“สอดแนมการเมือง”
“ชัชวาลย์ ชาติสุทธิชัย”
“ชัช เจอพี่ที่ล็อบบี้โรงแรมรามาการ์เด้นท์นะ พี่กำลังจะไปต่างประเทศ!!!”
ผมดีใจ.. ดีใจจริงๆ ที่พี่สนธิจะเดินทางออกจากไทยชั่วคราว เนื่องจากมี “สื่อฯ อาวุโส” คนหนึ่งไปพบกับ“ ทหารใหญ่ รสช.” ถึงบ้านพัก และเสนอว่า.. “สนธิมันไม่กลัวทหาร พี่ต้องใช้เจ้าของบ่อนส่งมือปืนไปเก็บมัน!”
โชคดีที่หนึ่ง! มีนายทหารใหญ่คนหนึ่งได้ยินและไม่เห็นด้วยกับวิธีป่าเถื่อนเช่นนั้น เรื่องจึงมาถึง “พี่ ส.” กับผม เราสองคนจึงต้องบึ่งรถไปพบพี่สนธิที่ถนนพระอาทิตย์ เพื่อเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง และเป็นความโชคดีที่สอง! พี่สนธิผู้ไม่กลัวทหาร ยอมผละจาก “คิลลิ่งโซน” เดินทางไปต่างประเทศชั่วคราว!
ผมแยกกับพี่สนธิที่รามาการ์เด้นท์ โดยพี่สนธิมอบเช็คเงินสด 2 ล้านบาทให้ผม ส่วน “พี่ ส.” เดินไปส่งพี่สนธิถึงประตูเครื่องบิน!!! เป็นการคุ้มภัยให้พี่สนธิด้วยตนเอง แม้ว่า “พี่ ส.” จะได้โทรถึง “เจ้าของบ่อน” แห่งนั้นย้ำว่า “ถ้ามึงยิงสนธิเท่ากับมึงยิงกู!”
เงินพี่สนธิ 2 ล้านบาท ผมมอบให้ “พี่อ๋า ธัญญา ชุนชฎาธาร” นำไปทำงาน 1 ล้านบาท ส่วนผมนำมาทำงาน 1 ล้านบาท! เงินนี้มีเรื่องยุ่งตรงที่ พี่สนธิเคยให้สัมภาษณ์ว่า “ให้เงินชัช 10 ล้านบาท” ทั้งๆ ที่ต่อหน้าพี่ธิ-พี่ ส. ไอ้ชัชได้รับเช็คแค่ 2 ล้านบาท! ผมมารู้ความจริงช่วงต่อมาว่า พี่สนธิให้เงินอีก 9 ล้านบาท กับ “แกนนำคนหนึ่ง” ในกลุ่มของ พล.ต. จำลอง ศรีเมือง แต่มีข่าวพี่สนธิเคยบอก ให้เงินผม 10 ล้านบาท! และมีข่าวโกหกกระพือว่า “ไอ้ชัชมันรวยแล้ว” ทั้งๆ ที่มิใช่เรื่องจริงแม้แต่น้อย..
กลับมาที่สถานการณ์ “พฤษภาทมิฬ”.. หลัง มีชัย ฤชุพันธุ์ ร่างรัฐธรรมนูญใหม่เสร็จและประกาศใช้ผ่านการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2535 ขณะนั้นการเลือกตั้งมีการแบ่งเป็น “พรรคเทพ” กับ “พรรคมาร”
หลังเลือกตั้ง“ พรรคมาร” 5 พรรคที่หนุน รสช. คือ สามัคคีธรรม ได้ 79 เสียง ชาติไทย ได้ 74 เสียง กิจสังคม ได้ 31 เสียง ประชากรไทย ได้ 7 เสียง และราษฎร ได้ 4 เสียง รวมพรรคมาร ได้ 195 เสียง ส่วน“พรรคเทพ” ค้าน รสช มี 4 พรรค คือ ความหวังใหม่ ได้ 72 เสียง ประชาธิปัตย์ ได้ 44 เสียง พลังธรรม ได้ 41 เสียง เอกภาพ ได้ 6 เสียง พรรคเทพ รวมได้ 163 เสียง
เมื่อ “ทหารกลุ่ม รสช.” ดัน นายณรงค์ วงศ์วรรณ เป็นนายกฯ คนใหม่ไม่สำเร็จ เนื่องจากถูกสหรัฐอเมริกาค้านว่าเกี่ยวพันกับยาเสพติด พี่โต้งได้นัดเจอผมที่บ้านราชครูและบอกว่า “พ่ออยากให้ชัชช่วย รสช.” น้าชาติยังบอกผมว่า “ชัช.. คุณ ส.ไม่สะดวกจะเจอผม เขาขอให้ชัชประสานงานเรื่องผมกับนักการเมืองที่โดนยึดทรัพย์” ผมพยักหน้ารับแล้วรีบออกจากบ้านน้าชาติ มาเล่าเรื่องนี้ให้พี่โต้งฟังพร้อมกับสรุปว่า
“พี่โต้ง ไม่มีใครช่วยพวก รสช. ได้แล้ว เพราะบิ๊กสุรั้นไม่ยอมลงเลือกตั้ง พวก รสช. ไม่คิดจะช่วยตัวเองนี่ครับ!”
ผมยังบอกพี่โต้งเรื่อง “สาวไฮโซ” คนหนึ่งที่น้าชาติรู้จัก กับเรื่อง “นายทหารเพื่อนรัก” ของ “กลุ่มทหาร รสช.” ขอให้ผมหาทางช่วยรัฐบาล “บิ๊กสุ” ที่กำลังถูกผู้คนมากมายขับไล่อยู่ แต่บิ๊กสุดัน “ฆ่าตัวตายเอง” เพราะทำตัวเป็น“กระต่ายยืนขาเดียว” ไม่ยอมลงเลือกตั้ง แต่ดื้อจะเป็น “นายกฯ คนใหม่” ฟังจบพี่โต้งก็ขอให้ผมไปเล่าเรื่องนี้ให้น้าชาติฟัง
“ชัช ช่วยไปหาพ่อที่บ้านอีกครั้ง ชัชเล่าเรื่องผู้หญิงของบิ๊กสุให้พ่อฟังด้วยนะ” ผมเดินดุ่มๆไปบ้านน้าชาติอีกครั้ง เพื่อบอกเรื่อง “ผู้หญิงที่น้าชาติสนิท” ให้ตรวจสอบเรื่องที่ผมเล่า
ทว่า “อดีตนายกฯ” ยังยืนยันให้ผมหาทางช่วย “รัฐบาล รสช.” ทั้งๆ ที่“ กลุ่มทหาร รสช.” เป็นคนโค่นล้มรัฐบาลน้าชาติ! ผมเดินกลับมาหาพี่โต้ง พลางคิดว่า “ทำไมพ่อลูกชุณหะวัณถึงใจกว้างอย่างนี้วะ?!”
ผมออกจากบ้านเรือนไทยของพี่โต้งโดยมีคำพูดพี่โต้งก้องอยู่ในหัวว่า “ชัช.. ถ้าพวก รสช. ดื้ออย่างนั้น ก็ตัวใครตัวมันว่ะ”!!!
นอกจากเรื่องช่วย รสช. ผมได้เล่าให้พี่โต้งฟังเรื่องที่น้าชาติมอบงานใหม่ให้ ซึ่งผมได้ตอบรับ เพราะแค่ประสานงานกับ “พี่ ส.” เรื่องการโดนยึดทรัพย์ของน้าชาติกับนักการเมืองคนอื่น และยังมีเรื่องที่ต้องเล่าให้พี่โต้งรู้ว่า “พี่ ส.” พาผมไปพบ “พี่เต้” เพื่อคุยเรื่อง “เอม วิเชียรเจริญ” เพื่อนผมที่จะลงทุนทำธุรกิจบ้านจัดสรร แต่ไม่มีทางเข้าออก ซึ่งที่ดินผืนนั้นอยู่ติดกับที่ของทหารอากาศ เรื่องนี้สรุปว่า ก่อนที่ “พี่เต้” จะพ้นจากตำแหน่ง เพื่อนผมก็ได้ทางเข้าออก โดยแลกกับการสร้างที่พักให้ทหารชั้นผู้น้อยจำนวน 3 ตึก เป็นดีลที่ win-win ทั้งสองฝ่าย
ก่อนลาจาก จู่ๆ “พี่เต้” ก็ถามขึ้นมาดื้อๆ ว่า “คุณชัชว่ารัฐบาลสุจะรอดไหม?”
“ไม่รอดครับพี่เต้” ผมตอบทันที
“พี่เต้” ยังบอกผมว่า หน่วยราชการต่างรายงานว่า “ม็อบจำลองมีผู้มาร่วมชุมนุมแค่ห้าร้อยคนทุกวัน”!!!
“ไม่จริงครับพี่เต้! มันรายงานเฉพาะกลางวัน ซึ่งคนมาน้อยอยู่แล้ว ไม่ได้รายงานตอนกลางคืนที่คนมามากมหาศาลครับ”
ผมค้านรายงานโกหกของทางการทันที ผมจึงเสนอว่า “พี่เต้ให้ทหารคนสนิทไปที่ชุมนุมกับผม ดูตอนกลางคืนว่าคนมามากขนาดไหน?”
ได้ผล..! “พี่เต้” ให้นายทหารที่ผมรู้จักไปดูการชุมนุมกับผมในช่วงกลางคืน เพื่อกลับไปรายงานความจริงให้ “พี่เต้” ได้รับรู้ “พี่เต้” บอกผ่าน “พี่ ส.” มาถึงผมว่า “พี่ขอบคุณชัชมาก แต่พี่ยืนยันคำพูดที่เคยพูดกับชัชว่า สุเป็นเพื่อนรักพี่.. พี่ลงเรือกับมันแล้ว.. ก็ต้องไปด้วยกัน.. ดีก็ดีด้วยกัน..จมก็จมด้วยกัน”!!!
ผมเลยบอกกับ “พี่ ส.” ไปถึง “พี่เต้” ว่า “บิ๊กสุโชคดีที่มีเพื่อนแท้อย่างพี่เต้” และอยากบอกต่อว่า “เรือบิ๊กสุกำลังจะจมน้ำแล้วพี่เต้”!!!
“เทิดภูมิ ใจดี” สส. อดีตแกนนำผู้ใช้แรงงานเพื่อนผม เขาสนิทกับ “พี่จิ๋ว พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ” หัวหน้าพรรคความหวังใหม่ มักโทรส่งข่าวถึง “พวกเรา” ตลอด เพื่อให้ได้รู้ถึงการต่อต้าน “คณะ รสช.” ในสภา ก่อนที่ ร.ต. ฉลาด วรฉัตร จะเปิดฉากอดอาหารประท้วง “รัฐบาลเผด็จการ รสช.” ตามด้วย พล.ต. จำลอง ศรีเมือง ก็ประกาศอดข้าวประท้วง “รัฐบาลเผด็จการ รสช” อีกคน ทำให้สถานการณ์บานปลายมากยิ่งขึ้น แถมต่อมา พล.ต.จำลอง ได้ประกาศนำการต่อต้านรัฐบาล “กลุ่มเผด็จการ รสช.” กลางท้องสนามหลวง และเคลื่อนขบวนมายังถนนราชดำเนิน ก่อนถูกทหารสะกัดไว้ที่สะพานผ่านพิภพลีลา
เทิดภูมิ ส่งข่าวว่า “บิ๊กจิ๋ว” กับ “พรรคฝ่ายค้าน” ที่สู้ในสภา ได้ตัดสินใจออกมาต่อสู้นอกสภาแล้ว ขบวนชุมนุมน่าเกรงขามของ “พล.ต. จำลอง” ทำให้“สส.” ที่หนุน รสช.บางคนต้องหลบกันชุลมุน ทำให้ผมได้พบกับเพื่อนคือ “พินิจ จารุสมบัติ” ที่มากับ “เนวิน ชิดชอบ” แวะมาที่โรงแรมมาเจสติคครู่หนึ่ง
“พี่อ๋า” ธัญญา ชุนชฎาธาร ได้นัดเจอผมที่โรงแรมมาเจสติคริมถนนราชดำเนิน เพราะพี่อ๋าได้จองห้องใกล้ที่ชุมนุมของ “พล.ต. จำลอง” เพื่อจะได้รู้เห็นเหตุการณ์ชุมนุมอย่างใกล้ชิด จริงครับ! ผมมองผ่านหน้าต่างโรงแรม ก็เห็น “พล.ต. จำลอง” ยืนปราศรัยบนหลังคารถสองแถวคันโต และทุกครั้งที่เสียงปืนทหารดังขึ้น พี่จำลองกับพวกจะหมอบลง พอสิ้นเสียงปืนพี่จำลองก็ลุกขึ้นยืนปราศรัยต่อทันที ทุกครั้งที่เสียงปืนดัง ผมยังเห็นนกพิราบที่เกาะบนสายไฟหน้าโรงแรมหลายสิบตัว บินพรูขึ้นสู่ฟ้าทุกครั้ง.. จากนั้นก็หวนกลับลงมาเกาะบนสายไฟเหมือนไม่เคยเกิดอะไรขึ้น..
นกพิราบที่มีปีก มีอิสระที่จะบินหลบภัยกระสุนปืนทหารขึ้นสู่ฟ้า! ขณะที่ผู้ชุมนุมมากมายบนถนนและผู้ปราศรัยบนหลังคารถ ทำได้แค่หมอบลง ไม่หนีไปไหน! ยังคงปักหลักสู้ท่ามกลางห่ากระสุนปืนทหาร! ผมนึกถึงคำพี่โต้งที่บ้านเรือนไทย..
“ถ้าพวก รสช. ดื้อ (โหดร้ายด้วย) อย่างนั้นก็ช่วยไม่ได้.. ตัวใครตัวมันแล้วล่ะชัช!”
สำนวนจีนในยุทธจักรว่า “ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตา” ทว่า.. เดือนพฤษภาคม ปี 2535 เผด็จการทหาร รสช. “ใกล้หลั่งน้ำตาเข็นโลงขึ้นเมรุเผา”!!
ปี 2568 นี่ก็เช่นกัน “นายกฯ เด็กอมมือด้อยปัญญา” กับ “พ่อจอมโกงชาติ” และ “ครม. ขายชาติขายประชาชน”..ใกล้หลั่งน้ำตาเข็นโลงขึ้นเมรุเผาแล้วโว้ย!!!