ชะตากรรมของแพทองธาร ในฐานะนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมนั้น น่าจะเหลือเพียงแสงที่ริบหรี่มีโอกาสมากที่ศาลรัฐธรรมนูญจะถอดถอนให้พ้นจากตำแหน่ง หากไม่ชิงลาออกเสียก่อน ผมเชื่อว่าอนาคตของแพทองธารน่าจะลงแค่นี้ แม้ว่าทักษิณพยายามจะสร้างเรื่องบนเวทีเนชั่นให้เข้าใจว่าทั้งหมดเป็นแผนที่ฮุนเซนวางไว้
แต่ผมคิดว่า สิ่งที่ศาลพิจารณาก็คือ เนื้อหาที่แพทองธารพูดกับฮุนเซนที่ปรากฏในคลิปต่างหาก จะมองว่า แพทองธารไม่ประสีประสา ไม่รู้เท่าทันเฒ่าอย่างฮุนเซนก็ไม่ได้ เพราะวันนี้แพทองธารมีสถานะเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศ ซึ่งรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 160 ได้บัญญัติถึงคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามของรัฐมนตรีไว้หลายประการซึ่งจะต้องมีครบถ้วนทุกข้อ โดยเฉพาะ (4) มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และ(5) ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง
ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาที่ประธานวุฒิสภายื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ และศาลรัฐธรรมนูญมีมติรับคำร้องไว้ด้วยเสียง 9-0 ให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ 7-2 แต่จริงก็คือ 9-0 เช่นเดียวกัน เพราะ 2 เสียงนั้นบอกให้หยุดปฏิบัติหน้าที่เฉพาะด้านคือ ด้านความมั่นคง ด้านต่างประเทศ ด้านการคลัง
แต่บนเวทีเนชั่น ทักษิณพยายามอธิบายให้เห็นว่า แพทองธารไม่ได้มีเจตนา โดยทักษิณเล่าว่าเมื่อวันที่ 15 มิถุนายน 2568 ฝ่ายกัมพูชา (ผ่านนายฮวดซึ่งเป็นล่ามแปลภาษาไทย-กัมพูชา) ติดต่อขอให้แพทองธารสนทนาทางโทรศัพท์กับสมเด็จฮุนเซนเพื่อหารือเกี่ยวกับความตึงเครียดบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาโดยเฉพาะประเด็นพื้นที่สามเหลี่ยมมรกต
เขากล่าวว่าแพทองธารเตรียมตัวอย่างเป็นทางการโดยเดินทางไปยังโรงแรมโรสวูดในกรุงเทพฯ พร้อมคณะผู้ติดตามซึ่งประกอบด้วยนายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม (ในขณะนั้น) นายมาริษเสงี่ยมพงษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และนพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี
ทักษิณระบุว่าแพทองธารและคณะรอสายจากฮุนเซนนานเกือบ 3 ชั่วโมงแต่ไม่มีการติดต่อผ่านช่องทางราชการ โดยฝ่ายกัมพูชาอ้างว่า “ฮุนเซนหลับอยู่” และส่งรูปถ่ายมาให้ดู
ทักษิณเล่าว่าหลังจากรอ 3 ชั่วโมงโดยไม่มีการติดต่อเขาบอกให้แพทองธารและคณะกลับได้เพราะเห็นว่าไม่มีการเจรจาเกิดขึ้น ต่อมาหลังจากแพทองธารกลับถึงบ้านฮุนเซนโทรศัพท์เข้าสู่เบอร์ส่วนตัวของแพทองธารโดยผ่านนายฮวดเป็นผู้ต่อสายการสนทนานี้เกิดขึ้นโดยไม่มีคณะผู้ติดตามอยู่ด้วย
เขาตั้งข้อสังเกตว่า “ฝ่ายกัมพูชาน่าจะตั้งใจบันทึกเสียงตั้งแต่แรก”และอาจเลือกโทร.เข้ามาในช่วงที่แพทองธารอยู่คนเดียวเพื่อให้การสนทนาเป็นไปอย่างไม่เป็นทางการ
ทักษิณกล่าวว่าเขาช็อกกับการกระทำของฮุนเซนที่บันทึกและปล่อยคลิปเสียงการสนทนาโดยระบุว่า “เคยเป็นพี่น้องกันแต่เมื่อทำกับลูกผมขนาดนี้ผมถึงกับช็อกมันเกิดขึ้นได้อย่างไร”เขาเชื่อว่าการปล่อยคลิปเสียงเป็น “แผนการ” ของฮุนเซนโดยกล่าวว่า “เขาไม่ได้ทำลายเราแต่ทำลายตัวเองความน่าเชื่อถือไม่มีแล้วไม่มีใครคบแล้ว”
ทักษิณยืนยันว่าแพทองธารปฏิบัติตามโปรโตคอลทางการทูตในตอนแรก โดยพาคณะรัฐมนตรีไปด้วยและการสนทนาที่เกิดขึ้นเป็นเพราะฮุนเซนโทร.เข้ามายังเบอร์ส่วนตัวโดยไม่คาดคิด
ทักษิณประกาศตัดสัมพันธ์ส่วนตัวกับฮุนเซนโดยกล่าวว่า “ลืมชื่อกันไปแล้ว” และเลิกคบกันอย่างสิ้นเชิง เขากล่าวถึงความสัมพันธ์ที่ยาวนานกว่า 30 ปีกับฮุนเซนและแสดงความเสียใจที่ต้องจบลง โดยตั้งข้อสังเกตว่า “ผมสงสัยว่ามันเกิดอะไรขึ้นคงไปเหยียบตาปลาอะไรเข้าสักอย่าง”
ทักษิณย้ำความบริสุทธิ์ของแพทองธารในเหตุการณ์นี้ โดยกล่าวว่า “ความซื่อตรงของลูกสาว” ยังคงอยู่และหวังว่าศาลรัฐธรรมนูญจะตัดสินคดีที่เกี่ยวข้องด้วยข้อเท็จจริงโดยระบุว่า “ศาลต้องยึดข้อเท็จจริงไม่ใช่นิยาย”
เขาเชื่อว่าการปล่อยคลิปเสียงของฮุนเซนทำลายความน่าเชื่อถือของกัมพูชามากกว่าฝ่ายไทย และแพทองธารจะรอดพ้นจากข้อกล่าวหาในคดีที่ศาลพิจารณา
เราคิดว่าเนื้อหาสำคัญอยู่ที่เรื่องราวที่ทักษิณเล่าว่า แพทองธารมีการเตรียมการที่จะคุยกับฮุนเซนในลักษณะของโปรโตคอลหรือไม่ หรือนี่ต่างหากคือนิยายที่ถูกแต่งขึ้นเพื่อเบี่ยงเบนประเด็นในความไร้เดียงสา และอ่อนด้อยประสบการณ์ในการเป็นนายกรัฐมนตรีของแพทองธาร
ที่สำคัญถ้าเป็นลักษณะโปรโตคอลที่หมายถึงกฎเกณฑ์ มารยาท และแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสากลในการดำเนินการด้านการทูต ทำไมต้องไปที่โรงแรมโรสวูด และแม้ว่าจะเป็นจริงว่าถูกโทร.กลับมาเมื่อมาถึงบ้านแล้วโดยไม่มีคนอื่นอยู่ด้วย แพทองธารก็ไม่มีวุฒิภาวะพอที่จะรู้ว่าควรที่จะพูดกับผู้นำของชาติที่กำลังมีปัญหากับประเทศของตัวเองอย่างไรโดยไม่มีพี่เลี้ยงข้างตัว แพทองธารไม่ใช่เป็นเด็กน้อยที่อายุ 38 ปี เป็นแม่บ้านที่มีลูกสองคนนะ แต่เธอคือนายกรัฐมนตรี
ส่วนตัวผมเชื่อว่า สิ่งที่ทักษิณเล่าบนเวทีเนชั่นนั้น เป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้น เพื่อให้เกิดสภาพแวดล้อมที่ว่า แพทองธารมีเจตนาดีที่จะติดต่อกับฮุนเซน และตั้งใจที่จะติดต่อสื่อสารกันอย่างเป็นทางการในทีแรก แต่มีคำถามว่า แล้วทำไมเมื่ออ้างว่า ฮุนเซนโทร.กลับมาเมื่อแพทองธารถึงบ้านแล้ว จึงไม่รู้ว่า การเป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องพูดในลักษณะของโปรโตคอลอย่างไร
ผมจึงมั่นใจว่า สิ่งที่ศาลหยิบมาพิจารณานั้นจะต้องมองแพทองธารในฐานะนายกรัฐมนตรีของประเทศ ที่ต้องมีวุฒิภาวะ ต้องรู้ว่าการเป็นผู้นำประเทศนั้นจะต้องพูดจาอย่างไรในทางการทูต และการพูดว่า แม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งกำลังป้องกันกรณีพิพาทชายแดนกับประเทศคู่สนทนาว่า เป็นฝ่ายตรงข้ามนั้น เป็นคำพูดที่ไม่ควรออกจากปากนายกรัฐมนตรี ไม่ว่าสภาพแวดล้อมตอนนั้นเธอจะอยู่คนเดียวอย่างที่อ้างหรือไม่ก็ตาม
จะยกประโยชน์ว่าตอนนั้นแพทองธารไม่มีรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีต่างประเทศ หรือเลขาฯ นายกรัฐมนตรีไม่ได้อยู่ด้วย ก็คงจะไม่ได้ เพราะเธอไม่ใช่เด็กฝึกงานที่จะต้องมีพี่เลี้ยง แม้จะไม่มีประสบการณ์อะไรมาก่อนในชีวิต แต่เมื่อเป็นนายกรัฐมนตรีแล้วก็ต้องปฏิบัติตนให้ได้ตามคุณสมบัติที่ตัวเองรับผิดชอบอยู่
แน่นอนสิ่งที่จะตามมาก็คือ คดีอาญาที่ตอนนี้ ป.ป.ช.ได้ตั้งองค์คณะเพื่อสอบสวนเรื่องนี้แล้ว ถ้าศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมาเช่นไร ก็จะผูกพันทุกองค์กร ยังมีคดีที่มีผู้ไปแจ้งความกับตำรวจไว้อีกด้วย
ถ้าแพทองธารถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าให้พ้นจากตำแหน่ง เก้าอี้รัฐมนตรีวัฒนธรรมก็จะหลุดไปด้วย เพราะเท่ากับเธอขาดคุณสมบัติเป็นรัฐมนตรี
ผมคิดว่าตอนนี้กระแสสังคมนั้นมองเห็นกันทั่วหน้าแล้วว่า แพทองธารไม่มีคุณสมบัติที่จะเป็นนายกรัฐมนตรี ทั้งความรู้ความสามารถและสติปัญญา ไม่ต้องพูดถึงประสบการณ์และวุฒิภาวะ เห็นได้จากนิด้าโพลที่มีผู้สำรวจถึง 42.37% ระบุว่าแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีควรประกาศลาออกจากตำแหน่งเพื่อหานายกฯ คนใหม่
ตอนนี้ก็เหลือแต่ว่า ทักษิณจะคิดอย่างไร เชื่อว่านิยายที่ตัวเองเขียนขึ้นมาในงานเนชั่นจะช่วยให้รอด หรือว่าทักษิณจะเอาลูกสาวตัวเองออกจากเขียงเพื่อให้รอดจากการพิจารณาคดี ด้วยการชิงลาออกเสียก่อน
หรือทักษิณจะปล่อยให้แพทองธารไปเผชิญชะตากรรมเดียวกับที่ตัวเองและน้องสาวซึ่งเป็นอาของแพทองธารเคยเจอ แต่จะทำอย่างไรเมื่อวันนี้ช่องทางธรรมชาติจากเพื่อนรักนั้นถูกปิดลงไปแล้ว
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan