ในทันทีที่คลิปเสียงสนทนาระหว่างนายกรัฐมนตรีแห่งประเทศไทย กับสมเด็จฮุนเซน ประธานวุฒิสภาและประธานประเทศแห่งกัมพูชา ซึ่งกำลังมีปัญหาขัดแย้งกับประเทศไทย ถูกนำออกมาเผยแพร่โดยมีเนื้อหาบางส่วนที่คนไทยผู้รักชาติ รักแผ่นดิน ได้ฟังแล้วรับไม่ได้เช่น แม่ทัพภาคที่ 2 เป็นฝ่ายตรงกันข้ามกับเรา และถ้าต้องการอะไรให้บอกมา จะจัดการให้ เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นถ้อยคำที่ไม่ควรจะออกจากปากผู้นำประเทศในการเจรจากับฝ่ายศัตรู
ดังนั้น เสียงก่นด่าจากประชาชนจึงดังกึกก้องทั่วประเทศ ส่งผลกระทบทางการเมืองในวงกว้าง ทั้งต่อประเทศ รัฐบาล และพรรคเพื่อไทย รวมไปถึงครอบครัวและตัวนายกฯ เอง ทั้งนี้จะเห็นได้จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นตามมาดังต่อไปนี้
1. ได้มีผู้รู้ทั้งหลายออกมาตำหนิผู้นำที่กระทำไปโดยไม่คิดให้รอบคอบ และก่อให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศที่มีผู้นำอ่อนด้อยในการบริหารและการทูต
2. ทำให้รัฐแตกแยกเนื่องจากพรรคร่วมบางพรรคได้ถอนตัวจากการร่วมรัฐบาล และบางพรรคแตกออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งต้องการอยู่ต่อ และอีกกลุ่มต้องการถอนตัวถึงขั้นเกิดความขัดแย้งภายในพรรค
3. สว.กลุ่มหนึ่งได้ร้องต่อ ป.ป.ช.ให้สอบสวนคลิปเสียงดังกล่าวข้างต้น และส่งต่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อหาขัดจริยธรรม และให้หยุดปฏิบัติหน้าที่ระหว่างรอการวินิจฉัย
4. ประชาชนซึ่งนำโดยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ประธานมูลนิธิยามเฝ้าแผ่นดิน และนายจตุพร พรหมพันธุ์ เป็นต้น ได้นัดชุมนุมในวันที่ 28 มิ.ย. ณ บริเวณอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ เพียงเรียกร้องให้นายกฯ ลาออก
5. นักวิชาการจำนวน 55 ท่านจากมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้ลงชื่อถวายฎีกาเพื่อพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัยแก้ไขปัญหาวิกฤตชาติ
ถึงแม้ว่าได้มีเสียงเรียกร้องให้ยุบสภาฯ หรือลาออกจากกลุ่มต่างๆ แต่ดูเหมือนว่านายกฯ นิ่งเฉยไม่สนใจแถมยังเดินหน้าสร้างภาพเพื่อกลบเกลื่อนความผิด โดยการประชุม ผบ.เหล่าทัพแสดงความเด็ดขาดในการปกป้องประเทศ และปรับ ครม.เพื่ออยู่ต่อ ทั้งๆ ที่โอกาสจะอยู่ต่อมีน้อยมาก และความผิดพลาดจากคลิปสนทนาไม่มีทางลบล้างได้ เพราะธาตุแท้ของความเป็นนักการเมืองที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวก่อนส่วนรวมได้ถูกเปิดเผยแล้วโดยสิ้นเชิง