หลังจากฮุนเซนปล่อยคลิปเสียงออกมาใครก็รู้ว่าความนิยมของพรรคร่วมรัฐบาลโดยเฉพาะแกนนำพรรคเพื่อไทยกำลังตกต่ำ ประจวบกับพรรคภูมิใจไทยถือโอกาสถอนตัวจากพรรคร่วมรัฐบาล จึงต้องมีการปรับครม. เราก็คิดกันว่าสถานการณ์แบบนี้ทักษิณน่าจะต้องจัดครม.ให้หน้าตาดูดี เพื่อให้สังคมยอมรับคือมีภาพที่ดี และใช้เวลาที่เหลือนี้ใช้คนที่มีความรู้ความสามารถเพื่อเรียกความศรัทธากลับคืนมา
แต่เมื่อเห็นโฉมหน้าของรัฐบาลชุดใหม่ที่มีคนใหม่บางคนเข้ามาเสริม บางคนยังอยู่ที่เดิม เอาหลานมาเป็น เอาลูกมาเป็นแทนพ่อ ดูหน้าดูตาแล้วก็ไม่เห็นเลยว่าจะสร้างความนิยมกลับมาได้อย่างไร เพื่อสู้กับพรรคประชาชนในการเลือกตั้งครั้งหน้า
พรรคประชาชนนั้นยังไม่เคยเป็นรัฐบาลก็จริง คนยังไม่เคยเห็นว่ามีฝีไม้ลายมือในการบริหารว่าเป็นอย่างไร แต่ถ้าภาพของการเมืองเก่าทำให้คนสิ้นหวัง คนส่วนใหญ่ก็จะเรียกหาสิ่งใหม่ๆ แม้ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้ว การฝากความหวังไว้กับสิ่งใหม่นั้นจะมีผลลัพธ์อย่างไรก็ตาม
แต่เขารู้อยู่แล้วว่ารัฐบาลปัจจุบันที่เต็มไปด้วยรัฐมนตรีผิดฝาผิดตัว เป็นรัฐมนตรีวงศาคณาญาติที่ไม่ได้คำนึงถึงความรู้ความสามารถ และไม่อาจจะฝากความหวังไว้ได้เลย เพราะการทำงานที่ผ่านมาแล้วหลังจากแพทองธาร ชินวัตรขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีก็ยังไม่เห็นผลงานอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แม้แต่เรื่องซอฟต์เพาเวอร์ที่เธอหมายมั่น เอางบประมาณไปแล้ว 5,000 กว่าล้านบาท มีอะไรที่เป็นรูปธรรมขึ้นมาบ้าง แล้วความรู้ความสามารถอะไรที่เธอจะไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมเสียเอง เธอมีคุณสมบัติอะไรเล่าที่จะมานั่งกระทรวงวัฒนธรรม
คนส่วนใหญ่เมื่อรู้ว่าอุ๊งอิ๊งค์จะมานั่งควบกระทรวงวัฒนธรรมก็พากันส่ายหน้าเป็นพัดลมกันหมด เมื่อนึกถึงภาพลักษณ์ บุคลิกภาพ และการกระทำของเธอที่ผ่านมา
บ้านเราตำแหน่งรัฐมนตรีมักเป็นโควตาทางการเมืองไม่จำเป็นต้องมีคุณวุฒิตรงสาย แต่หากยึดมาตรฐานแล้วคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีวัฒนธรรมควรจะมี “ความเข้าใจเชิงลึกในวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์” เธอไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้แม้มีคนพูดว่าการตั้งอุ๊งอิ๊งค์มาควบตำแหน่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมก็เพื่อเป็นกลยุทธ์ทางการเมือง ทำให้เธอสามารถเข้าร่วมประชุม ครม.ได้ เมื่อถูกศาลรัฐธรรมนูญสั่งหยุดปฏิบัติหน้าที่
แม้จะรู้ว่ากระทรวงนี้เป็นกระทรวงเล็กที่ไม่ค่อยมีใครอยากมานั่ง และก็ไม่เคยมีการตั้งรัฐมนตรีที่มีความรู้ความสามารถด้านวัฒนธรรมมาก่อน เอาแต่นักการเมืองที่ไม่ค่อยโดดเด่นมานั่งเป็นเพราะไม่สามารถสร้างความนิยมและสร้างชื่อเสียงได้จากผลงานในกระทรวง
แพทองธารไม่ใช่นายกรัฐมนตรีคนแรกที่ควบกระทรวงวัฒนธรรม แต่เคยมีนายกรัฐมนตรีที่เคยควบกระทรวงวัฒนธรรมมาก่อนก็คือ จอมพลป.พิบูลสงคราม ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้งกระทรวงนี้ขึ้นมาและเป็นรัฐมนตรีคนแรก เหตุผลที่จอมพลป.ต้องควบกระทรวงนี้ก็เพราะต้องการส่งเสริมชาตินิยมและความเป็นไทยเพื่อผลักดันนโยบายชาตินิยมและสร้างเอกภาพของชาติในช่วงเวลาที่ประเทศไทยเผชิญความท้าทายด้านอัตลักษณ์และความมั่นคง
เพราะบริบทของหลังสงครามโลกครั้งที่สองนั้นประเทศไทยต้องการสร้างความเป็นเอกภาพและอัตลักษณ์ของชาติ จอมพลป. ใช้นโยบายวัฒนธรรมเพื่อส่งเสริม “ความเป็นไทย” ผ่านการกำหนดวิถีชีวิต เช่น การแต่งกายแบบสากล การใช้ภาษาไทยและการส่งเสริมเพลงชาติ การควบตำแหน่งช่วยให้เขาผลักดันนโยบายชาตินิยมนี้อย่างเข้มข้น
แต่เหตุผลของอุ๊งอิ๊งค์นอกจากเหตุผลทางการเมืองแล้ว ก็นั่นแหละอ้างว่าเธอต้องการเข้ามาผลักดันซอฟต์เพาเวอร์ซึ่งเห็นแล้วว่า เธอไม่มีความรู้ความสามารถในด้านนี้เลยจากผลงานที่ผ่านมาที่เธอดูแลด้านนี้ก่อนจะเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรีและใช้เงินละเลงไปกับสายลม และที่เห็นคือเธอเป็นคนเห่อสินค้าแบรนด์เนมราคาแพงของต่างชาติมากกว่าสินค้าไทย
นอกจากไม่รู้ว่า อุ๊งอิ๊งค์มีคุณสมบัติอะไรที่มานั่งรัฐมนตรีวัฒนธรรมแล้ว ที่ตลกมากคือก่อนที่เธอจะมานั่งกระทรวงนี้คนที่เป็นรัฐมนตรีว่าการอยู่ก่อนก็คือ สุดาวรรณ หวังศุภกิจโกศล ที่ถึงตอนนี้ไม่ถึง 2 ปีตั้งแต่เข้าสู่การเมืองเป็นสมัยแรก เธอนั่งว่าการกระทรวงมาแล้วถึง 3 กระทรวง
สุดาวรรณเธอนั่งเป็นรัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา 7 เดือนครึ่ง และมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมอยู่ 14 เดือนก่อนเปิดทางให้แพทองธารแล้วย้ายไปนั่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษาวิทยาศาสตร์วิจัยและนวัตกรรม ที่ควรจะเป็นกระทรวงสำคัญในการพัฒนาบุคลากรของชาติไม่ใช่ส่งใครมานั่งก็ได้
ถ้าเป็นประเทศที่คำนึงถึงความรู้ความสามารถคนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีบริหารประเทศชาติไม่ใช่เพราะผลประโยชน์ทางการเมืองก็คงจะมีคำถามว่า เธอมีคุณสมบัติอะไรที่จะเป็นรัฐมนตรี แต่นี่เป็นประเทศไทย ก่อนที่จะเป็นรัฐมนตรีนั้นเธอมีประสบการณ์บริหารในฐานะกรรมการผู้จัดการบริษัท แป้งมันเอี่ยมเฮงอุตสาหกรรม จำกัด ซึ่งเป็นธุรกิจของครอบครัว
แต่คุณสมบัติที่สำคัญกว่านั้นก็ไม่ต่างจากอุ๊งอิ๊งค์ที่ขึ้นมาเพราะเป็นลูกทักษิณก็คือ เธอเป็นลูกสาวของนายวีรศักดิ์ หวังศุภกิจโกศล หรือ “กำนันป้อ” นักการเมืองท้องถิ่นที่มีอิทธิพลในจังหวัดนครราชสีมาเจ้าของธุรกิจโรงแป้งมันสำปะหลัง “เอี่ยมเฮง” และเคยดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงคมนาคมในสมัยรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา
อิทธิพลของวีรศักดิ์ก็คือเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการสร้างเครือข่ายทางการเมืองในนครราชสีมาโดยทีม “กำนันป้อ” สามารถกวาดที่นั่ง สส.ในจังหวัดนี้ได้ถึง 12 คนจาก 17 เขตในการเลือกตั้ง พ.ศ. 2566 นี่เองจึงเป็นคุณสมบัติที่สุดาวรรณจะต้องได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีและโยกย้ายมาแล้วถึง 3 กระทรวง ซึ่งน่าจะเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนสำหรับคนที่เพิ่งเข้าสู่การเมืองไม่ต่างกับอุ๊งอิ๊งค์ที่เข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี
รัฐมนตรีที่สะท้อนความมีเส้นสายและเป็นวงศาคณาญาติอีกคนก็คือ พงศ์กวิน จึงรุ่งเรืองกิจ หลานของสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ และเป็นลูกพี่ลูกน้องกับธนาธร อยู่ๆ ก็กระโดดขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกระทรวงแรงงานกระทรวงหลักของระบบเศรษฐกิจ กระทรวงนี้ถือเป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญในการยกระดับคุณภาพชีวิตแรงงาน และสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืน
เราไม่เคยเห็นฝีไม้ลายมือของเขามาก่อนว่า เคยทำอะไรประสบความสำเร็จนอกจากเคยดูแลธุรกิจในครอบครัวที่ทำธุรกิจรองเท้ายี่ห้อแอโร่ซอฟต์ ภายใต้ร่มเงาของบิดาคือโกศล จึงรุ่งเรืองกิจ ซึ่งเป็นพี่ชายของสุริยะ แม้จะเคยเป็น สส.และเข้าสู่การเมืองมาตั้งแต่ปี 2561 แต่ก็สะท้อนว่า เก้าอี้รัฐมนตรีนั้นถูกจัดวางด้วยผลประโยชน์ทางการเมืองมากกว่าประสบการณ์และความรู้ความสามารถ
ที่สร้างความแปลกประหลาดใจก็คือ การขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของนายฉันทวิชญ์ ตัณฑสิทธิ์ ในวัยเพียง 35 ปี ที่เป็นจุดสตาร์ทของคนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีพอดี ไม่มีใครเคยรู้จักมาก่อนว่าเขาเป็นใคร เพิ่งจะรู้ว่า เขาเป็นลูกของนายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เมื่อขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีแล้ว แม้เมื่อดูประวัติแล้วจะมีพื้นฐานการศึกษาที่ดี แต่คนที่จะเข้ามาเป็นรัฐมนตรีนั้นก็ควรจะมีประวัติผ่านการทำงานที่ยอมรับมาก่อนด้วย ไม่ใช่เพราะพ่อต้องการให้เป็น
การเมืองไทยจึงเป็นเรื่องของผลประโยชน์ต่างตอบแทนมากกว่าการหาคนที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาบริหารชาติบ้านเมือง
ติดตามผู้เขียนได้ที่ https://www.facebook.com/surawich.verawan