xs
xsm
sm
md
lg

อเมริกา-อิสราเอล...กำลังใกล้พังทลายไปพร้อมๆ กัน!!!

เผยแพร่:   ปรับปรุง:   โดย: ทับทิม พญาไท


เบนจามิน เนทันยาฮู
“ท่านประธานาธิบดีที่เคารพ...ผมอยากแสดงให้เห็นว่า ผมได้ส่งจดหมายไปยังคณะกรรมการรางวัลโนเบล ไพรซ์ เพื่อที่จะเสนอให้ท่านเป็นผู้ได้รับรางวัลแห่งสันติภาพ อันเป็นสิ่งที่ท่านสมควรจะได้รับเป็นอย่างยิ่ง” นี่...ว่ากันว่านี่คือคำพูด คำกล่าว ของผู้นำอิสราเอล “นายBenjamin Netanyahu” ทันทีที่ได้มีโอกาสเจอะเจอผู้นำอเมริกา หรือขณะเดินทางไปเยือนอเมริกาคราวล่าสุด เมื่อไม่กี่วันมานี้... 

ส่วนจะถือเป็นคำพูดที่ฟังแล้วหยาดเยิ้มหยดย้อย หรือฟังแล้วเศษอาหารในกระเพาะและลำไส้อาจต้องล้นทะลักออกมาทางปากหรือไม่? อย่างไร? ก็แล้วแต่จะว่ากันไป แต่ที่แน่ๆ...ต้องถือเป็นคำพูดของผู้ที่ได้ชื่อว่าเหี้ยมโหดอำมหิต ผิดมนุษย์มนา ผู้ที่ได้ “ฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ชาวปาเลสไตน์ไม่ว่าเด็ก-ผู้หญิง-คนชรา ตายไปเป็นหมื่นๆ แถมยังถูกศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับอยู่จนทุกวันนี้ แต่ยังพยายามแสดงออกถึงความปรารถนาและต้องการอยากจะให้ผู้ที่มีส่วนร่วมกับประเทศตัวเองในการทำสงครามกับประเทศอิหร่าน เมื่อครั้ง “สงคราม 12 วัน” จนส่งผลให้ผู้คนล้มตายไปไม่น้อยกว่า 1,000 คน ได้มีโอกาสรับรางวัล “Nobel Peace Prize” แบบชนิดใครต่อใครอาจต้องอ้วกแตก อ้วกแตน กันไปทั่วทั้งโลก อะไรประมาณนั้น... 

อย่างไรก็ตาม...โดยสรุปรวมความแล้วการเดินทางไปพบปะผู้นำอเมริกาครั้งที่ 3 เข้าไปแล้ว นับจาก “ทรัมป์บ้า” ขึ้นมาดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีเป็นครั้งที่ 2 คงไม่ได้มุ่งที่จะมา“อวย” หรือมา “ยอวาที” ผู้นำอเมริกาแต่เพียงล้วนๆ หรือถ้าว่ากันตามความคิด ความเห็น ของนักวิชาการผู้เชี่ยวชาญชาวรัสเซียจาก “RUDN University” อย่าง “นายFarhad Ibragimov” ที่ได้สรุปไว้ในข้อเขียน บทความชิ้นล่าสุด ว่าด้วยเรื่อง “Another War, Another trip, Another Ask: Netanyahu Return to Washington” นอกจากเรื่องการคิดจะให้อเมริกากดดันผู้นำซีเรีย และอดีตผู้ก่อการร้ายอย่าง “นายAbu Mohammad al-Julani” ให้ประกาศรับรองยกดินแดนประเทศซีเรีย อย่างที่ราบสูงโกลันให้กับอิสราเอลอย่างเป็นการถาวร ยังอาจหมายรวมไปถึงความพยายามฉุดลากกระชากถูให้พันธมิตรอย่างอเมริกาเข้าร่วมและสนับสนุนการทำสงครามอย่างมิมีวันรู้เบื่อ หรือ “สงครามตลอดกาล” ของอิสราเอล ไม่ว่าจะสงครามกับพวกฮามาสในเขตฉนวนกาซาที่ยังไม่แล้วเสร็จ ไปจนถึง “สงครามครั้งใหม่กับอิหร่าน” เอาเลยก็ไม่แน่!!! 

จริง-ไม่จริง...คงต้องจับตากันต่อไปอย่างมิอาจกะพริบตา แต่สำหรับฝ่ายอิหร่านแล้วไม่ว่าจะดูจากกระแสข่าวที่สำนักข่าว “Press TV” ของอิหร่านเขาได้อ้างถึง “แหล่งข่าวระดับสูง”ด้านความมั่นคง ว่าอิสราเอลกำลังคิดเปิดฉากสงครามครั้งใหม่กับอิหร่านในอีกไม่ช้า-ไม่นานนับจากนี้ หรือการเปิดเผยของ“พลเอกAbolfazl Sheharchi” โฆษกกองทัพอิหร่านถึงการ“เตรียมพร้อมขั้นสูงสุด” โอกาสจะเกิดอาการ “เตร๊ง-เตรง-เตร่ง-ต๋อย...ไฟไหม้มูลฝอยดังพรึ่บ” ขึ้นมาอีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้เอาเลย แม้ว่าเท่าที่ผ่านมาใน “สงคราม 12 วัน” ฝ่ายอิสราเอลน่าจะอ่วมอรทัยกันไปมิใช่น้อย ดังที่หนังสือพิมพ์ “The Telegraph” เขาได้อ้างถึงภาพถ่ายดาวเทียมของสำนักวิจัย“Oregon State University Researchers” เอาไว้เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 ก.ย.) นั่นแหละว่า ที่ตั้งทางทหารสำคัญๆ ถึง 5 แห่งไม่ว่าฐานทัพอากาศหลักๆ ศูนย์รวบรวมข่าวสาร ฐานส่งกำลังบำรุง ฯลฯ ต่างถูกขีปนาวุธอิหร่านที่สามารถเจาะทะลวงระบบป้องกัน “Iron Dome” ได้ถึง 16 เปอร์เซ็นต์ พังทลายแบบชนิดราบเรียบเป็นหน้ากลอง... 

และความพยายามจะฉุดกระชากลากถูให้คุณพ่ออเมริการ่วมหัวจมท้ายในการสร้างความฉิบหายให้อิหร่านอีกครั้ง ก็ใช่ว่าจะเป็นเรื่องกล้วยๆ-ง่ายๆ-สบายๆ ซะเมื่อไหร่ แม้จะได้ชื่อว่า“มหาอำนาจสูงสุด” ของโลกใบนี้ก็เถอะ เพราะอย่างที่สำนักข่าว “Haaretz” ของอิสราเอลเอง เขาได้เปิดเผยเอาไว้นั่นแหละว่า เฉพาะแค่ช่วงเวลา 12 วันหรือไม่ถึง 2 สัปดาห์ กองทัพอเมริกันถึงกับต้องควักขีปนาวุธสกัดกั้นอย่าง “THAAD”จำนวนถึง 93 ลูกเป็นอย่างน้อย มาช่วยปกป้องอิสราเอลจากการโจมตีของอิหร่าน ขณะที่อเมริกาสามารถผลิตขีปนาวุธชนิดนี้ได้เพียงปีละ 36-48 ลูกเท่านั้นเอง หรือเท่ากับต้องใช้ปริมาณอาวุธที่ผลิตได้ในช่วงระยะเวลา 2 ปีไปแทบเกลี้ยง!!! เพียงแค่ภายในช่วงสัปดาห์กว่าๆ... 

และนั่น...อาจกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้การส่งอาวุธไปช่วยเหลือประเทศยูเครน ในการทำศึกกับรัสเซีย เกิดอาการสะดุดหัวทิ่มหัวตำ อย่างเห็นได้โดยชัดเจน ไม่ว่าจรวดป้องกันภัยทางอากาศ กระสุนปืนใหญ่ 155 ไปจนถึงจรวดติดตั้งในเครื่องบิน “F-16” ฯลฯ ส่งผลให้รัฐมนตรีกลาโหม “Pete Hegseth” ไปจนโฆษกรัฐบาล “Anna Kelly” ต้องออกมาอ้างถึงความเป็น“American First” หรือความที่ต้องยึดผลประโยชน์อเมริกาเอาไว้ก่อน ภายใต้สภาพที่ยุทโธปกรณ์แต่ละชนิดของตัวเองแทบไม่เหลือติดคลังหรือแทบไม่เหลือไว้ป้องกันประเทศอเมริกา อันเนื่องมาจากการเข้าไป “เสือก” หรือเข้าไปมีส่วนร่วมทำศึกสงครามใน “แนวรบ” แต่ละด้านนั่นเอง... 

เพราะอย่าง “แนวรบยุโรปตะวันออก” นั้น...แม้แต่เลขาธิการ “NATO” “นายMark Rutte” ก็ยังต้องยอมรับสารภาพกับหนังสือพิมพ์ “The New York Times” เมื่อช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 ก.ค.) ว่า...ภายในช่วงเวลาแค่ 3 เดือนฝ่ายรัสเซียสามารถผลิตอาวุธได้มากกว่า 3 เท่าของบรรดาประเทศ “NATO” ทั้งหลายรวมกัน หรือถ้าว่ากันตามที่ผู้นำรัสเซีย ประธานาธิบดี “ปูติน” ท่านได้ “สมรักษ์ คำสิงห์” ไว้ก่อนหน้านี้ ว่าอาจมากกว่า “NATO” ถึง 10 เท่าเอาเลยถึงขั้นนั้น ไม่ต่างไปจาก “แนวรบตะวันออกกลาง” นั่นแหละ ตลอดช่วงเวลาที่ถูกข่มขู่ คุกคาม โดยอเมริกา-อิสราเอลและชาติตะวันตกมาโดยตลอด ทำให้ฝ่ายอิหร่านเขาหนีไม่พ้นต้องเร่งสะสมขีปนาวุธต่างๆ เอาไว้ใน “เมืองจรวด” นับเป็นแสนๆ ลูก ยิ่งถ้าหากคุณพี่จีนคิดจะบุกไต้หวันขึ้นมาจริงๆ หรือต้องเจอกับ “แนวรบทะเลจีนใต้”เข้าไปอีกดอกโอกาสที่ “มหาอำนาจสูงสุด” อย่างคุณพ่ออเมริกา อาจต้องขอร้องให้บรรดาพันธมิตรทั้งหลาย “แกว่งสากกะเบือ” เพื่อสู้กับใครต่อใครไปพลางๆ ย่อมมีโอกาสเป็นไปได้สูงเอามากๆ... 

และอาจด้วยสภาพที่ออกจะป้อแป้ ปวกเปียก เช่นนี้นี่เอง...แนวความคิดที่จะทำให้ “อเมริกากลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง” ในฐานะจ้าวโลก ประมุขโลก หรือเพื่อให้ “America Great Again” ตามแบบฉบับของ “ทรัมป์บ้า” จึงหนีไม่พ้นต้องอัดเงิน-อัดทอง ทุ่มเงิน-ทุ่มทองให้กับพลังอำนาจทางทหาร หรือทำให้งบประมาณด้านการทหารของอเมริกาพุ่งขึ้นไปถึงกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ อันกลายเป็นที่มาของการจัดสรรงบประมาณแบบที่เรียกว่า “Big, Beautiful Bill’s” นั่นเอง หรืองบประมาณที่ต้องเพิ่มตัวเลขขาดดุลไปเกือบ 2.5 ล้านล้านดอลลาร์อันทำให้ “หนี้สินอเมริกา” ที่มีอยู่แล้วถึง 36 ล้านล้านดอลลาร์ ต้องเพิ่มขึ้นแบบพรวดๆ พราดๆ ไปกว่า 38 ล้านล้านดอลลาร์ภายในแค่ชั่วเวลาสั้นๆ จนอาจนำไปสู่ “ความล้มละลาย” ของประเทศทั้งประเทศชนิดที่อดีตผู้สนับสนุน “ทรัมป์บ้า” อย่าง “นายElon Musk” ยังอดไม่ได้ต้องออกมาต่อต้าน คัดค้าน อย่างตรงไป-ตรงมา แม้จะถูกเสือกไส ไล่ส่ง ให้กลับไปอยู่แอฟริกาใต้ก็ตามหรืออย่างน้อย...ก็ยิ่งจะก่อให้เกิด “ความเสี่ยง” ต่อเงินสกุลดอลลาร์ของสหรัฐฯ อย่างมิอาจปฏิเสธได้เลย... 

ความพยายามฉุดกระชากลากถูให้อเมริกาเข้าร่วมสงคราม ด้วยการยกยอปอปั้น ด้วยการเสนอชื่อให้เป็นผู้ที่ควรจะได้รับรางวัลโนเบลเพื่อสันติภาพ ของผู้นำอิสราเอล อย่าง“นายBenjamin Netanyahu” จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากการฉุดให้ลงเหว หรือให้ต้องฉิบหาย-วายวอดไปด้วยกันทั้งคู่นั่นเองโดยเฉพาะตราบใดที่แนวคิดในการทำให้ “America Great Again” ของ “ทรัมป์บ้า” ยังคงหมายถึง “ความยิ่งใหญ่” แบบที่โลกทั้งโลกยังคงต้องยอมศิโรราบให้กับมหาอำนาจสูงสุดอย่างอเมริกา หรือ “โลกขั้วอำนาจเดียว” ไม่ใช่โลกที่ถูกปรับ ถูกเปลี่ยน ให้เป็นไปดังที่ผู้นำบราซิล “นายLuiz Inacio Lula da Silva” ท่านได้ป่าวประกาศเอาไว้ชัดเจนในระหว่างการประชุมกลุ่มประเทศ “BRICS” เมื่อไม่กี่วันมานี้ว่า “โลกได้เปลี่ยนแปลงไปแล้ว และเราไม่ต้องการให้จักรพรรดิผู้หนึ่ง-ผู้ใดเป็นผู้ปกครอง” หรือโลกที่ได้กลายเป็น “โลกหลายขั้วอำนาจ”ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว... 

ด้วยเหตุนี้...แม้จะถูก “ทรัมป์บ้า” ข่มขู่คุกคามเอาไว้ล่วงหน้า ว่าประเทศใดๆ ก็ตามในกลุ่ม “BRICS” ที่คิดจะ “Anti-America” หรือไม่ยอมศิโรราบให้กับคุณพ่ออเมริกา ย่อมมีแต่ต้องเจอกับภาษีศุลกากรระดับ 10 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป แต่นั่น...ก็คงไม่ได้ทำให้บรรดาประเทศกลุ่ม “BRICS” ทั้งหลาย เลิกคิดที่จะซื้อ-ขาย-แลกเปลี่ยนกันและกัน ด้วย “เงินตราสกุลท้องถิ่น” เป็นหลัก อันถือเป็น “ผลประโยชน์” และ “เสถียรภาพความมั่นคง”ของแต่ละประเทศ โดยเฉพาะเมื่อต้องคำนึงถึง “ความเสี่ยง”อันมีที่มาจาก “เงินสกุลดอลลาร์” ของอเมริกันนั่นเอง... 

ดังนั้น...ถึงแม้แต่ละประเทศในกลุ่ม “BRICS” ต่างก็ยืนยันถึงการเปิดกว้าง การร่วมมือ-ร่วมใจระหว่างกันและกัน โดยไม่ได้คิดตั้งตัวเป็นศัตรู คิดต่อต้านประเทศหนึ่ง-ประเทศใดกันโดยเฉพาะ แต่ด้วยเหตุเพราะการยึดมั่นอยู่กับ “ผลประโยชน์” และ“เสถียรภาพความมั่นคง” ของแต่ละประเทศนั่นเอง ที่ย่อมส่งผลให้ “อาวุธ” อีกชนิดหนึ่งของอเมริกา อันทรงพลังไม่น้อยกว่ากองทัพอเมริกัน นั่นคือ “เงินดอลลาร์” ย่อมไม่มีโอกาสที่จะกลับมา “Great Again” ได้อีกเลย มีแต่ต้องเสื่อมโทรมและทรุดโทรมลงไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับ “จักรวรรดิอเมริกา” ที่แม้จะมี“พระจักรพรรดิ” ผู้มีนามกรว่า “ทรัมป์บ้า” ผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศอยู่จนตราบเท่าทุกวันนี้ การเดินทางไปเยือนอเมริกาครั้งที่ 3 ของผู้นำอิสราเอล ก็จึงไม่ต่างไปจากการจูงมือชวนกันไปลงเหว ดังที่ว่าเอาไว้เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา...นั่นเอง!!! 


กำลังโหลดความคิดเห็น