“ดูก่อนกิมพิละ เมื่อตถาคตปรินิพพานแล้ว พุทธบริษัท 4 ในพระธรรมนี้คือ ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา ไม่เคารพในพระพุทธ ไม่เคารพในพระสงฆ์ ไม่เคารพในการศึกษา ไม่เคารพในกันและกัน นี่แลคือเหตุทำให้พระสัทธรรมคำสอนตั้งอยู่ไม่ได้นาน” พุทธพจน์
โดยแห่งพุทธพจน์ข้างต้น ได้ตรัสไว้ชัดเจนว่าศาสนาของพระองค์จะดำรงอยู่ได้หรือเสื่อมสลายไปขึ้นอยู่กับบุคคล 4 ประเภทดังกล่าวข้างต้น
ประเทศไทยเป็นเมืองพุทธ ประชากรของประเทศกว่า 90% นับถือพุทธ มีวัดพุทธเป็นจำนวนหมื่นและภิกษุสามเณรจำนวนแสน ดังนั้น ศาสนาพุทธจึงเป็นสถาบันหลักของชาติควบคู่กับสถาบันพระมหากษัตริย์ นับตั้งแต่สุโขทัยมาจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ทางสังคมดังต่อไปนี้
1. พุทธศาสนาเป็นศูนย์กลางการเรียนรู้และฝึกอบรมทางด้านจิตใจ เมื่อปลูกฝังคุณธรรมและจริยธรรมให้คนเป็นคนดี มีคุณค่า เพื่อพัฒนาสังคม
2. พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นพุทธมามกะ ทรงตั้งมั่นอยู่ในทศพิธราชธรรมอันเป็นคำสอนของพระพุทธองค์ และทรงเป็นศาสนูปถัมภก ทะนุบำรุงพระศาสนาตลอดมา
3. ผู้ชายไทยส่วนใหญ่จะบวชเป็นภิกษุเพื่อเรียนรู้คำสอนของศาสนา และฝึกอบรมจิตใจระยะหนึ่ง อาจเป็นเวลา 7 วัน 15 วัน 3 เดือนหรือตลอดชีวิต ขึ้นอยู่กับศรัทธา ส่วนผู้หญิงก็จะเข้าวัดทำบุญ ถือศีล บำเพ็ญภาวนาตามแต่โอกาสหรือในเทศกาลทางศาสนา
ด้วยเหตุปัจจัย 3 ประการข้างต้น พุทธศาสนาจึงมีส่วนเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของคนไทยมาช้านาน จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของสังคมไทย
แต่ในปัจจุบันผู้คนในสังคมไทยส่วนหนึ่งเปลี่ยนไป เนื่องจากอิทธิพลของวัตถุนิยมจากโลกตะวันตกเข้ามาครอบงำ โดยผ่านทางการศึกษา และระบอบการปกครอง จึงทำให้คนไทยส่วนหนึ่งโดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ที่มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับประเทศไทยซึ่งเป็นบ้านเกิดของตนเองน้อยกว่าประเทศตะวันตก ซึ่งตนได้ศึกษาเล่าเรียนมาจึงได้พยายามที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นเหมือนประเทศตะวันตก ทั้งๆ ที่ชาวตะวันตกส่วนหนึ่งได้หันมาศึกษาเรียนรู้คำสอนของศาสนาพุทธ และเน้นการปฏิบัติอย่างจริงจัง จนเกิดศรัทธาและเข้ามาบวชเป็นภิกษุแล้วนำคำสอนของพุทธไปเผยแผ่ในโลกตะวันตกก็มีไม่น้อย
ด้วยเหตุที่คนไทยส่วนหนึ่งไม่รู้ ไม่เข้าใจคำสอนของพุทธศาสนา และไม่เห็นค่าของคำสอน
คนเหล่านี้เองที่ทำให้ศาสนาพุทธเสื่อมจากการเข้าวัดไม่ถึงวัดไปหาพระไม่พบพระ แต่ไปด้วยพลังศรัทธาอาศัยคือ เข้าวัดเพื่อหาประโยชน์จากวัด โดยมีพระที่เป็นพระเพียงรูปลักษณ์คือ นุ่งเหลืองห่มเหลือง โกนผม โกนคิ้ว แต่ไม่เคร่งครัดในศีล และไม่ตั้งอยู่ในธรรม เป็นประเภทบวชกายไม่บวชใจ จึงถูกคฤหัสถ์ชักนำไปในทางที่เลว เช่น เสพสุรา บ้าการพนัน และหมุนในกาม จึงตกเป็นเหยื่อของสีกาที่เข้าหาพระเพื่อต้มตุ๋นพระโดยการใช้ร่างกายถวายเป็นไทยทานแทนข้าวปลาอาหาร แล้วเก็บหลักฐานไว้รีดไถเงินทองเพื่อแลกกับการไม่เปิดเผยความลับ เฉกเช่นสีกากอล์ฟได้กระทำต่อเจ้าอาวาสหลายวัด และได้กลายเป็นข่าวฉาวโฉ่เมื่อพระเหล่านั้นยอมลาสิกขาเป็นที่รู้กันทั่วอยู่ในขณะนี้
ดังนั้น จึงเป็นหน้าที่ของชาวพุทธ โดยเฉพาะรัฐบาลจะต้องเข้ามาดูแลแก้ไขและป้องกันมิให้เรื่องทำนองนี้เกิดขึ้นอีก
ส่วนว่าจะแก้ไขและป้องกันอย่างไรนั้น ทำได้ไม่ยากเพียงแต่ควบคุมและกำกับดูแลให้พระปฏิบัติตามพระวินัย โดยการไม่จับต้องเงินทองและข้าวของมีค่า ทั้งไม่สะสมเงินทองซึ่งเป็นเหตุให้สีกาเข้าหาแล้วทำตัวใกล้ชิดจนกลายเป็นความสัมพันธ์เชิงชู้สาวเกิดขึ้น
ในขณะเดียวกัน สงฆ์ฝ่ายปกครองจะต้องควบคุมกำกับดูแลให้พระภิกษุปฏิบัติตนให้อยู่ในพระวินัยในการต้อนรับแขกซึ่งเป็นสตรีเพศ ไม่สิกขาบทโดยมิให้อยู่ในที่ลับหูลับตาสองต่อสองกับมาตุคาม เป็นต้น
เพียงแค่นี้ก็ป้องกันมิให้สีกาหลอกพระได้แล้ว