xs
xsm
sm
md
lg

ความมั่งคั่งและอำนาจของฮุน เซน บนความแร้นแค้นของประชาชนกัมพูชา

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ผู้จัดการออนไลน์



หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ

กว่า 40 ปีนับตั้งแต่กัมพูชาเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟูหลังสงครามกลางเมือง รัฐบาลภายใต้การนำของฮุน เซน ซึ่งครองตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่ปี 1985 ได้สร้างโครงสร้างอำนาจแบบเบ็ดเสร็จที่ไม่เพียงยึดกุมกลไกทางการเมืองและทหาร แต่ยังแทรกซึมลึกไปถึงโครงสร้างเศรษฐกิจ และธุรกิจหลักของประเทศ ตระกูลฮุนจึงมิได้เป็นเพียงครอบครัวนักการเมืองธรรมดา แต่คือ “ราชวงศ์การเมือง” ที่ครอบงำกัมพูชาทั้งในทางอำนาจและทุนโดยเบ็ดเสร็จ

ฮุน เซน เริ่มต้นจากนายทหารในยุคสมัยหลังเขมรแดง ก่อนจะไต่เต้าสู่อำนาจภายใต้การหนุนหลังของเวียดนามในช่วงทศวรรษ 1980 เขากลายเป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลที่สุดในประเทศ และใช้เวลากว่าสามทศวรรษในการปูทางให้อาณาจักรของครอบครัวแผ่ขยายครอบคลุมทั้งการเมือง เศรษฐกิจ และสื่อ

กระบวนการรวมศูนย์อำนาจเกิดขึ้นพร้อมกับการวางตำแหน่งให้สมาชิกในครอบครัวครองตำแหน่งสำคัญในหน่วยงานหลักของรัฐ ฮุน มาเนต บุตรชายคนโต ถูกวางตัวเป็นผู้สืบทอดอำนาจโดยตรง ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหาร, รองหัวหน้าพรรคประชาชนกัมพูชา (CPP) และในที่สุดขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีในปี 2023 ในขณะที่ลูกสาวก็อยู่ในธนาคารกลาง ลูกเขยควบคุมกิจการด้านการเงิน พลังงาน และเหมืองแร่ อีกหลายคนในครอบครัวรับตำแหน่งผู้ว่าราชการ ทูต รัฐมนตรี และผู้บัญชาการกองทัพ

ตระกูลฮุนในกัมพูชาไม่ได้เป็นเพียงครอบครัวของนักการเมือง แต่ยังเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิธุรกิจที่มีอิทธิพลครอบงำเศรษฐกิจและทรัพยากรของประเทศ ผ่านการผูกขาด การใช้อำนาจรัฐ และเครือข่ายเครือญาติที่แผ่ขยายในทุกระดับของระบบราชการและภาคเอกชน บทบาทของฮุน เซน ที่ครองอำนาจยาวนานกว่า 38 ปี มิได้จำกัดอยู่เพียงการเมือง แต่ครอบคลุมถึงการกำหนดทิศทางของเศรษฐกิจผ่านการมอบสิทธิพิเศษให้บริษัทที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะธุรกิจของสมาชิกในครอบครัว

หนึ่งในกรณีที่เด่นชัดคือการมอบสัมปทานที่ดินขนาดมหาศาลให้บริษัทของลูกหลานหรือคนใกล้ชิด เช่น WS Mining และ Unimex ที่ได้รับสิทธิขุดแร่ในพื้นที่อนุรักษ์ ขณะที่ประชาชนท้องถิ่นต้องถูกไล่ออกโดยไม่มีค่าชดเชยที่เป็นธรรม ปรากฏการณ์ land grabbing หรือการยึดที่ดินโดยอ้างอำนาจรัฐถูกใช้เป็นเครื่องมือสร้างทุนให้ครอบครัวฮุน ซึ่งมีผลกระทบต่อเกษตรกร ชนกลุ่มน้อย และชุมชนดั้งเดิมอย่างรุนแรง โดยเฉพาะในพื้นที่มณฑลคีรีและรัตนคีรี

Khun Sea Group บริษัทของคุณ สี นักธุรกิจผู้ใกล้ชิดฮุน เซน ได้ผูกขาดธุรกิจนำเข้ายาและอุปกรณ์การแพทย์จากรัฐมานานหลายปีโดยไม่มีการประมูลแข่งขัน นอกจากนี้ยังขยายกิจการไปสู่ธุรกิจก่อสร้าง ทองคำ และอสังหาริมทรัพย์ผ่านความสัมพันธ์ทางเครือญาติระหว่างลูกหลานของคุณสีกับตระกูลฮุน ทำให้โครงสร้างเศรษฐกิจถูกควบคุมในลักษณะ “ครอบครัวเป็นศูนย์กลาง”

การแทรกแซงอำนาจรัฐยังปรากฏชัดในระบบโทรคมนาคม เช่น Cellcard ภายใต้ Royal Group ที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับรัฐบาลฮุน เซน และได้รับสิทธิในโครงการโครงสร้างพื้นฐานจำนวนมาก ขณะเดียวกัน การแต่งตั้งลูกหลานเข้าสู่ตำแหน่งรัฐสำคัญ เช่น ฮุน มาเนต เป็นนายกฯ ลูกสาวบริหารธนาคารแห่งชาติ และลูกเขยดูแลธุรกิจเหมืองและพลังงาน สะท้อนกลยุทธ์สืบทอดอำนาจแบบเบ็ดเสร็จ

ยิ่งไปกว่านั้น กลไกของรัฐ ทั้งศาล ตำรวจ และกองทัพ ถูกนำมาใช้กดดันหรือบีบบังคับประชาชนที่ขัดขืน เช่น กรณี **Boeung Kak Lake** ที่มีการเวนคืนที่ดินโดยอ้างประโยชน์สาธารณะ แต่สุดท้ายกลายเป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของบริษัทที่เชื่อมโยงกับลูกเขยผู้นำ ความอยุติธรรมเหล่านี้สะท้อนโครงสร้างอำนาจที่ไม่เท่าเทียม ซึ่งกัดกร่อนสิทธิของประชาชน และปิดโอกาสการแข่งขันทางเศรษฐกิจอย่างเสรีในประเทศที่ประชาชนส่วนใหญ่ยังมีรายได้เฉลี่ยไม่ถึง 2,000 ดอลลาร์ต่อปี และจำนวนมากยังตกอยู่ใต้เส้นความยากจนเชิงพหุมิติ ทั้งในด้านการศึกษา สุขภาพ และที่อยู่อาศัย

ภายใต้ฉากหน้าของการพัฒนา กัมพูชากลับถูกครอบงำโดยระบอบที่ผูกขาดอำนาจและความมั่งคั่งไว้ในมือไม่กี่ตระกูล บทเรียนจากโครงข่ายตระกูลฮุนจึงไม่ใช่แค่เรื่องของอำนาจทางการเมือง แต่คือบทสะท้อนของโครงสร้างที่บิดเบี้ยวซึ่งท้าทายหลักการประชาธิปไตยและความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจโดยสิ้นเชิง

เครือข่ายธุรกิจของตระกูลฮุนและผู้ใกล้ชิด แผ่ขยายเข้าไปยังทุกอุตสาหกรรมสำคัญ ตั้งแต่เหมืองทอง น้ำมัน ยางพารา การนำเข้าสินค้าเกษตร อาหาร ยา ไปจนถึงอสังหาริมทรัพย์และโทรคมนาคม ตัวอย่างบริษัทที่มีบทบาทสำคัญ เช่น

Khun Sea Import Export ผูกขาดการนำเข้าและจัดจำหน่ายยา อาหารเสริม และเวชภัณฑ์จำนวนมาก
WS Mining ได้สัมปทานทำเหมืองทองคำในพื้นที่ป่าคุ้มครอง

Unimex, Envotech, Infinity General Trading, Khmer First Investment Holding ซึ่งครอบคลุมธุรกิจนำเข้า-ส่งออก อุตสาหกรรมหนัก พลังงาน และการเกษตร

Cambodian People’s Party Media Holdings ที่ควบคุมสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์หลัก


การที่บริษัทเหล่านี้สามารถเข้าถึงทรัพยากรของรัฐจำนวนมหาศาล เป็นผลจากการผูกขาดสัมปทานและการออกกฎหมายเพื่อเอื้อประโยชน์โดยตรง เช่น การเวนคืนที่ดิน (land grabbing) ในพื้นที่ชุมชนและป่าคุ้มครอง โดยอ้างการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ในทางปฏิบัติ กลับนำไปมอบให้แก่บริษัทของตระกูลฮุนหรือพันธมิตรทางการเมือง เช่น

พื้นที่รอบทะเลสาบบึงกัก (Boeung Kak) ที่ชาวบ้านกว่า 4,000 ครอบครัวถูกขับไล่โดยไม่ได้รับค่าชดเชยพื้นที่ของชนกลุ่มน้อยในรัตนคีรีและมณฑลคีรีถูกยึดเพื่อปลูกยางพาราหรือทำเหมืองโดยไม่ขอความยินยอม การให้สิทธิ์การทำเหมืองในเขตอุทยานแห่งชาติและพื้นที่อนุรักษ์ ซึ่งทำลายความหลากหลายทางชีวภาพ และแหล่งทำกินของชุมชนพื้นเมือง

นอกจากการเอื้อประโยชน์ทางธุรกิจ การควบคุมกลไกรัฐยังขยายสู่ศาล กองทัพ ตำรวจ และหน่วยงานตรวจสอบ โดยศาลถูกใช้เป็นเครื่องมือในการจำกัดสิทธิฝ่ายตรงข้าม นักเคลื่อนไหวที่วิพากษ์รัฐบาลถูกจับกุมหรือถูกทำให้หวาดกลัว ขบวนการแรงงาน สื่ออิสระ และ NGO ด้านสิ่งแวดล้อมล้วนเผชิญกับข้อจำกัดอย่างหนัก สะท้อนว่าอำนาจรัฐถูกแปลงเป็นเครื่องมือสนับสนุนผลประโยชน์ของตระกูลและกลุ่มทุนที่จงรักภักดี

ขณะเดียวกัน ตระกูลฮุนยังขยายอิทธิพลเข้าสู่สถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งตามรัฐธรรมนูญควรเป็นองค์กรที่อยู่เหนือความขัดแย้ง แต่ในทางปฏิบัติ พระราชอำนาจถูกจำกัดให้มีบทบาทเพียงในพิธีกรรม โดยไม่เคยขัดขวางหรือยับยั้งการแต่งตั้ง ฮุน มาเนต เป็นนายกรัฐมนตรี แม้ไม่มีการเลือกตั้งที่เสรีและเป็นธรรมอย่างแท้จริง การลงพระปรมาภิไธยของกษัตริย์จึงกลายเป็นเครื่องประทับตราให้การสืบทอดอำนาจแบบราชวงศ์ถูกต้องตามกฎหมายและประเพณี

ที่น่าจับตายิ่งกว่านั้นคือ อิทธิพลของตระกูลฮุนเหนือราชสำนัก ซึ่งในอดีตเคยเป็นศูนย์รวมทางจิตใจของชาวกัมพูชา แต่ปัจจุบันกลับถูกลดบทบาทจนเกือบกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ไม่มีพลังถ่วงดุลใด ๆ สถานะของกษัตริย์ในกัมพูชา ซึ่งควรจะมีความเป็นกลางทางการเมือง กลับต้องยอมรับอำนาจของรัฐบาลชุดฮุนเซนอย่างไม่มีทางเลือก ตัวอย่างหนึ่งคือการลงพระนามแต่งตั้งฮุน มาเนต เป็นนายกรัฐมนตรี โดยไม่ปรากฏกระบวนการขัดขืนหรือตั้งคำถาม ทั้งที่เป็นการเปลี่ยนผ่านที่มีลักษณะ “มอบมรดกอำนาจ”

กระบวนการเช่นนี้ สะท้อนถึงการก่อตั้ง “ระบอบราชวงศ์ใหม่” (neo-monarchy) ที่แฝงตัวในโครงสร้างรัฐสมัยใหม่ แม้จะมีรัฐธรรมนูญ มีพรรคการเมือง มีการเลือกตั้ง แต่ระบบอำนาจถูกล็อกไว้ล่วงหน้าผ่านเครือญาติและกลไกรัฐที่อยู่ในมือของกลุ่มเดียว อีกทั้งยังมีการแต่งตั้งลูกเขยและลูกหลานเข้าสู่ตำแหน่งสำคัญทั้งในกองทัพ ศาล สภา และหน่วยงานเศรษฐกิจสำคัญ โดยไม่ผ่านการแข่งขันแบบเปิด

ในขณะที่กลุ่มชนชั้นนำผูกขาดทรัพยากรของชาติ ประชาชนส่วนใหญ่ของกัมพูชายังคงเผชิญกับภาวะความยากจนอย่างรุนแรง จากข้อมูลล่าสุดรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีต่ำกว่า 2,000 ดอลลาร์ (ประมาณ 70,000 บาท)ประมาณ 17% ของประชากรอยู่ภายใต้เส้นความยากจนเชิงพหุมิติ (Multidimensional Poverty Index) ซึ่งสะท้อนปัญหาหลายด้าน เช่น การไม่มีไฟฟ้า การขาดแหล่งน้ำสะอาด การศึกษาไม่ถึงระดับพื้นฐาน และไม่มีทรัพย์สินเพื่อการดำรงชีวิต

ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ยังคงรุนแรง โดย GDP เติบโตในอัตราที่ไม่กระจายไปสู่ประชาชน
ขณะที่โครงสร้างเศรษฐกิจโดยรวมของกัมพูชาขึ้นอยู่กับการส่งออกสิ่งทอและการท่องเที่ยว กลับต้องพึ่งพาการลงทุนจากต่างประเทศและความช่วยเหลือระหว่างประเทศเป็นหลัก นโยบายเศรษฐกิจถูกกำหนดเพื่อสนับสนุนกลุ่มทุนใหญ่โดยไม่คำนึงถึงแรงงานระดับล่างหรือเกษตรกรพื้นถิ่น

เมื่อพิจารณาโดยรวม ตระกูลฮุนได้สถาปนาอาณาจักรทางการเมืองและเศรษฐกิจที่ผสานอำนาจรัฐ ทุน และความจงรักภักดีของสถาบันต่าง ๆ เข้าด้วยกันอย่างแน่นหนาในลักษณะ “รัฐครอบครัว” ที่ใช้อำนาจเพื่อเอื้อประโยชน์แก่เครือญาติและกลุ่มทุนพวกพ้อง การสืบทอดอำนาจทางการเมืองที่ไม่มีการตรวจสอบจากสถาบันอื่นใด และการกระทำที่ละเมิดสิทธิประชาชนอย่างต่อเนื่อง ยืนยันว่าแม้กัมพูชาจะมีระบอบประชาธิปไตยในนาม แต่ในความเป็นจริงกลับดำรงอยู่ภายใต้โครงสร้างอำนาจแบบราชวงศ์ใหม่ ที่ประชาชนไม่มีอำนาจแท้จริงในการกำหนดอนาคตของตนเอง

อำนาจ ความร่ำรวยและมั่งคั่งของฮุนเซนและเครือญาติตระกูลฮุนและพวกพ้องจึงอยู่บนความทุกข์ยากของประชาชนชาวกัมพูชาที่ยังยากจนและข้นแค้น และถูกฮุน เซนใช้กระแสชาตินิยมเพื่อปลุกปั่นความขัดแย้งกับประเทศไทยเป็นเครื่องมือรักษาอำนาจเพื่อเสวยสุขบนความยากแค้นแสนเข็ญของประชาชนกัมพูชาต่อไป


กำลังโหลดความคิดเห็น