชายของนายกรัฐมนตรีซึ่งไม่มีอำนาจตามกฎหมาย การปิดสื่อนี้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อวงการสื่อทั้งในประเทศและระดับสากล อีกทั้งยังมีรายงานว่าเจ้าหน้าที่ได้เรียกบรรณาธิการและนักข่าวของ VOD ไปสอบสวนและมีการยึดอุปกรณ์บางส่วน

การข่มขู่จากเจ้าหน้าที่รัฐเป็นอีกกลไกหนึ่งที่ถูกใช้บ่อยครั้งตัวอย่างเช่นในปี 2560 นักข่าวจาก Radio Free Asia ที่กลับเข้าประเทศถูกตั้งข้อหายุยงปลุกปั่นหลังเผยแพร่รายงานเกี่ยวกับการเวนคืนที่ดินของประชาชนในเสียมราฐส่วนในปี 2565 มีนักข่าวในจังหวัดไพรแวงที่ถูกรุมทำร้ายหลังรายงานข่าวเรื่องการลักลอบขนไม้ผิดกฎหมาย โดยเชื่อกันว่าผู้ลงมือเป็นคนของผู้มีอำนาจท้องถิ่นนอกจากนี้ยังมีกรณีที่ตำรวจเรียกนักข่าวไป “พูดคุย”อย่างไม่เป็นทางการพร้อมขู่ว่าจะถอนใบอนุญาตหากยังนำเสนอข่าวที่ “ทำลายภาพลักษณ์ของชาติ”

หลังจากที่ฮุน มาเนต ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี2566แทนบิดาของเขาความคาดหวังว่าการเมืองกัมพูชาจะเปิดกว้างขึ้นยังไม่ปรากฏเป็นจริง ระบบสื่อยังคงถูกควบคุมอย่างเข้มข้นและเสียงวิพากษ์วิจารณ์แม้จะเบาบางลงแต่ยังคงนำมาซึ่งความเสี่ยงเช่นในปี 2567 นักข่าวผู้รายงานข่าวเกี่ยวกับการจัดซื้ออาวุธจากจีนโดยไม่เปิดเผยรายละเอียดถูกตั้งข้อหาหมิ่นประมาทและเผยแพร่ข้อมูลเท็จ อีกทั้งยังถูกสั่งห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

วิชาชีพสื่อในกัมพูชายังไม่มั่นคงทั้งในแง่ความปลอดภัยและสถานะทางเศรษฐกิจ ผู้สื่อข่าวจำนวนมากได้รับค่าตอบแทนต่ำและต้องพึ่งพา “ค่าตอบแทนพิเศษ” จากแหล่งข่าวหรือผู้มีอำนาจทำให้การนำเสนอข่าวอาจโน้มเอียงหรือขาดความเที่ยงธรรมโดยโครงสร้างไม่ใช่เพียงด้วยเจตนา

ปัญหาที่สื่อมวลชนในกัมพูชาเผชิญอยู่ทุกวันนี้จึงประกอบด้วยหลายชั้นตั้งแต่การควบคุมจากรัฐ, การข่มขู่จากเจ้าหน้าที่หรือผู้มีอำนาจ, ข้อจำกัดด้านกฎหมายที่คลุมเครือ (เช่นกฎหมายความมั่นคง, Cybercrime Law) และปัญหาเชิงโครงสร้างด้านเศรษฐกิจและจริยธรรมวิชาชีพในสภาวะเช่นนี้การคงอยู่ของสื่อที่เป็นอิสระและกล้าหาญจึงเป็นความท้าทายสูงสุด และอาจกล่าวได้ว่าสื่อในกัมพูชากำลังอยู่ในช่วงวิกฤตที่ต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอดไม่ใช่เพื่อเสรีภาพเท่านั้น หากแต่เพื่อความปลอดภัยของชีวิต

ข้อมูลอีกส่วนที่ควรทราบคือบรรดาบริษัทเทคโนโลยีและโทรคมนาคมที่มีอิทธิพล เช่น Metfone หรือ Smart ซึ่งเป็นช่องทางหลักในการเข้าถึงข่าวสารออนไลน์ก็ล้วนมีความสัมพันธ์กับกลุ่มทุนจีนหรือกลุ่มทุนที่อยู่ภายใต้การควบคุมของรัฐ ทำให้การควบคุมเนื้อหาผ่านโครงข่ายเป็นไปได้ง่ายและมีข่าวว่ามีการ “จำกัดการเข้าถึง” หรือ “ลดการมองเห็น” ของเนื้อหาที่เป็นปฏิปักษ์ต่อรัฐผ่านระบบอินเทอร์เน็ตอีกด้วย

สื่อในกัมพูชาทุกวันนี้มิได้เป็นเพียงเครื่องมือในการสื่อสารข้อมูล แต่เป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญของการธำรงอำนาจของตระกูลฮุน และภายใต้เงื่อนไขนี้ความหวังของเสรีภาพและความจริงจึงอยู่ในเงาของความกลัวและการควบคุมที่เข้มข้นมากกว่าที่เคยเป็นมาในยุคหลังสงครามกลางเมือง
 
ติดตามผู้เขียนได้ที่
https://www.facebook.com/surawich.verawan
 


กำลังโหลดความคิดเห็น