เปิดฉากสัปดาห์นี้...คงหนีไม่พ้นที่ต้องวกกลับมาดูแถวใกล้ๆ บ้าน หรือ “บ้านใกล้-เรือนเคียง” อย่าง “เคลมโบเดีย”หรือประเทศกัมพูชา อันเป็นประเทศที่บรรดาชาวไทยแลนด์ แดนสยาม อย่างหมู่เฮา มิอาจยกประเทศหนีไปไหนได้เลย ต้องกล้ำกลืนฝืนทนมาตั้งแต่สมัย “พญาละแวก” โน่นแหละ ด้วยเหตุเพราะการสาดกันไป-สาดกันมา ทั้งกระสุน จรวด ไปจนระเบิดฯลฯ จนกลายเป็นข่าวระดับโลก โผล่ขึ้นมาอวดประชันขันแข่งกับข่าวสงครามในแนวรบสำคัญๆ ชนิดผู้นำระดับโลก ไม่ว่าอเมริกา-จีน-รัสเซีย ตลอดไปจนพันธมิตรอาเซียน ฯลฯ ต้องออกมาพูดถึง เอ่ยถึง ต้องออกมาเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว เพื่อให้เกิดการประนีประนอมยอมความกันไปเป็นแถวๆ...
คือสิ่งที่ใครต่อใครยังคิดไม่ออก-บอกไม่ถูก ก็คือเหตุใดผู้ซึ่งมีบทบาท อำนาจ ในประเทศกัมพูชา อย่างเช่นอดีตนายกรัฐมนตรี หรือประธานวุฒิสภา อย่าง “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” ท่านถึงได้กล้า ได้บังอาจ หรือได้ “บ้า” กันไปถึงขั้นนั้น เรียกว่า...ไม่ใช่แค่เฉพาะกล้าเปิดศึกกับประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาแบบตรงไป-ตรงมา แต่ยังกล้า “หักหลัง” เพื่อนเก่า-เพื่อนซี้ ที่คบหากันมานับไม่รู้กี่สิบปี อย่างคุณพี่ “โทนี่” หรืออดีตนายกฯ“ทักษิณ” ของบ้านเรา รวมทั้งยังควักมีดออกมาแทงข้างหลังผู้ที่ถือเป็น “หลานแท้ๆ” อย่างท่านนายกฯ “อุ๊งอิ๊งค์” ชนิดเลือดสาดเป็นลิ่มๆ ฯลฯ อันนี้...ถ้าจะว่ากันในแง่ “จิตวิทยา” อาจถือเป็น “วาสนา” เป็น “อุปนิสัย” ของคนเขมรบางราย แบบคล้ายๆ ประเภท “พญาละแวก” อะไรทำนองนั้น แต่ถ้าลองมองให้ “ลึกๆ” ยิ่งไปกว่านั้น สิ่งที่ทำให้วาสนา-อุปนิสัยทำนองนี้อุบัติขึ้นมาในอารมณ์-ความรู้สึกของผู้นำกัมพูชา อย่าง “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” มันน่าจะมีอะไรมากไปกว่า “โรคจิต” ล้วนๆ!!!
โดยเฉพาะถ้ามองถึงความอยากใหญ่-อยากโต หรืออยากจะ “ยิ่งใหญ่” ที่ทำให้ประเทศซึ่งเพิ่งเคยบ้านแตกสาแหรกขาดมาเมื่อไม่กี่สิบปี เกิดความทะเยอทะยานถึงขั้นคิดจะสร้าง“โครงการเมกะโปรเจกต์” มูลค่านับหมื่นๆ ล้าน ที่ให้ชื่อไว้ยาวเหยียดว่าโครงการ “Tonle Bassac Navigation Road and Logistic System Project” หรือที่รู้จักกันในชื่อสั้นๆ ว่าโครงการ“คลองฟูนัน เตโช” (Funan Techo Canal)นั่นเอง คือคำว่า “ฟูนัน” นั้น...ก็คงหมายถึง “พนม” หรือพนมเปญ อาณาจักรเก่าแก่ของเขมรเขานั่นแหละ ส่วนคำว่า “เตโช” ก็หมายถึง “ความยิ่งใหญ่” อันสะท้อนให้เห็นถึงความอยาก ความทะเยอทะยาน ของโครงการดังกล่าวมาตั้งแต่แรก...
ด้วยการคิดจะ “ขุดคลอง” ความยาวประมาณ 180 กิโลเมตร กว้าง 100 เมตร ลึก 5.4 เมตร จากบริเวณแม่น้ำโขงตัดผ่านแม่น้ำ “บาสัก” ในพนมเปญ แล้วไหลออกไปยังอ่าวไทย ซึ่งต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 1.7 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 60,000 ล้านบาทเอาเลยถึงขั้นนั้น อันจะช่วยให้เกิดการลดการขนส่งสินค้าเข้า-สินค้าออกของเขมรที่เคยต้องพึ่งพาท่าเรือด้านใต้ของเวียดนามมากถึง 33 เปอร์เซ็นต์ อีกทั้งยังอาจก่อให้เกิดการจ้างงานต่อบรรดาชาวกัมพูชาทั้งหลายไม่น้อยกว่า 1.6 ล้านคน เรียกว่า...ไม่ต้องเสียแรง เสียเวลา มาเป็น “ขอทาน” ในประเทศไทยเอาเลยก็ยังได้ ชนิดที่ทำให้นายกรัฐมนตรี “ฮุน มาเนต” ถึงกับเรียกโครงการนี้อย่างหะรูหะราว่า “โครงการชาตินิยม” แถมยังได้เริ่มเปิดตัว เปิดโครงการ ตรงกับ “วันเกิด”ของ “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” ผู้เป็นบิดาบุญธรรมอีกซะต่างหาก...
แม้จะมีเสียงคัดค้าน มีความเคลือบแคลงจากประเทศใดๆก็แล้วแต่ ถึงผลกระทบต่างๆ นานา โดยเฉพาะเวียดนามแต่ทั้ง “ฮุน มาเนต” และ “(ฮวย)ฮุนเซน” ต่างยืนหยัด ยืนยันที่จะเดินหน้า โดยกะไว้ว่าโครงการดังกล่าวจะใช้เวลาประมาณ 3 ปี หรือกะจะเปิดใช้งานภายในปี ค.ศ. 2028 ให้จงได้!!! ทั้งนั้น ทั้งนี้...เนื่องจากหวังไว้ว่า “บริษัทจีน” หรือบริษัท “CRBC”(China Road and Bridge) ที่จะได้รับสัมปทานบริหารคลองแห่งนี้เป็นระยะเวลาประมาณ 40-50 ปี น่าจะกล้าควักเงินลงทุน 1.7 พันล้าน หรือ 100 เปอร์เซ็นต์ให้กับโครงการดังกล่าว ด้วยเหตุเพราะเท่าที่ผ่านมา คุณพี่จีนท่านค่อนข้างให้ความสำคัญกับกัมพูชาเอามากๆ จนถึงขั้นถูกกล่าวหาว่าฐานทัพเรือ “เรียม”(Ream Naval Base) ของกัมพูชา ถูกสร้าง ถูกปรับปรุงเอาไว้เพื่อรองรับกองทัพเรือจีน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่เอาไป-เอามา...หลังเปิดตัวโครงการโดยมีนายกฯ เขมรเป็นประธาน ตัวนายกฯ “ฮุน มาเนต” เอง ต้องออกมาป่าวประกาศว่าเพื่อไม่ให้ต้องขึ้นต่อประเทศจีนจนเกินไป กัมพูชาจึงตัดสินใจลงทุน 51 เปอร์เซ็นต์ ส่วนบริษัทจีนเหลือหุ้นอยู่แค่ 49 เปอร์เซ็นต์ หลังจากนั้นผ่านไป 3 เดือน...โครงการดังกล่าวดันชักจะ “ไม่รู้หมู่-รู้จ่า” ยิ่งเข้าไปทุกที หรือชักจะไม่แน่ใจว่าบริษัทจีนจะยอมควักเงินเป็นร้อยล้าน พันล้าน มาร่วมทุนกับรัฐบาลเขมรหรือไม่? อย่างไร? เพราะช่วงหลังๆ การลงทุนของจีนในกัมพูชาออกจะลดลงไปแบบฮวบๆ ฮาบๆ เอาเลยก็ว่าได้ คือจากเมื่อ 5 ปีที่แล้ว หรือเมื่อปี ค.ศ. 2021 การลงทุนของจีนในกัมพูชามีมูลค่าสูงถึง 420 ล้านดอลลาร์ หรือ 14,280 ล้านบาท แต่มาช่วงปี ค.ศ. 2026 ถึงกับลดวูบลงมาเหลือแค่ 35 ล้านดอลลาร์ หรือ 1,190 ล้านบาทเท่านั้นเอง!!!
จะด้วยเหตุเพราะจีนเองก็มี “ปัญหาเศรษฐกิจ” หรือเพราะโครงการดังกล่าวยังมีความเคลือบๆ แคลงๆ โดยเฉพาะการก่อให้เกิดผลกระทบกับประเทศที่มีความสำคัญกับจีนไม่น้อยไปกว่ากัน นั่นคือเวียดนาม หรือเพราะความไม่ชอบใจ ไม่พอใจของจีน ต่อบรรดา “จีนเทา” หรือพวก “แก๊งคอลเซ็นเตอร์” ทั้งหลาย ที่ยกขโยงเข้าไปปักหลักอยู่ในดินแดนเขมรอย่างเป็นล่ำเป็นสัน และมีสายใยผูกพันกับผู้คนใน “ตระกูลฮุน” มิใช่น้อยฯลฯ อันนี้...ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่นั่นเอง...ที่ทำให้บิดาบุญธรรมของนายกฯ “ฮุน มาเนต” อย่าง “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” เริ่มออกอาการ “น็อตหลุด-น็อตหลวม” ถึงกับออกมาโพสต์ ออกมาแถลงการณ์เอาไว้ในเฟซบุ๊ก เรียกร้องให้คู่แข่ง-คู่กัดของจีน คือคุณพี่ญี่ปุ่น-ยุ่นปี่ เข้ามาร่วมลงทุนในโครงการดังกล่าวแทนที่บริษัทจีน เอาเลยถึงขั้นนั้น...
แต่ที่ “หลวม” ยิ่งไปกว่านั้น...ก็คืออีก 4 เดือนต่อมาหลังเปิดตัวโครงการ กัมพูชาที่ได้หันไปจูบปากกับจีนจนถึงกับประกาศ “ยกเลิกการซ้อมรบ” กับอเมริกาในปี ค.ศ. 2017 ทั้งที่เคยซ้อมรบร่วมกันมาตลอด 8 ปีที่แล้ว ก็กลับเปิดท่าเรือ “สีหนุวิลล์” ที่อยู่ห่างจากฐานทัพเรือ“เรียม” อันเป็นที่จอดเรือรบจีนเพียงแค่ 30 กิโลเมตร เพื่อแสดงการต้อนรับ “กองเรือประจัญบานอเมริกา” หรือกองเรือ “USS Savannah”ด้วยอาการกระดี้กระด้าเป็นอย่างยิ่ง หรือดังที่รองนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ผู้ซึ่งได้รับมอบหมายให้ดูแลโครงการคลอง “ฟูนัน เตโช” ถึงกับเดินทางไปพูดจาปราศรัยที่ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์ระหว่างประเทศ (CSIS) ณ กรุงวอชิงตัน ด้วยการเน้นย้ำเอาไว้ว่า... “ฐานทัพเรือเรียมไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อจีน จีนเป็นเพียงผู้ให้ความช่วยเหลือเราในการขยายฐานทัพแห่งนี้ เพื่อเอาไว้ป้องกันประเทศเราเอง ดังนั้น...เราจะไม่ยอมให้จีนหรือประเทศใดๆ ใช้ฐานทัพแห่งนี้โจมตีประเทศอื่น...”
นี่...ละแวก-ไม่ละแวก ก็ลองไปคิดๆ ดูเอาเองก็แล้วกันเพราะยิ่งไปกว่านั้น หลังการเดินทางมาเยือนเป็นเวลา 5 วันของกองเรือประจัญบานอเมริกัน อุปทูตสหรัฐฯ ก็เดินทางเข้าพบ“สมเด็จ ฮวยเซ็ง” เพื่อหารือในการสร้างความร่วมมือและการยกระดับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศทั้งสอง หรือพูดง่ายๆ ก็คือ...การกระทำ หรือการดำเนินวิเทโศบายของ “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” ในลักษณะเช่นนี้ ก็คงไม่ต่างอะไรไปจากการอาศัย “ความขัดแย้ง” ไม่ว่าจะในระดับประเทศ ระดับภูมิภาค หรือระดับโลกก็แล้วแต่ เป็น “เครื่องมือ” ในการ “ยกระดับความสำคัญ” ของประเทศกัมพูชานั่นเอง!!!
เรียกว่า...ขนาดคุณพี่จีน มหาอำนาจอันดับ 2 ของโลก ที่ดันไปขัดอก-ขัดใจ “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” ในกรณีโครงการ “ฟูนัน เตโช” หรือโครงการ “อาณาจักรเขมรอันยิ่งใหญ่” ยังถูกหยิก ถูกเกา จนถลอกปอกเปิกไปเป็นแถบๆ แล้วระดับคุณพี่ “โทนี่-ทักษิณ” หรือคุณหลานนายกฯ “อุ๊งอิ๊งค์” จะไปเหลืออะไร??? ทั้งถูกเสียบ ถูกหัก ถูกแทง จนน่าจะพังทั้งพ่อ ทั้งลูก หรือจนกว่าจะมีนายกรัฐมนตรีประเทศไทยรายใหม่นั่นแหละ การตั้งโต๊ะเจรจาระหว่าง “กัมพูชากับไทย” ถึงอาจเริ่มต้นขึ้นมาใหม่ได้อีกครั้ง โดยที่ใครต่อใครอาจต้องหันไปให้ความสำคัญกับกัมพูชาไม่น้อยกว่าประเทศไทยในการเกลี้ยกล่อม โน้มน้าว เพื่อให้เกิด“สันติภาพ” แทนที่จะใส่กันไป-ใส่กันมา เหมือนอย่างเช่นทุกวันนี้...
หรือเผลอๆ...การสร้าง “ความสำคัญ” ของกัมพูชา ด้วยการอาศัย “ความขัดแย้ง” ในเรื่องปราสาทโน้น ปราสาทนี้ กับประเทศไทย จนกลายเป็นข่าวคราวไปทั่วทั้งโลก อาจมีส่วนช่วยให้เกิดทางออก-ทางไป หรือ “ทางรอด” ของโครงการ “ฟูนัน เตโช” ที่ทำท่าว่าอาจไม่มีวันได้ผุด-ได้เกิด ไปอีกตราบนานเท่านานก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย เพราะอย่างน้อย...ไม่ใช่แต่เฉพาะคุณพี่จีนเท่านั้น ที่เห็นความสำคัญของกัมพูชาจนต้องทุ่มเทเงิน-ทองไม่รู้จะกี่ต่อกี่พันล้านดอลลาร์ ให้กับประเทศที่เคยแสดงตัวเป็นฝ่ายตรงข้ามกับจีน ด้วยการหันไปอิงเวียดนามที่ช่วยยึดอำนาจจากผู้ที่จีนเคยสนับสนุนอย่าง “เขมรแดง” จนบุญหล่นใส่หัวแม่เท้า “สมเด็จ ฮวยเซ็ง” กลายมาเป็นผู้นำกัมพูชา จนตราบเท่าทุกวันนี้ แต่ในเมื่อคุณพี่จีนชักจะ “บ่อจี๊” หรือจะด้วยอะไรก็แล้วแต่ ที่ทำให้ “โครงการชาตินิยม” อย่าง “ฟูนัน เตโช” ทำท่าว่าจะเดี้ยงเอาดื้อๆ!!! ก็เลยต้องรอดูกันต่อไปอีกว่า จะเป็นอเมริกา-ญี่ปุ่น-หรือประเทศหนึ่ง-ประเทศใดในอาเซียน??? ที่อาจต้องกลายเป็น “เหยื่อเคลมโบเดีย” รายต่อไป...