ปิดท้ายสัปดาห์นี้...คงต้องขออนุญาตลองไปสำรวจตรวจสอบ “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” ของ “ทรัมป์บ้า” น่าจะเหมาะกว่า คือเรื่องภาษง-ภาษีอะไรนั่นแหละทั่น ที่ถูกนำมาใช้เป็น“เครื่องมือ” ของผู้นำอเมริกา หลังจากที่ “อำนาจทางการทหาร” รวมทั้ง “อิทธิพลเงินดอลลาร์” ชักจะสาละวันเตี้ยลง-เตี้ยลงยิ่งเข้าไปทุกที ด้วยเหตุเพราะ “อาวุธ” ชนิดนี้...คงต้องยอมรับว่า มันออกจะ “เอาเรื่อง” มิใช่น้อย หรือก่อให้เกิดผลดี-ผลร้ายต่อโลกทั้งโลกที่ยังคงต้องพึ่งพา “ตลาดอเมริกา” อย่างมิอาจหลีกเลี่ยงและปฏิเสธได้ แม้แต่ความขัดแย้งระหว่างไทย-เขมรเมื่อไม่กี่วันมานี้ ยังหนีไม่พ้นต้องหยิบเอาเรื่อง “ภาษี” ของ“ทรัมป์บ้า” มาเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ ว่าจะลุยต่อให้ฉิบหายวายวอดกันไปข้าง หรือจะหันมาเจ๊าะแจ๊ะเจรจา หาทางออก-ทางไป หรือ “ทางลง” กันเลยหรือไม่? อย่างไร?
คืออันดับแรก...คงต้องทำความเข้าใจกันเอาไว้ให้ชัดๆเสียก่อนว่า การงัดเอามาตรการภาษีมาใช้ในแทบทุกเรื่อง ทุกกรณีของ “ทรัมป์บ้า” นั้นมันคงไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความรัก ความปรารถนาดีต่อโลกหรือต่อมวลมนุษยชาติทั้งหลายจนน่าจะประเคนรางวัล “โนเบลสันติภาพ” ให้ถึงมือเป็นกล่องๆ แต่อย่างใด แต่มันน่าจะตั้งอยู่บนพื้นฐานของสิ่งที่เรียกย่อๆ ว่า“MAGA” หรือ “Make America Great Again” หรือความพยายามหาทางที่จะให้ประเทศคุณพ่ออเมริกาของใครๆ กลับมา “ยิ่งใหญ่” อีกครั้ง ตามนโยบายหาเสียงของ “ทรัมป์บ้า”เขานั่นแหละ ส่วนเหตุใดที่??? ความยิ่งใหญ่ของอเมริกา ถึงดันต้องมาเกี่ยวพันกับการหา “ทางลง” ของประเทศเล็กๆ ใกล้บ้านเราอย่างประเทศ “เคลมโบเดีย” หรือกัมพูชา ที่โดนทหารไทยถล่มซะแทบจะจมกระเบื้อง ตลอดช่วง3-4 วันที่ผ่านมา อันนี้...คงต้องขออนุญาตแนะนำให้ลองไปอ่านข้อเขียน บทความเมื่อช่วงต้นสัปดาห์ ว่าด้วยเรื่อง “คลองฟูนัน-เตโช” กันดูอีกที อาจพอมองเห็นอะไรต่อมิอะไรรางๆ ได้มั่ง!!!
แต่เอาเป็นว่า...ไม่ว่าเพราะเหตุไรที่ทำให้ “ทรัมป์บ้า”อยากให้ไทยกับกัมพูชาได้มี “สันติภาพ” ไม่ต้องเกิด“สงคราม” จนหนีไม่พ้นต้องเสียเลือด-เสียเนื้อไปด้วยกันทุกฝ่าย ย่อมต้องถือเป็นเรื่อง “ดี” นั่นแหละทั่น เพียงแต่ว่ามันอาจไม่ใช่เป็นสิ่งที่ตรงกับความปรารถนา ความต้องการ ของการคิดที่จะนำ “เครื่องมือ” ชนิดนี้ออกมาใช้ เพราะสิ่งที่เรียกว่า“MAGA” หรือ “Make America Great Again” ของผู้นำอเมริการายนี้ เอาเข้าจริงๆ แล้ว...ก็คือ “ความเห็นแก่ตัว” ในอีกรูปหนึ่ง ชนิดหนึ่งนั่นเอง ใช่ว่าเป็นความดี ความงามใดๆ ก็หาไม่ เนื่องจากทุกสิ่งทุกอย่างมีแต่ต้องขึ้นอยู่กับ “ตัวกู-ของกู”ต้อง “อเมริกา...มาก่อน” หรือต้อง “American First” เป็นที่ตั้ง!!! อันนี้นี่แหละ...ที่มันเลยทำให้การงัดเอา “เครื่องมือ” ชนิดนี้ออกมาใช้ มันมักก่อให้เกิด “ผลร้าย” ต่อบรรดาใครๆ ทั่วทั้งโลก ที่ไม่ใช่ “America” ไม่ว่าจะอยู่ในฐานะ “มิตร” หรือ“ศัตรู” ก็ตามที...
แม้แต่พันธมิตรผู้เคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอด หรือบรรดา “พันธมิตรพรมเช็ดเท้า” แห่งชาติยุโรปทั้งหลาย ที่พยายามไปเจ๊าะแจ๊ะ เจรจา หาข้อยุติ ข้อตกลงเรื่อง “ภาษี” กับอเมริกา จนว่ากันว่า...ได้สำเร็จ เสร็จสิ้นลงไปเป็นที่เรียบร้อย หลังการจับมือ ถือแขน ระหว่าง “ทรัมป์บ้า” กับประธานคณะกรรมาธิการยุโรป “นางUrsula von der Leyen” เมื่อช่วงวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (27 ก.ค.) โดยบรรดาสินค้าของชาติยุโรปที่คิดจะส่งไปยังตลาดอเมริกาจะถูก “โขกภาษี” เพียงแค่ 15 เปอร์เซ็นต์ ไม่ใช่ 30 เปอร์เซ็นต์อย่างที่ “ทรัมป์บ้า” เคยขู่ๆ เอาไว้ก่อนหน้านั้น แต่ต้องแลกกับการที่บรรดาชาติยุโรปทั้งหลายถูก “บังคับซื้อ” ให้ต้องวิ่งหาพลังงานจากอเมริกาในระยะ 3 ปี ไม่น้อยกว่า 700,000 ล้านดอลลาร์เป็นอย่างน้อย รวมทั้งต้องหอบ “เงินลงทุน” เข้าไปลงทุนในอเมริกาไม่น้อยกว่า 600,000 ล้านดอลลาร์ขึ้นไป รวมทั้งยังต้องซื้ออาวุธ-ยุทโธปกรณ์จากอเมริกา ไปจนยังต้องเสียภาษีให้กับสินค้าสำคัญๆ ด้านอุตสาหกรรมเช่นสินค้าเหล็กและอะลูมิเนียม ถึง 50 เปอร์เซ็นต์ เอาเลยถึงขั้นนั้น!!!
อันนี้นี่เอง...ที่ก่อให้เกิดเสียงโอดโอย โอดครวญ จากผู้นำชาติยุโรปจำนวนมิใช่น้อย ต่อการที่ต้องกลายสภาพไปเป็น “พรมเช็ดเท้า” ของคุณพ่ออเมริกาโดยสมบูรณ์แบบ แม้ผู้นำบางชาติ อย่างเช่นผู้นำเยอรมนี “นายFriedrich Merz” ผู้ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกกระเป๋ง” ของพวก “อีลีทโลก” จะเห็นดี-เห็นงาม หรือเห็นว่าเป็นการ “ช่วยลดความตึงเครียดทางการค้า” อยู่มั่งก็ตาม แต่สำหรับประเทศเสาหลักอียู อย่างฝรั่งเศส ไม่ว่าฝ่ายรัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ต้องออกมาประสานเสียงแบบคอรัส-รัดคอ ไปในทางเดียวด้วยกันทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นนายกรัฐมนตรีฝรั่งเศส “นายFrancois Bayrou” ที่ถึงกับสรุปว่าข้อตกลงเรื่องภาษีระหว่างอเมริกา-ยุโรป นำมาซึ่ง “วันที่มืดมน” อันเนื่องมาจากถือเป็นการ “ยอมศิโรราบให้กับอเมริกา” อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ขณะที่ฝ่ายค้านอย่าง “นางMarine Le Pen” แห่งกลุ่มขวาจัด “France’s National Rally” ถึงกับสรุปว่า...ถือเป็น “ความล้มเหลวโดยสิ้นเชิงทั้งในทางการเมือง เศรษฐกิจและศีลธรรมสำหรับอียู” (A Political, Economic, and Moral fiasco for the EU) เอาเลยถึงขั้นนั้น...
ส่วนเหตุผลที่หยิบยกมาอ้าง...ก็ออกจะมี “น้ำหนัก” อยู่ตามสมควร ไม่ว่าการที่ยุโรปต้องเสียภาษีให้กับอเมริกา 15 เปอร์เซ็นต์ มากกว่าอังกฤษที่เสียแค่ 10 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น หรืออุตสาหกรรมทั้งมวลของฝรั่งเศสต้องถูก “บีบบังคับ” ให้ต้องใช้พลังงานของอเมริกา แถมยังต้องวิ่งหาซื้ออาวุธอเมริกันอีกด้วย ไปจน “ชาวนาฝรั่งเศส” ที่ถูกใช้เป็นเครื่องบูชายัญ ด้วยการเปิดตลาดให้สินค้าเกษตรอเมริกันเพื่อแลกเปลี่ยนกับการลดอัตราภาษีให้กับ “รถยนต์เยอรมนี” ฯลฯ อะไรทำนองนี้แต่นั่นก็ไม่ได้หมายถึงว่าประเทศเยอรมนีจะอู้ฟู่ อูมฟูม แต่อย่างใดก็หาไม่ เพราะถ้าว่ากันตามการประเมินของหนังสือพิมพ์“The Financial Times” โอกาสที่อุตสาหกรรมรถยนต์เยอรมนีจะต้องสูญเสียรายได้ไม่ต่ำกว่า 11,600 ล้านดอลลาร์จากข้อตกลงภาษีคราวนี้ ย่อมมีความเป็นไปได้สูงเอามากๆ โดยเฉพาะเมื่อยังต้องถูกโขกภาษีจากเหล็กและอะลูมิเนียมถึง 50 เปอร์เซ็นต์ ฯลฯ...
สรุปรวมความแล้ว...ก็ด้วยเหตุเพราะ “American First”หรือ “ความเห็นแก่ตัวกู-ของกู” เป็นที่ตั้งนั่นเอง ที่ทำให้“อาวุธ” ชนิดนี้ของอเมริกา จึงถูกนำไปใช้ในลักษณะดังกล่าว หรือทำให้บรรดาผู้ที่ผู้นำยุโรปเกลียดนัก-เกลียดหนาอย่างชาวหมีขาวรัสเซีย เช่นอดีตประธานาธิบดีและรองประธานสภาความมั่นคงรัสเซียคนปัจจุบัน อย่าง “นายDmitry Medvedev” อดไม่ได้ที่จะต้องออกมาโพสต์ความเห็นไว้ว่าถือเป็น “ความน่าละอายอย่างสมบูรณ์แบบ” ของชาวยุโรปทั้งยุโรปเอาเลยถึงขั้นนั้น หรือรัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย“นายSergey Lavrov” ที่ออกมาสรุปสั้นๆ แต่ชัดเจนและตรงไป-ตรงมาว่า ข้อตกลงเรื่องภาษีระหว่างอเมริกากับอียูคราวนี้ ก็คือการ “Deindustrialization” หรือการหยุดยั้งกระบวนการอุตสาหกรรมของยุโรปทั้งยุโรป ที่ไม่เพียงแต่ต้องหอบเงินไปลงทุนในอเมริกานับแสนๆ ล้านดอลลาร์ แถมยังต้องถูกบังคับให้หาซื้อพลังงานจากคุณพ่อเพียงรายเดียวเท่านั้น...
ด้วยเหตุเพราะการอาศัย “ความเห็นแก่ตัว” เป็นที่ตั้ง มันจึงไม่ได้ทำให้การหันไปใช้ “สากกะเบือด้ามสุดท้าย” หรือใช้“ภาษี” เป็นอาวุธ เกิดความสง่างาม ความถูกต้อง-ชอบธรรมแต่อย่างใด ตรงกันข้าม...กลับก่อให้เกิดความน่าเกลียด น่าทุเรศ ต่อความทะเยอทะยานอยากจะเป็นจ้าวโลก ประมุขโลกต่อไป ของอเมริกายิ่งๆ ขึ้นไป แถมยังอาจก่อให้เกิดการ “ย้อนศร” เกิดความ “พังพินาศ” ต่อพันธมิตรผู้ซึ่งเคยเคียงบ่า-เคียงไหล่กันมาโดยตลอดอย่างเช่นบรรดาชาติยุโรปทั้งหลาย ที่แม้ยังไม่มีการนำเอาเรื่อง “ภาษี” มาใช้เป็นเครื่องมือ ยุโรปทั้งยุโรปก็ยังแตกแยก แตกคอออกไปเป็นฝ่ายๆ เนื่องจากกรณี “สงครามรัสเซีย-ยูเครน” อย่างเห็นได้ชัดเจน ยิ่งเมื่อต้องเจอกับ“American First” ในเรื่องภาษีเข้าไปอีกดอก โอกาสที่“สหภาพยุโรป” หรือ “อียู” ที่ย้วยไป-ย้วยมาอยู่แล้ว จะ “แตกดังโพละ” ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย หรืออย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีเบลเยียม “นายGuy Verhofstadt” ให้ความเห็นเอาไว้สั้นๆแต่ฟังแล้วน่าขนหัวลุกมิใช่น้อย นั่นคือ... “นี่คือความหายนะของอียูทั้งอียู!!!”
โดยถ้าหาก “ไปไกล” ถึงขั้นนั้น...โอกาสที่ “ภูมิรัฐศาสตร์”ของยุโรปตะวันตกจะต้องถูกเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง หรือต้องย้อนกลับไปสู่สภาพดั้งเดิม ที่ทำให้ประเทศเสาหลักอียูอย่างฝรั่งเศสไม่เพียงแต่ต้องเป็นโรค “Russophobia” หรือต้อง“กลัวรัสเซีย” โดยลำพังเท่านั้น แต่โดยประวัติศาสตร์ยังอาจหนีไม่พ้นต้อง “กลัวเยอรมนี” ควบคู่ไปอีกด้วย อันเนื่องมาจากลักษณะทางภูมิรัฐศาสตร์ที่อยู่ภายในที่ราบเดียวกันก่อนจะโยงไปถึงเทือกเขาอูราลของรัสเซีย ไม่ต่างไปจากเยอรมนีที่หนีไม่พ้นต้องหันมา “กลัวฝรั่งเศส” เช่นเดียวกับที่กำลัง “กลัวรัสเซีย”อยู่ในทุกวันนี้ หรืออย่างที่เหยี่ยวข่าวชาวอังกฤษ “นายTim Marshall” ท่านได้แจกแจงรายละเอียดเอาไว้ในหนังสือเรื่อง“Prisoners of Geography” อย่างชนิดเห็นภาพได้ชัดเจนโดยไม่ต้องเสียเวลาตั้งคำถามใดๆ อีกต่อไป...
ด้วยเหตุนี้...ความเห็นแก่ตัวของอเมริกา หรือของ “ทรัมป์บ้า” จึงไม่ได้เป็นอะไรที่น่าชื่นชม ยกย่อง หรือไม่น่าจะมอบรางวัล “โนเบล ไพรซ์” เป็นกล่องๆ เป็นชิ้นๆ ให้เลยแม้แต่น้อย ยิ่งคิดจะนำ “อาวุธ” ชนิดนี้มาใช้ข่มขู่ คุกคาม ประเทศที่ได้ชื่อว่า “ชาตินิวเคลียร์” แถมยัง “ดุเอาเรื่อง” อย่างหมีขาวรัสเซีย ที่มีหัวรบนิวเคลียร์อยู่ในมือนับพันๆ หัวรบไม่น้อยไปกว่าอเมริกา โดยการลดเวลาเล่นงานรัสเซียด้วยมาตรการทางภาษี หรือ“secondary tariffs” จาก 50 วันเหลือแค่ 10-12 วันเท่านั้น เลยถูกตอบโต้ด้วยคำพูดสั้นๆ แต่ออกจะมี “น้ำหนัก” เอามากๆ ของอดีตประธานาธิบดีรัสเซีย “นายDmitry Medvedev” ว่า...“รัสเซียไม่ใช่อิสราเอลหรืออิหร่าน” ไม่ใช่ประเทศที่สามารถสั่งหันซ้าย-หันขวาหรือสามารถข่มขู่ คุกคาม เนื่องจากยังไม่ได้มีอาวุธนิวเคลียร์อยู่ในมือ ส่วนจะจริง-ไม่จริง น่าเชื่อ-ไม่น่าเชื่อ คงต้องลองเก็บไปคิดเป็นการบ้านเอาเองก็แล้วกัน...