หนึ่งความคิด
สุรวิชช์ วีรวรรณ
เรื่องชายชุดดำ กองกำลังติดอาวุธของคนเสื้อแดงนั้น ความจริงแล้วไม่น่าจะมีข้อถกเถียงอะไรเลย เพราะปรากฎภาพชัดทั้งภาพนิ่งและคลิปวิดีโอในการยิงถล่มทหารที่พยายามเข้ากระชับพื้นที่บริเวณสี่แยกคอกวัว ถนนดินสอ โรงเรียนสตรีวิทยา ที่ทำให้ทหารเสียชีวิต 5 นาย หนึ่งในนั้นคือพ.อ.ร่มเกล้า ธุวกรรม ยศขณะนั้น จนทหารต้องใช้กำลังตอบโต้ด้วยอาวุธจนมีผู้ชีวิตที่เป็นกลุ่มผู้ชุมนุมประมาณ 20 คน รวมถึงการเสียชีวิตของฮิโรยูกิ มูราโมโตะ ช่างภาพรอยเตอร์
แต่ปรากฏว่ากลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงอย่างนพ.เหวง โตจิราการ และนายอธึกกิต แสวงสุข หรือใบตองแห้ง มักจะปฏิเสธการมีอยู่ของคนเสื้อแดงเสมอมา แต่ในหมู่ฝ่ายที่สนับสนุนคนเสื้อแดงที่ยอมรับว่า คนเสื้อแดงมีชายชุดดำ ที่เป็นกองกำลังติดอาวุธก็คือ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล
หมอเหวงเคยระบุผ่านการให้สัมภาษณ์และโพสต์บนโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊กไลฟ์ในวันที่ 11 เมษายน 2561 ว่า ข้อกล่าวหาเรื่องชายชุดดำเป็น “เรื่องโกหก” และเป็นความพยายามของฝ่ายตรงข้ามเพื่อใส่ร้ายคนเสื้อแดงว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย โดยอ้างว่าชายชุดดำถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นข้ออ้างให้รัฐบาลในขณะนั้นใช้กำลังปราบปรามผู้ชุมนุม เขายืนยันว่าไม่มีหลักฐานยืนยันการมีอยู่ของชายชุดดำที่เป็นส่วนหนึ่งของ นปช. และระบุว่าผู้ที่ถูกจับกุมในข้อหาเกี่ยวข้องกับชายชุดดำได้รับการยกฟ้องจากศาล เนื่องจากไม่มีหลักฐานเพียงพอ
แม้เกิดการปะทะกันในวันที่ 10 เมษายนที่แยกคอกวัวและถนนดินสอแล้ว แต่หมอเหวงยังตอกย้ำว่าการชุมนุมของคนเสื้อแดงยึดหลักสันติวิธี และไม่มีอาวุธสงครามในครอบครองตามที่ถูกกล่าวหา เช่น ในการปราศรัยที่แยกราชประสงค์เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2553 เขายืนยันว่าไม่มีอาวุธสงครามในกลุ่มผู้ชุมนุม
ส่วน “ใบตองแห้ง” หรือนายอธึกกิตใช้พื้นที่ในสื่อ เช่น ประชาไท หรือโซเชียลมีเดีย เพื่อวิเคราะห์และปฏิเสธว่าชายชุดดำเป็นส่วนหนึ่งของคนเสื้อแดง โดยมองว่าการกล่าวถึงชายชุดดำเป็นส่วนหนึ่งของวาทกรรมที่รัฐบาลและสื่อบางส่วนใช้เพื่อสร้างภาพลักษณ์เชิงลบให้คนเสื้อแดงว่าเป็นกลุ่มรุนแรง
เขามักตั้งข้อสังเกตว่าไม่มีหลักฐานชัดเจนที่ระบุตัวตนของชายชุดดำ หรือพิสูจน์ว่าพวกเขาเกี่ยวข้องกับ นปช. โดยตรง รวมถึงชี้ว่าการปรากฏตัวของชายชุดดำในสื่อมักถูกนำเสนอในลักษณะที่ตอกย้ำความรุนแรงของผู้ชุมนุม โดยไม่มีการตรวจสอบที่รอบด้าน
ทั้งหมอเหวงและใบตองแห้งมองว่าการกล่าวหาเรื่องชายชุดดำเป็นกลยุทธ์ทางการเมืองเพื่อลดความชอบธรรมของการชุมนุมคนเสื้อแดง โดยเน้นย้ำว่าการชุมนุมของ นปช. มีเป้าหมายเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยและต่อต้านการรัฐประหาร ไม่ใช่การก่อความรุนแรงตามที่ถูกกล่าวหา พวกเขายังชี้ว่าการสลายการชุมนุมด้วยกำลังทหารและการใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เป็นสาเหตุหลักของความสูญเสีย ไม่ใช่การกระทำของผู้ชุมนุมหรือชายชุดดำ
แม้ว่าจะมีภาพถ่ายและวิดีโอที่เผยแพร่โดยศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งแสดงภาพชายชุดดำพร้อมอาวุธในพื้นที่ชุมนุม เช่น ที่แยกคอกวัวเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 แต่ทั้งสองฝ่ายยืนยันว่าไม่มีหลักฐานชี้ชัดว่าชายชุดดำเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของ นปช. หรือได้รับคำสั่งจากแกนนำ
ดังนั้น เมื่อเร็วนี้ๆ สมศักดิ์ เจียมซึ่งมีความเชื่อเรื่องชายชุดดำได้นำบันทึกผ่านเฟซบุ๊คของอาคม ซิดนีย์ ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนคนเสื้อแดงคนสำคัญมาเปิดเผยซ้ำเพื่อยืนยันการมีอยู่จริงของชายชุดดำ
ก่อนอื่นมาดูว่า อาคม ซิดนีย์เป็นใคร เขามีชื่อจริงว่า องอาจ ธนกมลนันท์ ภูมิหลังเดิมทำธุรกิจในประเทศไทยที่บางกรวย จังหวัดนนทบุรี ก่อนย้ายไปอยู่ออสเตรเลีย โดยเปลี่ยนชื่อและตัวตนเพื่อดำเนินชีวิตและทำกิจกรรมทางการเมืองในต่างประเทศ มีลูกสาว 2 คน และมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงในระดับที่บางแหล่งระบุว่าเป็น “เศรษฐี”
อาคม ซิดนีย์ เป็นที่รู้จักจากการจัดรายการวิทยุออนไลน์ที่เผยแพร่แนวคิดสนับสนุนประชาธิปไตยและวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย โดยเฉพาะในช่วงหลังการรัฐประหาร 2549 และการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงในปี 2553 เขาให้การสนับสนุนด้านการเงินแก่ “ดร.เพียงดิน รักไทย” ซึ่งเป็นอีกหนึ่งนักจัดรายการวิทยุออนไลน์ที่อยู่ในขบวนการเดียวกัน
เขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่ม “แดงนอก” หรือกลุ่มคนเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวในต่างประเทศ ร่วมกับบุคคลอื่นๆ เช่น เอนก ซานฟราน, ชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ และวู๊ดไซด์ นิวยอร์ค โดยกลุ่มนี้มักวิพากษ์วิจารณ์การเมืองไทย รวมถึงสถาบันกษัตริย์ผ่านสื่อออนไลน์และในนาม “มหาวิทยาลัยประชาชน”
อาคม ซิดนีย์ เพิ่งโพสต์ในเฟซบุ๊คของเขาและสมศักดิ์นำมาเผยแพร่ระบุว่า ครั้งหนึ่งเขาเดินทางไปเยี่ยมจักรภพ เพ็ญแข ที่กัมพูชา และอ้างว่าได้พบกับกลุ่มชายชุดดำซึ่งหลบหนีอยู่ที่นั่น พร้อมระบุว่า “ฮุนเซน” อดีตนายกรัฐมนตรีกัมพูชา ส่งอาวุธ 2 ตู้คอนเทนเนอร์ให้กลุ่มเสื้อแดงเพื่อใช้ในการชุมนุม และยังพบกับมือปืนที่เป็นอดีตทหารเกี่ยวข้องกับการยิงสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำกลุ่มพันธมิตรฯ
การอ้างว่า คนเสื้อชุมนุมโดยสงบไม่มีกองกำลังติดอาวุธเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลย ในการชุมนุมของคนเสื้อแดงมีการยิงเอ็ม 79 โจมตีสถานที่ต่างๆหลายครั้ง เช่น ถนนสีลม (ใกล้สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง): คืนวันที่ 22 เมษายน2553 มีการยิงระเบิดเอ็ม79 รวม 5 ครั้งในพื้นที่นี้ ครั้งแรกเวลาประมาณ20.00น. ที่สถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง ระเบิดอีกลูกที่หน้าโรงแรมดุสิตธานีกรุงเทพฯ ใต้สกายวอล์ก และอีกลูกหน้าธนาคารกรุงศรีอยุธยาสาขาศาลาแดง ส่งผลให้มีผู้บาดเจ็บ 87 คน เสียชีวิต 3คน.
หน้าตึก “อื้อจื่อเหลียง” และสวนลุมพินี มีการยิงเอ็ม79 หลายลูกบริเวณหน้าโรงแรมดุสิตธานีและลานพระราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในสวนลุมพินี และบริเวณแยกราชประสงค์ และมีรายงานอีกหลายกรณีที่พบการยิงระเบิดเอ็ม79 เข้าใส่จุดสำคัญในตัวเมือง
รวมถึงเมื่อวันที่ 24 เมษายน 2553 เวลา 21.00 น.เกิดเหตุยิง ลูกระเบิด M79 ตกในเขตพระบรมมหาราชวัง ตกใกล้ วัดพระแก้ว (พระอุโบสถ) ไม่ไกลจากพระเจดีย์ใหญ่ แต่ไม่พบผู้บาดเจ็บ เพราะเกิดขึ้นตอนกลางคืน
การเปิดเผยผ่านเฟซบุ๊กของอาคม ซิดนีย์ซึ่งเคยเป็นคนเสื้อแดงมาก่อนจึงสอดคล้องกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงจึงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่า มีการจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธขึ้นมาจริง จนทหารไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ที่จะต้องใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุม จนเกิดโศกนาฏกรรมจนมีผู้เสียชีวิตจำนวนมาก
บนเวทีมีการพูดถึง “แก้วสามประการ” ในความหมายที่ประกอบด้วย พรรคการเมือง มวลชน และกองกำลังติดอาวุธ ในเวทีของคนเสื้อแดงและแกนนำนปช. โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากคำปราศรัยของนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำ นปช. ในปี 2553 ที่กล่าวว่า “ถึงเวลามาสุดท้าย เกิดกองกำลังติดอาวุธขึ้นมา มันครบแก้วสามประการ มันพร้อมรบแล้ว” นอกจากนี้ ยังมีข้อมูลจากบทความทางการเมืองที่กล่าวถึงชายชุดดำซึ่งเป็นกองกำลังติดอาวุธที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มเสื้อแดง ซึ่งเชื่อมโยงกับการมีทั้งพรรคการเมืองและมวลชนในขบวนการเดียวกัน
ส่วนจักรภพนั้นก็อยู่ในกลุ่มเสื้อแดงฮาร์ดคอร์ หลังจากลี้ภัย จักรภพกลายเป็นผู้นำสำคัญของกลุ่ม Red Siam ซึ่งเป็นกลุ่มย่อยที่แยกตัวออกจากแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง โดยกลุ่มนี้มีแนวคิดที่รุนแรงกว่ากระแสหลักของ นปช. โดยเฉพาะในประเด็นการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจในประเทศไทย รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ระบบ “อำมาตย์” รวมถึงความพยายามจะตั้งรัฐบาลพลัดถิ่นในเขมร
จักรภพมีความเชื่อมโยงกับนักเคลื่อนไหวคนเสื้อแดงและนักการเมืองที่ลี้ภัย เช่น นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ (อดีตคอมมิวนิสต์ที่ถูกจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพและเสียชีวิตแล้ว) และกลุ่ม “แดงนอก” เช่น อาคม ซิดนีย์, เอนก ซานฟราน, และชูพงศ์ เปลี่ยนระบอบ ที่มีแนวคิดรุนแรง
จักรภพกลับประเทศไทยในวันที่ 28 มีนาคม 2567 หลังจากลี้ภัยนาน 15 ปี โดยอ้างว่าเขากลับมาเพื่อ “รับใช้ชาติ” และมองว่าสถานการณ์การเมืองในไทยดีขึ้นหลังจากการเลือกตั้งปี 2566 และการสิ้นสุดของระบอบ คสช. อย่างไรก็ตาม เขาถูกควบคุมตัวทันทีที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อดำเนินคดีในข้อหาครอบครองอาวุธและการชุมนุมโดยผิดกฎหมาย แต่ต่อมาได้รับการประกันตัว และมีข่าวว่า เขาจะได้รับการแต่งตั้งเป็นโฆษกรัฐบาลคนใหม่
อาคมเล่าว่าเขาได้สอบถามจักรภพว่า “ทำไมสมเด็จฮุน เซนเมื่อโค่นล้มกษัตริย์ได้แล้ว เหตุใดยังยกย่องให้เป็นประมุขแห่งรัฐ” จักรภพจึงเล่าให้ฟังว่า นี่เป็นเรื่องที่สมเด็จฮุน เซนได้อธิบายและแนะนำ...ว่า “การล้มกษัตริย์ราชวงศ์ ไม่จำเป็นต้องฆ่าแกงหรือจับติดคุก ในทางตรงกันข้ามควรเลี้ยงดูกษัตริย์ราชวงศ์ให้ดีที่สุด แต่ไม่ให้มีอำนาจ”
เรื่องราวเหล่านี้สะท้อนถึงการมีอยู่จริงของชายชุดดำซึ่งจริงๆ ก็ปรากฏให้เห็นในคลิปอยู่แล้ว และเป้าหมายที่จะเปลี่ยนแปลงระบอบ แต่คนเสื้อแดงบางคนยังแอบอ้างว่า เป็นวาทกรรมของฝ่ายรัฐเพื่อใช้เป็นใบเสร็จในการสลายการชุมนุม และสะท้อนสายสัมพันธ์ที่เคยเกื้อหนุนกันของทักษิณและฮุน เซนก่อนที่จะเกิดความขัดแย้งกันและถูกฮุน เซนเอามาแฉในวันนี้